บทที่ 915 เจ้าจะกลับมาใช่หรือไม่
บทที่ 915 เจ้าจะกลับมาใช่หรือไม่
เนินนอกเมืองห่างออกไปสิบลี้
ซ่งหานจือมองรถม้าทั้งห้าคันที่อยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยอย่างจนปัญญา “นี่มากเกินไปแล้ว พวกเรานำตั๋วเงินไปด้วย ขาดเหลือสิ่งใดก็ซื้อเอาระหว่างทางได้ เจ้านำของกลับไปเถอะ!”
ลู่จื่อชิงเม้มริมฝีปากแน่น จิตใจห่อเหี่ยวยิ่ง
“ข้าไม่โทษเจ้า อีกทั้งยังไม่ได้จะไม่รับน้ำใจเจ้า เพียงแต่…” ซ่งหานจือหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วเอ่ยด้วยความประหม่า “เจ้าอย่าร้องไห้เลย…”
“ข้าไม่ได้ร้องไห้!” ลู่จื่อชิงจ้องมองเขาด้วยสายตาดุ ๆ “ข้าไม่ร้องไห้เพราะเจ้าหรอก! เจ้าไปแล้ว ข้าก็จะเล่นกับผู้อื่นทันที ภายหน้าข้าก็จำเจ้าไม่ได้แล้ว”
“เสี่ยวชิงเอ๋อร์…” ซ่งหานจือเจ็บใจปวดใจยิ่ง เขามองนางอย่างเศร้าสร้อย
ใต้เท้าซ่งและฮูหยินมองดูท่าทางหดหู่ของบุตรชายแล้วส่ายหัวไปมา
เจ้าเด็กโง่ กล่าวคำพูดปลอบใจนางให้มาก ๆ สิ! แม่นางน้อยยามนี้กำลังกระเง้ากระงอด กล่าวคำพูดน่าฟังสักสองสามคำก็ง้อนางได้แล้ว หากยามนี้เจ้ายังไม่เอาใจนางอีก ภายหน้าย่อมไม่มีโอกาสทำเช่นนั้นแล้ว
“ข้าจะกลับแล้ว!” ลู่จื่อชิงเอ่ยแล้วหมุนตัวกลับไปด้วยความโกรธ
“เสี่ยวชิงเอ๋อร์ ข้ามีบางอย่างจะให้เจ้า” ซ่งหานจือหยิบกริชเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ
“เหตุใดเจ้าจึงให้กริชข้า?” ลู่จื่อชิงเอ่ยถาม
“เล่มนี้ข้าทำเอง” ซ่งหานจือแตะชื่อบนกริช “ข้างบนมีชื่อของเจ้า ทั้งยังมีชื่อของข้าอยู่ด้วย”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ แก้มของเขาก็แดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
เขาพิจารณาสีหน้าลู่จื่อชิงอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่านางไม่เข้าใจความนัยของตนแม้แต่น้อยจึงรู้สึกโล่งใจและผิดหวังในคราวเดียวกัน
เขาจากไปครั้งนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมา ซ่งหานจือรู้ว่าตนต้องเติบโตขึ้น เพียงแต่กังวลว่าเมื่อเขาไม่ได้อยู่ข้าง ๆ ลู่จื่อชิง นางจะจำเขาไม่ได้อย่างที่กล่าว
ลู่จื่อชิงเห็นชื่อที่สลักไว้บนนั้น ความไม่พอใจบนใบหน้านางจึงเบาบางลงเล็กน้อย
“นี่ก็ใกล้ได้เวลาแล้ว พวกเราต้องไปก่อน” ฮูหยินซ่งเดินเข้ามาบอก “หานจือ กล่าวลาชิงเอ๋อร์เถอะ!”
ซ่งหานจือมองหน้าลู่จื่อชิง “ข้าต้องไปแล้ว”
ลู่จื่อชิงพยักหน้าให้ “เดินทางปลอดภัย”
“ได้”
ทันทีที่ซ่งหานจือหมุนตัวไป ลู่จื่อชิงก็คว้าชายเสื้อเขาเอาไว้ “เจ้า… เจ้าจะกลับมาใช่หรือไม่?”
แววตาของซ่งหานจือเป็นประกายพร่างพราว “ขอเพียงเจ้าคิดถึง ข้าจะกลับมาอย่างแน่นอน”
ฮูหยินซ่งเอ่ยกับลู่จื่อชิง “ชิงเอ๋อร์ ขอบคุณเจ้าที่ส่งของมาให้มากมายเพียงนี้ แต่เจ้าก็เห็นว่าเรานำบ่าวรับใช้ไปเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ของมากมายเพียงนี้นำไปด้วยไม่ไหว เอาอย่างนี้ ข้าจะรับอาหารแห้งที่เจ้านำมาไว้ อย่างอื่นพวกเรารับไว้เพียงน้ำใจแล้ว รอพวกเรากลับมา เจ้าค่อยดูแลพวกเราดีหรือไม่?”
