บทที่ 662 ปัญหาขององค์เง็กเซียน (1)
โชคดีที่ไม่มีสิ่งใดๆ ผิดพลาด
หลังจากเช็ดเลือดจนแห้งแล้ว ฉีหยวนก็หันกลับมาได้ทันการณ์ เขาลุกยืนขึ้นแล้วถอยห่าง และเริ่มที่จะเปิดระยะห่างออกไปจากตัวเขาเอง
ไม่เช่นนั้น หลี่ฉางโซ่วจะโยนภาพ “จักรพรรดินีชราไป่เหมย” รุ่นหลักดั้งเดิมออกไปจริงๆ
“นักพรตเต๋า” จิ้งจอกสาวร้องออกมาเบาๆ อย่างกระวนกระวายใจ
ฉีหยวนรีบกล่าวว่า “สหายเต๋า โปรดรักษาระยะห่างระหว่างเราด้วย! ข้าสูญเสียความสงบ และยังหวังว่าสหายเต๋าจะไม่ตำหนิ โปรดอภัยให้ข้าด้วย แต่สถานที่แห่งนี้คือ สำนักบำเพ็ญเต๋าที่ยอดเยี่ยมขององค์ไท่ชิง
สหายเต๋า เจ้าควรสวมเสื้อผ้าทั้งหมดของเจ้า จะได้ไม่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด”
“ได้ นักพรตเต๋า” จิ้งจอกตอบเบาๆ และหยิบเสื้อคลุมยาวออกมาจากสร้อยข้อมือของนาง
เดิมทีนางอยากจะพับมันอย่างระมัดระวังและเก็บชุดนั้นไป แต่ในขณะที่นางขยับ ทันใดนั้น คราบเลือดบนชุดนั้นก็ปล่อยเปลวไฟสีฟ้าเย็นออกมากะทันหัน
แล้วชุดกระโปรงผ้าโปร่งบางนั้น ก็กลายเป็นเถ้าถ่านในกองไฟทันที
จิ้งจอกสาวไม่ได้รับอันตรายใดๆ นางไม่รู้สึกถึงความร้อนจากเปลวไฟเลยด้วยซ้ำ นางกำลังงุนงง
ในขณะนั้น ฉีหยวนก็ได้ยินข้อความเสียงของหลี่ฉางโซ่วแล้ว
“สหายเต๋า ไยเจ้าไม่ตามข้าไป ข้าได้สั่งให้ศิษย์ของข้าเตรียมชาเอาไว้แล้ว พวกเราพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง”
กล่าวจบ ฉีหยวนก็หันหลังกลับและก้าวเดินออกไปข้างหน้า แล้วค่ายกลห่วงโซ่กับดักบางส่วนที่อยู่ในป่าก็ถูกปลดออก ทำให้ทั้งสองคนไปถึงห้องจิบชากลางแจ้งได้อย่างราบรื่นไร้สิ่งกีดขวางใดๆ
ก่อนหน้านี้ เมื่อหลี่ฉางโซ่วได้ปรับเปลี่ยนยอดเขาหยกน้อย เขาได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาการจัดเตรียมการต่างๆ ที่คนนอกเหล่านี้สามารถใช้ได้ไว้ให้มากที่สุด
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วได้จัดเตรียมตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ แล้วแปลงร่างมันให้อยู่ในรูปลักษณ์ของตัวเขาเอง จากนั้นก็ส่งชาวิญญาณบางอย่างเพื่อทำให้สบายใจและจิตใจของเขาสงบลง
เมื่อปลายนิ้วของนางได้สัมผัสนักพรตเต๋าในความฝัน ของนางก่อนหน้านี้ ก็ดูเหมือนว่า จิ้งจอกสาวจะยิ่งเขินอายมากขึ้น
