บทที่ 313 เลี้ยงฉลองในหมู่เพื่อนฝูง
บทที่ 313 เลี้ยงฉลองในหมู่เพื่อนฝูง
ได้ยินคำพูดของถังเซวี่ยแล้ว ถังซวงประหลาดใจเล็กน้อย เธอมองน้องสาวด้วยความสงสัย “ที่เธออ่านหนังสือหนักขนาดนี้เพราะต้องการสอบข้ามระดับงั้นหรือ?”
“ใช่ค่ะ”
ถังเซวี่ยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะพูดว่า “พี่คะ ในชั้นเรียนฉันแก่กว่าพวกเขาตั้งหลายปี ฉันเลยอยากจบมัธยมต้นเร็ว ๆ น่ะ”
ถังซวงไม่คิดว่าถังเซวี่ยจะคิดอย่างนี้ เพราะเธอไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อนเลย
“เสี่ยวเซวี่ย ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้วก็ตั้งใจให้มากล่ะ ถ้าไม่เข้าใจอะไรก็มาถามฉันได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันจะช่วยเธอเสมอ รู้ไหม?”
เมื่อถังเซวี่ยได้ยินอย่างนั้น เธอโถมตัวไปในอ้อมแขนของถังซวง
“พี่คะ พี่ใจดีกับฉันเสมอเลย ถ้าฉันมีคำถามอะไรฉันจะถามพี่แน่นอน แต่ตอนนี้ฉันยังเข้าใจบทเรียนอยู่ค่ะ” นับตั้งแต่ไปโรงเรียน ถังเซวี่ยรู้สึกว่าเธอก็ค่อนข้างฉลาดพอสมควร แม้จะเทียบกับพี่สาวหรือโม่เจ๋อหยวนไม่ได้ แต่เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ในชั้นเรียนแล้ว เธอรู้สึกว่าตนเองเรียนรู้ได้เร็วกว่าคนอื่นมาก เพราะเหตุนี้เธอจึงคิดจะสอบข้ามระดับ
ถังซวงอดไม่ได้ที่จะลูบหัวถังเซวี่ยแล้วพูดว่า “ดีมาก ถ้ามีปัญหาอะไรบอกฉันได้เลยนะ”
หลังจากที่สองสาวพูดคุยกันสักครู่หนึ่ง ถังซวงกลับไปที่ห้องของเธอ และปล่อยให้ถังเซวี่ยทำการบ้านของตัวเอง
เมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ จิงเจ้อหรงกับเฮ่อหลานพูดคุยกันเรื่องออกไปรับประทานอาหารมื้อค่ำด้วยกัน “อาหลาน ผมนัดกับเพื่อนว่าจะไปกินมื้อค่ำด้วยกัน คุณไปด้วยกันนะครับ”
เมื่อเฮ่อหลานได้ยินอย่างนั้นแล้ว เธอพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะตอบว่า “ค่ะ” แต่ก็ยังถามต่อด้วยความสงสัย “เพื่อนคนไหนหรือคะ”
“คุณน่าจะเคยเห็นเขาแล้ว หนิงฮ่าวกับหลิวเชาที่มาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวตอนวันแต่งงานของเราน่ะครับ พวกเขาพาครอบครัวไปด้วย พวกเขาเป็นเพื่อนไม่กี่คนที่ยังคบหากันและค่อนข้างสนิทใจ”
ได้ยินคำพูดของจิงเจ้อหรงอย่างนั้น ถังซวงนึกถึงหนิงฮ่าวและหลิวเชา พวกเขาเป็นผู้ชายหน้าตาดี และยังนิสัยดีด้วย สกุลของพวกเขาคือหนิงและหลิว อีกทั้งยังเป็นเพื่อนกับจิงเจ้อหรง เธอเลยเดาว่าทั้งสองคนน่าจะมาจากตระกูลหนิงและตระกูลหลิวในเมืองหลวง
ในตอนเย็น จิงเจ้อหรงพาเฮ่อหลาน ถังซวง และถังเซวี่ยไปที่โรงแรมปักกิ่ง
“อาเจ้อ ทางนี้”