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านน้าซ่ง พวกท่านรักษาตัวด้วย”
ทุกคนในสกุลซ่งจากไปแล้ว
ลู่จื่อชิงยืนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหมุนตัวกลับมา แล้วเอ่ยกับบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ “พวกเราไปกันเถอะ”
ไม่มีซ่งหานจือแล้ว คุณหนูรองลู่ก็ยังคงเป็นคุณหนูรองลู่ นางยังคงหยิ่งผยอง อ่อนโยนแต่ก็เข้มแข็งดั่งกุหลาบเหล็กที่มีชื่อก้องเมืองหลวงเช่นเคย
ลู่จื่อชิงกลับมาที่เมืองหลวงได้ระยะหนึ่งแล้ว บัณฑิตในสำนักศึกษาหลวงล้วนรอคอยการปรากฏตัวของนาง กระทั่งมีข่าวว่าซ่งหานจือชะลอการเรียนของเขาไว้
ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าซ่งหานจือคือคนข้างกายที่ลู่จื่อชิงไม่อาจขาดไปได้ หากเขาพักการเรียน คุณหนูรองลู่จะยังมาหรือไม่?
ด้วยเหตุนี้การเดิมพันจึงเกิดขึ้นในสำนักศึกษาหลวง คนครึ่งหนึ่งเดิมพันว่าลู่จื่อชิงจะไม่เล่าเรียนต่อแล้ว อีกครึ่งหนึ่งเดิมพันว่าลู่จื่อชิงจะมาเรียนต่อ
“เยียนหราน เจ้าว่าลู่รองจะกลับมาหรือไม่?”
“นางอยู่อาณาจักรเฟิ่งหลินนานถึงเพียงนั้น เดิมทีก็เรียนตามพวกเราไม่ทันแล้ว ถึงแม้นางจะกลับมาก็ไม่มีทางได้อยู่ระดับเดียวกับเรา”
“ลู่รองกลับมาแล้ว” บัณฑิตผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา “เมื่อครู่นางเพิ่งไปรับตำราของนาง กำลังมาทางนี้”
“เยียนหราน ลู่รองกลับมาแล้ว” น้องหญิงที่อยู่ข้าง ๆ กระตุกเสื้อหลี่เยียนหราน
“ตื่นตระหนกอะไร? สำนักศึกษาไม่ได้เป็นของสกุลลู่เสียหน่อย” หน้าของหลี่เยียนหรานเปลี่ยนสี
ข้างหลังลู่จื่อชิงมีฉินโม่ถงที่อยู่ในชุดบัณฑิตตามมา
ทันทีที่ฉินโม่ถงปรากฏกายขึ้น สีหน้าของทุกคนล้วนพิลึกพิลั่น
ซ่งหานจือจากไปคนหนึ่ง เหตุใดข้างกายของลู่จื่อชิงมีลูกล้อโผล่มาอีกคนเล่า? คนผู้นี้ หน้าตายังนับว่าหล่อเหลายิ่ง ข้างกายลู่รองไม่ขาดคนจริง ๆ!