ตอนที่นางกำลังพูดคุยกับนักพรตเต๋าชราฉีหยวนบนโต๊ะไม้ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรักความเสน่หาและนางก็เอ่ยชื่นชมยกย่องเขาอย่างล้นเหลือ
โชคดีที่เมื่อหลี่ฉางโซ่วแสร้งปลอมตัวเป็นอาจารย์ของเขาก่อนหน้านี้
ไม่เพียงแต่เขาจะได้เรียนรู้วิธีแปลงร่างเท่านั้น แต่เขายังเก่งกาจมากมายอีกด้วย แล้วเขารีบก็รายงานถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ต่ออาจารย์ของเขาได้ทันเวลา
หากฉีหยวนไม่เมามาย เขาก็จะไม่ทำผิดพลาดร้ายแรงใดๆ
อย่างน้อยที่สุด จิ้งจอกสาว เสี่ยวหลานผู้นี้ก็ไม่อาจรู้ถึงความแตกต่างใดๆ ได้เลย
หลังจากที่เสี่ยวหลานสวมชุดเสื้อคลุมยาวของนางแล้ว นางก็ปกปิดเสน่ห์ของนางเกือบทั้งหมด
เมื่อนางนั่งเงียบๆ และควบคุมกลิ่นอายลมปราณของนางเอาไว้ ก็ไม่มีผู้ใดรู้ได้ว่า นางเป็นสตรีจากเผ่าปีศาจ
ที่ด้านนอกค่ายกลเวท เหล่าผู้เฝ้าชมทั้งหมดได้ไปที่ลำธารซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก และพวกเขาก็เข้าสู่งานพบปะสังสรรค์ ร่วมเล่นดนตรี สิ้มรสสุรา จิบชา และเริ่มพูดคุย สนทนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันและหัวเราะกันฉันมิตรอย่างเรียบง่าย
จิ่วอูกล่าวว่า “เจ้าคิดว่า ศิษยน้องฉีหยวนและสหายเต๋าจากเผ่าจิ้งจอกผู้นี้จะลงเอยกันได้ในตอนท้ายหรือไม่?
ให้ข้าว่าก่อน… ข้าไม่ได้หวังสูงอะไรในเรื่องการแต่งงานครั้งนี้”
“ข้าก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดีมากเกินไปเช่นกัน” หลิงเอ๋อร์กล่าว “ไม่ต้องพูดถึงจิ้งจอกสาวตัวนี้หรือเผ่าปีศาจในตอนแรกเลย ตามความเข้าใจของข้าที่มีต่อท่านอาจารย์ ต่อให้ท่านจะถูกล่อลวงจริงๆ ท่านเขาก็จะไม่มีวันตกลงอย่างแน่นอน”
“ข้าคิดว่า นั่นเป็นเรื่องที่ดี” จิ่วจิ่วดูสับสน “มันไม่ได้มีเขียนเอาไว้ในพระสูตรนิรกรรมหรือ? ท่านไม่สามารถบังคับอะไรหรือฝืนต่อต้านมันได้
เผ่าชิงชิวไม่ได้บอกว่า พวกเขาทั้งหมดได้รับการยกย่องชื่นชมจากเทพวารีแห่งศาลสวรรค์ผู้นั้นหรือ? และถือได้ว่า พวกเขามีส้นเท้า[1]ที่ซื่อตรงเที่ยงธรรม”
หลี่ฉางโซ่วคิดว่า เมื่อใดที่ข้าจะช่วยจัดการส้นเท้าที่เที่ยงธรรมให้เผ่าปีศาจได้?!
จิ๋วอวี่ซือได้ทำลายภาพลักษณ์เดิมของนางที่เป็นคนเงียบและกล่าวเบาๆ ว่า “เหตุใดต้องพูดถึงส้นเท้าของคนๆ หนึ่งเมื่อพูดถึงความรักด้วยเล่า?”