หนิงฮ่าวเป็นคนแรกที่เห็นว่าครอบครัวของจิงเจ้อหรงเดินเข้ามา เขารีบเดินเข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้ม “อาเจ้อ พี่สะใภ้ มาแล้วหรือครับ” จากนั้นหันมองถังซวงและถังเซวี่ยก่อนจะพูดขึ้นว่า “ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย เป็นยังไงบ้าง”
“สวัสดีค่ะ คุณอาหนิง”
ถังซวงและถังเซวี่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นหนิงฮ่าวพาทั้งหมดเข้าไปข้างใน
“อาเจ้อ ครอบครัวของหลิวเชาก็มาถึงแล้ว เข้าไปกันเถอะ”
หลังจากที่ทั้งหมดมาถึงห้องรับรองส่วนตัว หนิงฮ่าวเริ่มแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน “พี่สะใภ้ นี่ภรรยาของผมครับชื่อหลูเยี่ยน นี่คือลูกชายของผม หนิงอี่อัน และคนนั้นคือหลิวเชา ภรรยาของเขาชื่อหวงเหล่ยเหล่ย และนั่นหลิวจี๋เหิง ลูกชายของพวกเขาครับ”
ทั้งหลูเยี่ยนและหวงเหล่ยเหล่ยยิ้มพร้อมกับทักทายเฮ่อหลาน “พี่สะใภ้ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณสวยมากเลย”
จากนั้นพวกเธอหันมองถังซวงและถังเซวี่ย “ทั้งสองคนนี้เป็นลูกสาวของคุณใช่ไหมคะ สวยทั้งคู่เลยค่ะ” หล่อนไม่ได้ชมเกินจริงแม้แต่น้อย ทั้งสามแม่ลูกสวยจริง ๆ ซึ่งความงามนี้ทำให้ผู้คนไม่สามารถละสายตาได้ หากพวกเขาไม่รู้ว่าเฮ่อหลานมีลูกสาวที่โตมากขนาดนี้ พวกเขาคงจะไม่เชื่อว่าหล่อนอายุมากขนาดนี้แล้ว
“ขอบคุณค่ะ คุณก็สวยมากเหมือนกันค่ะ”
เฮ่อหลานตอบกลับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นหยิบของขวัญที่เตรียมไว้ออกมาแล้วมอบให้อีกฝ่ายโดยตรง “ฉันไม่รู้ว่าคุณทั้งสองคนชอบอะไร ฉันเลยมีงานปักเล็ก ๆ น้อย ๆ มามอบให้ หวังว่าพวกคุณจะชอบนะคะ”
หลูเยี่ยนและหวงเหล่ยเหล่ยไม่คิดว่าเฮ่อหลานจะเตรียมของขวัญมาให้ ดังนั้นจึงรีบกล่าวขอบคุณและรับมันไว้ หลังจากเห็นผ้าเช็ดหน้าปักลายสวยงามทั้งสองด้าน และยังมีพัดทรงกลม ทั้งสองชอบมันมาก “พี่สะใภ้ สวยมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“ยินดีจ้ะ ตราบใดที่พวกคุณชอบฉันก็ดีใจ”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองชอบ เฮ่อหลานมีความสุขมากเช่นกัน จากนั้นเธอก็ยังมอบของขวัญให้กับลูกชายของพวกเขาด้วย
“พี่สะใภ้ คุณใจกว้างเกินไปแล้วค่ะ ไม่เพียงแต่เตรียมของขวัญให้พวกเรา แต่ยังเตรียมเผื่อเด็กสองคนนี้ด้วย”
หลังเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งสองรู้สึกเขินอายเล็กน้อย สามีของพวกเธอเพิ่งบอกกล่าวเมื่อเย็นนี้เองว่าไปรับประทานอาหารมื้อค่ำกับเพื่อน ๆ พวกเธอจึงออกจากบ้านและไม่ได้เตรียมของขวัญอะไร แต่เฮ่อหลานกลับใส่ใจรายละเอียดและเตรียมของขวัญให้กับทุกคนรวมไปถึงลูก ๆ ของพวกเธอด้วย