“ลู่รอง แม้แต่ซ่งหานจือยังทนเจ้าไม่ได้ ถึงกับต้องออกจากเมืองหลวง เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ทำให้คนชื่นชอบจริง ๆ” หลี่เยียนหรานตะโกนไปทางลู่จื่อชิง “เป็นบุตรสาวสกุลลู่เช่นเดียวกัน พี่หญิงของเจ้าเป็นถึงยอดหญิงงามแห่งเมืองหลวง คุณชายแต่ละจวนล้วนแห่ไปทาบทามสู่ขอ แต่เจ้ากลับเป็นคนหยาบกระด้างจนไม่มีผู้ใดอยากยุ่งเกี่ยว ก่อนหน้านี้ยังมีซ่งหานจือให้เจ้ารังแก บัดนี้แม้กระทั่งสกุลซ่งยังหลีกลี้หนีห่าง เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าพวกเจ้าสกุลลู่มีอำนาจเพียงใดก็ไม่อาจได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ”
“หลี่เยียนหราน ข้าไม่อยู่เมืองหลวงสองสามปี เจ้าคันคะเยอแล้วใช่หรือไม่?” ลู่จื่อชิงชักกระบี่ข้างเอวนางออกมา “ไม่อย่างนั้น พวกเรามาแลกเปลี่ยนความรู้กันเป็นอย่างไร”
“ข้าเป็นกุลสตรีสกุลใหญ่ ไม่มีทางไปฆ่าฟันกับเจ้าหรอกนะ” สีหน้าของหลี่เยียนหรานแปรเปลี่ยนฉับพลัน
“ขี้ขลาด”
“ลู่รอง คนที่อยู่ข้าง ๆ เป็นผู้ใดหรือ?” บัณฑิตอีกคนเอ่ยถามขึ้น
ลู่จื่อชิงพบว่าหลังจากที่จากไปนานถึงสามปี สำนักศึกษามีคนใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นมากมาย แน่นอนว่ายังมีสหายเก่าอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
“นี่คือน้องชายคนใหม่ของข้า เขาแซ่ฉิน นามโม่ถง” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ภายหน้าเขาคือคนที่ข้าปกป้อง พวกเจ้าปฏิบัติต่อซ่งหานจืออย่างไรก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างนั้น”
“ได้ยินว่าซ่งหานจือติดตามบิดาเขาไปเป็นขุนนางท้องถิ่นแล้ว”
“พี่ซ่งไม่อยู่ พวกเรายังคิดถึงเขา คนใจร้ายผู้นั้น ถึงแม้เขาต้องไปอยู่ข้างนอกก็ควรมาทักทายเราหน่อยกระมัง? อย่างน้อยพวกเราจะได้ไปส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย!”
“นั่นน่ะซี”
“เขาต้องกลับมา ถึงยามนั้นพวกเจ้าค่อยดูแลก็ได้แล้ว”
สามปีต่อมา ใต้หล้าสงบสุขมาเป็นเวลานาน ไม่มีสงครามอีก
อย่างไรก็ตามคลื่นใต้น้ำกับความปั่นป่วนวุ่นวายในที่ต่าง ๆ กลับไม่ได้ลดน้อยถอยลง ขอเพียงที่ใดมีคน ที่นั่นย่อมเกิดการวิวาท ทุกที่ล้วนเกิดความขัดแย้งไม่ว่างเว้น
ณ หยางเจียจวง วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบห้าสิบปีของเจ้าสำนัก ทว่าสีหน้าของเขากลับดูไม่มีความสุขแม้แต่น้อย
หากกล่าวถึงเหตุผล มันเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในสกุลผู้นำต่าง ๆ ในยุทธภพช่วงนี้
เจ้าสำนักแห่งหยางเจียจวงเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ยี่สิบอันดับแรกในทำเนียบยอดยุทธ์ อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะขึ้นแท่นเป็นผู้นำของทำเนียบ เพราะสองสามอันดับแรกที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด บัดนี้ได้กลายเป็นศพไปแล้ว
คืนก่อนเจ้าสำนักได้รับจดหมาย เขียนว่าศีรษะของเขาจะหลุดจากคอในวันเกิดปีที่ห้าสิบ เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะสั่งการจอมยุทธ์ได้เช่นเดียวกับสหายสกุลอื่น ๆ อีกหลายสกุล
เจ้าสำนักจึงได้แจ้งสหายทั้งหลายให้พวกเขามาช่วยตนเองวางแผนจับคนบ้าคลั่งผู้นั้น อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีสหายคนใดของเขามาปรากฏกาย
บนหลังคา ปรากฏร่างหญิงงามมัดผมหางม้าผู้หนึ่ง สวมใส่ชุดกระโปรงสีแดงดูทะมัดทะแมง นางนั่งแทะเมล็ดแตงโมอยู่บนนั้น
ผู้ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ชิงเอ๋อร์ พวกเรานั่งอยู่ตรงนี้ หากถูกคนในหยางเจียจวงพบเข้า แล้วพวกเขาเข้าใจผิดว่าเราเป็นนักฆ่าจะทำอย่างไร?”
“เช่นนั้นก็วิ่งหนี เจ้าก็รู้ วิชาตัวเบาของข้าล้ำเลิศกว่าผู้ใด” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ท่านอาจารย์บอกว่าเขาสอนทุกอย่างที่ควรสอนข้าแล้ว ที่เหลือข้าต้องตระหนักรู้เอง ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสถานะของบิดาข้า ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินข้าคุณหนูรองลู่ มีเพียงในยุทธภพที่ไม่มีผู้ใดรู้จักข้าเท่านั้น เช่นนี้ นี่จึงจะเป็นโอกาสที่ดีในการฝึกฝน”
————————————-