จิ๋วอวี่ซืยังกล่าวต่ออีกว่า “ทว่าในท้ายที่สุดแล้ว สำนักตู้เซียนของเราก็ถูกเผ่าปีศาจลอบโจมตี เผ่าปีศาจเกลียดชังสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินเข้ากระดูกดำ มันย่อมไม่เหมาะสมจริงๆ หากเรื่องนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไป”
ทุกคนล้วนแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาในขณะที่หลี่ฉางโซ่วฟังเงียบๆ อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังจะโต้เถียงกันแล้ว เขาก็จะยิ้มและเปลี่ยนเรื่อง
ไม่มีใครรู้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจได้ดีไปกว่าหลี่ฉางโซ่ว
“ในความเห็นของข้า เกรงว่า ยากนักที่ท่านอาจารย์จะอยู่รอดได้ถึงสามชั่วยาม
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สหายเต๋าผู้นี้ ก็เป็นแขกของสำนักตู้เซียน เราจะเชิญนางออกไปข้างนอกและดูแลให้ความบันเทิงเพลิดเพลินกับนางในภายหลัง ซึ่งถือได้ว่าเป็นมิตรภาพของเจ้าของบ้านอย่างเรา”
ทุกคนล้วนชื่นชมเขา
ในขณะนั้น จิ่วจิ่ว สงหลิงลี่ และจียงหลินเอ๋อร์ ต่างพากันตื่นเต้นที่จะศึกษาว่า ในวันนี้ มีสัตว์วิญญาณตัวใดที่ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า
หลิงเอ๋อร์ได้สร้างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ชราสองตัวขึ้นมาเพื่อให้ดีดพิณและเป่าขลุ่ยร่วมกันกับนาง
จิ่วซือ และจิ๋วอวี่ซือ ทำให้จอกสุรางดงามยิ่งขึ้นในขณะที่หลี่ฉางโซ่ว และจิ่วอูต่างพูดคุยและหัวเราะกันเมื่อพวกเขาจัดโต๊ะเตี้ยและเตรียมสุรารสเลิศให้พร้อม
ในยามนั้น กลิ่นหอมของเนื้อสัตว์อบอวลไปทั่วทั้งป่า และสุราเซียนครึ่งแก้วก็เต็มล้นปากของพวกเขา
นักพรตเต๋าชราฉีหยวนที่อยู่ในป่า ก็ดูเหมือนจะออกจากป่ามาที่นี่เมื่อได้กลิ่นหอมนั้นเช่นกัน
เมื่อจิ้งจอกสาว เสี่ยวหลาน เห็นการจัดสร้างเช่นนี้ นางก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยและซ่อนตัวอยู่ข้างหลังนักพรตเต๋าชราฉีหยวน
จิ้งจอกสาวคนนี้ มีความกระตือรือร้นและไม่ยับยั้งตนน้อยลงกว่าเมื่อก่อน ตอนนี้นางมีความอ่อนโยนและเงียบสงบมากขึ้น
ด้วยเจียงหลินเอ๋อร์ “อาจารย์ของฉีหยวน” ที่อยู่ข้างนอกเป็นเวลาหลายพันปี บรรยากาศย่อมจะไม่อึดอัดอย่างแน่นอน
ในเวลาไม่นาน ฉีหยวน และจิ่วอูก็นั่งด้วยกัน และจิ้งจอกสาว เสี่ยวหลานก็ได้รับการต้อนรับจากจิ่วซือที่สง่างามและใจดี
เจียงหลินเอ๋อร์ ซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดที่นั่นโอภาปราศรัยกับนางและหยอกล้อเล่นมุขตลก หัวเราะกัน
ชั่วขณะนั้น เสียงดนตรีในป่าก็ค่อยๆ ครึกครื้น และสนุกสนานมีชีวิตชีวามากขึ้น
มีการบริการสุราและอาหารรสเลิศดั่งสายน้ำไหล[2] และเหล่าผู้เป็นเซียนที่อยู่ข้างๆ ต่างก็พูดคุยกันถึงเต๋า
ไม่รู้ว่า ผู้ใดเป็นคนเชื้อเชิญให้จิ้งจอกสาวออกมาร่ายรำ ในเวลานั้น ใบหน้าของจิ้งจอกสาวแดงก่ำ นางอยากจะปฏิเสธ แต่เนื่องจากเวลากำลังจะผ่านไปสามชั่วยามแล้ว นางจึงพยักหน้ารับเบาๆ…
ดังนั้นภายใต้แสงริบหรี่ยามดวงอาทิตย์อัสดง จิ้งจอกสาวที่ทรงเสน่ห์ก็ร่ายรำไปพร้อมๆ กับเสียงเพลง
ในขณะนั้น ร่างส่วนใหญ่ที่อยู่ริมลำธารในป่าล้วนถูกการร่ายรำนั้นดึงดูดเอาไว้
ขณะที่หลิงเอ๋อร์จดจ่อกับการควบคุมตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เพื่อเล่นดนตรี นางก็เงยหน้าขึ้นมองศิษย์พี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ นางแล้วคลี่ยิ้ม
ฉีหยวนยังคงลูบเคราของเขาและครุ่นคิด ดวงตาของเขาฉายแววสิ้นหวังและเสียใจออกมา c]tบางครั้งคราว เขาก็จะเหลือบมองไปที่จิ๋วอวี่ซือซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกล
………………………………………………………………..
[1] ตัวตน
[2] อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
—————————–