เมื่อได้ยินทั้งสองคนพูดอย่างนั้น เฮ่อหลานรู้สึกอายเล็กน้อยก่อนจะรีบพูดขึ้นว่า “ฉันได้ยินจากอาเจ้อว่าเขาอายุมากที่สุดในสามคน และเขาถือว่าเป็นพี่ใหญ่ ดังนั้นฉันที่เป็นพี่สะใภ้เลยเตรียมของขวัญสำหรับงานเลี้ยงคราวนี้ ถ้าคุณสามารถมาพูดคุยกับฉันในอนาคต แค่นั้นฉันก็มีความสุขมากแล้วค่ะ”
เมื่อหลูเยี่ยนและหวงเหล่ยเหล่ยได้ยินอย่างนั้น ทั้งสองยกยิ้มก่อนจะรีบพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นพี่สะใภ้ ในอนาคตพวกเราจะไปพบคุณบ่อย ๆ นะคะ”
หลังจากเห็นว่าเฮ่อหลานและภรรยาของเพื่อนเขาพูดคุยกันได้ดี จิงเจ้อหรงก็โล่งอก
เห็นอย่างนั้น หนิงฮ่าวและหลิวเชายกยิ้มเช่นกัน แล้วพวกเขาทั้งสามก็เริ่มพูดคุยกันบ้าง
หลังจากอาหารมาเสิร์ฟ ทุกคนก็เริ่มกินอย่างช้า ๆ แต่เพราะลูกของหนิงฮ่าวและหลิวเชายังอยู่ในชั้นประถม พวกเขาจึงค่อนข้างเสียงดังระหว่างมื้ออาหาร ทำให้หลูเยี่ยนและหวงเหล่ยเหล่ยอดไม่ได้ที่จะตำหนิลูกชายของตน “กินเงียบ ๆ สิลูก ดูพี่สาวสองคนนั้นสิ ดูดี น่ามองกว่าตั้งเยอะ แต่ลูกสองคนกลับยุกยิกอย่างกับลิง”
ถังซวงรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติที่เด็กผู้ชายจะซุกซน เธอจึงยิ้มและพูดขึ้นว่า “คุณอาคะ จริง ๆ แล้วอี่อันกับจี๋เหิงก็เก่งมากแล้วค่ะ อย่าดุพวกเขาเลยนะคะ” จากนั้นเธอใช้กระดาษหนึ่งแผ่นแล้วพับกบให้พวกเขา
“โอ้โห… มันกระโดดได้ด้วยล่ะ”
เด็กชายตัวน้อยเห็นกบของถังซวง พวกเขาหยุดเถียงกันและเริ่มเล่นมันด้วยกัน
เห็นอย่างนั้นแล้ว หลูเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะกล่าวชม “ซวงเอ๋อร์เก่งมากเลยจ้ะ พับกบได้ด้วย เป็นฉันคงทำไม่ได้แน่ ๆ”
หวงเหล่ยเหล่ยที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวชมเช่นกัน “ใช่ สุดยอดจริง ๆ คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้รู้วิธีพับมันเลย”
ถังซวงอายเล็กน้อยเมื่อถูกชมอย่างนั้น หลังจากกินไปสักครู่ เธอขอตัวออกไปเข้าห้องน้ำด้านนอก
“เฮ้… เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลยนะเธอเนี่ย อยากเห็นฉันล้มหรือไง?”
เนื่องจากทางเดินค่อนข้างแคบ ถังซวงจึงเดินชิดกำแพงอย่างไม่ตั้งใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนเดินเข้ามาชนเธออยู่ดี แต่หญิงสาวไหวตัวทันและเอี้ยวหลบ แต่อีกฝ่ายยังคิดว่าเธอเป็นคนผิด
“นี่ เธอเป็นคนชนฉันต่างหาก ถ้าฉันไม่หลบ เธอก็คงชนฉันไปแล้ว”
“เธอ…”
เมื่อเห็นใบหน้างดงามของถังซวงที่เต็มไปด้วยความแข็งกร้าว กัวเฟยน่าหงุดหงิดทันที “นี่หล่อน เธอกำลังพูดกับใคร? กล้าเถียงฉันงั้นหรือ? ฉันจะบอกให้นะว่าอย่าได้อวดดีนักเลย”
ได้ยินอย่างนั้นถังซวงแค่นหัวเราะด้วยความขุ่นเคือง
“ใครกันแน่ที่อวดดี”