ตอนที่ 137 อันดับหนึ่งรายนามดารา
หนิงอี้ลูบศิลาหินนั้น เขาหรี่ตาลง ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เคย…”
สวีชิงเยี่ยนอ่านคำที่สำคัญที่สุดในอักษรแถวนั้น
ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณติดตามผู้สูงศักดิ์สวรรค์เทพผู้ขจัดความทุกข์…ตำราโบราณของสำนักเต๋าไม่มีบันทึกไว้ แต่ภูเขาแดงนี้ สุสานใต้ดินแห่งนี้ และยังมีกระบี่เซียนทัณฑ์ล้ำเลิศนั่น ล้วนยืนยันประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มหาปราชญ์โบราณที่เรียกลมเรียกฝนแดนอุดรคือสิงโตตัวหนึ่งใต้เข่าผู้สูงศักดิ์สวรรค์เทพผู้ขจัดความทุกข์ในตอนนั้น หลังจากฝึกบำเพ็ญสำเร็จมรรคผล ศิลาหินนี้ สุสานแห่งนี้ ล้วนเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้
เพียงแต่คำว่า ‘เคย’ กลับเผยความลับมากมาย…หรือว่าภายหลัง ปราชญ์ปีศาจท่านนี้จะเลิกติดตามแล้ว
หนิงอี้ลุกขึ้น ท่องคัมภีร์แสวงมังกรเงียบๆ ส่งร่มกระดาษมันให้สวีชิงเยี่ยน ก่อนเดินไปทางบนฟ้าตำหนักที่มีกระบี่ทัณฑ์ล้ำเลิศลอยอยู่ ยันต์มากมายลอยตามลม แรงต่อต้านของทั้งโลกกดดันเข้ามา
สวีชิงเยี่ยนกอดพินิจเหมันต์ พายุพัดเข้ามา พัดเส้นผมนางพริ้วไหว
นางหรี่ตาลง มองไปทางหนิงอี้ด้วยความระมัดระวัง
ตรงที่อยู่ของกระบี่โบราณนั้น เหมือนหมู่ดาวล้อมเดือน
เด็กหนุ่มเดินก้าวลี้ลับเพียงลำพัง ภายในตำหนักจะมีสายลมพัดมาตลอด เส้นทางที่คาดการณ์จากคัมภีร์แสวงมังกรดูเหมือนราบเรียบ แต่ความจริงอันตรายมาก หนิงอี้เดินไปคนเดียวย่อมไม่มีปัญหา แต่ถ้าพาสวีชิงเยี่ยนมาด้วย นั่นก็พูดยากแล้ว
เส้นทางนี้ไม่ถือว่ายาว สายลมหลายสายพัดผ่านใบหน้าหนิงอี้ เฉียดผ่านเป็นรอยเลือดแคบยาว เขามีสีหน้าแน่วแน่ เดินหน้าต่อไป สายลมแรงขึ้นทีละนิด ยิ่งเข้าใกล้แท่นบวงสรวงนั้นมากเท่าไรก็ยิ่งมีแรงต่อต้านจู่โจมเข้ามา
หนิงอี้ไม่ได้นำพินิจเหมันต์มาด้วย เพราะเขารู้หลักการหนึ่ง ไม่ว่าจะดาบหรือกระบี่ ‘ราชาไม่พบราชา’ กระบี่ทัณฑ์ล้ำเลิศนั่นตกตะกอนมาพันปี แฝงแรงปรารถนาภายใน หากตนกอดอาวุธเทพอื่นเข้าไป เหนี่ยวนำให้กระบี่เซียนโบราณเกิดความคิดจู่โจมขึ้นมา จะทำให้ทุกอย่างพังหมด
หนิงอี้ระมัดระวังเหมือนสิงโตล่าเหยื่อ ทุกก้าวจะเดินอย่างระวังมาก สุดท้ายเดินมาห่างจากแท่นบวงสรวงสามจั้ง ที่นี่คือสุดทาง ไม่อาจเข้าใกล้ได้อีก…ยันต์ลอยนอกแท่นบวงสรวง ข้างในมีปราการพลังปีศาจเข้มข้น หนิงอี้ขมวดคิ้ว ยื่นมือออกไป ฝ่ามือแนบกับปราการยันต์แท่นบวงสรวง ลองใช้แรงปะทะของที่ราบกระดูกเปิดโซ่ ก็พบว่าไม่ว่าตนจะลองด้วยวิธีใดก็ไม่เกิดผลที่นี่
ดาบยาวที่ปักใจกลางแท่นบวงสรวงเผยตัวดาบออกมาครึ่งบน แสงสว่างไหลเวียนในนั้น ส่งเสียงดังชิ้งๆ น่าเสียดายไร้วาสนากับตน
หนิงอี้ไม่คิดถึงวิธีการดึงดาบราชสีห์ขาว ยอดปีศาจกิเลนนั่นไม่รู้จะมาเมื่อไร เรื่องที่สำคัญกว่าทะลวงพลังก็คือดึงแกนกระบี่ของกระบี่โบราณทัณฑ์ล้ำเลิศไป หากเป็นไปได้…ก็จะเอาไปทั้งกระบี่โบราณ หนิงอี้จะไม่ถือสาเลย
หนิงอี้หลับตาลงทันที เคลื่อนสมาธิทั้งหมดไปไว้ในที่ราบกระดูก
ใบไม้ขลุ่ยกระดูกส่วนครึ่งเล็กนั้นลอยในตันเถียนเบาๆ
ที่ราบกระดูกถูกหนิงอี้แบ่งไปมากกว่าครึ่ง มอบให้สวีชิงเยี่ยน ก็เหมือนสะพานเชื่อมสองดินแดน หนิงอี้มอบทั้งสะพานให้สวีชิงเยี่ยน ส่วนตนยืนอยู่ตรงปลายหัวสะพาน
ที่ราบกระดูกในตันเถียนเหมือนกับบ่อน้ำเล็ก ปกติไม่มีความเป็นเทพหล่อเลี้ยงก็จะแห้งขอด ตอนนี้ด้านนั้นของสะพาน มีหญิงงามคนหนึ่งจะส่งความเป็นเทพของตนไว้ในบ่อ เช่นนั้นบ่อเล็กแห่งนี้ก็จะไม่แห้งขอดอีก แต่มีของเหลววิญญาณไหลหลาก
น่าเสียดายที่กลางบ่อที่ราบกระดูกไม่มีสิ่งใดเลย
ดังนั้นถึงได้มีการร้องเรียกในตันเถียนหนิงอี้ไม่หยุด…หนิงอี้เงยหน้าขึ้น เขาพลันลืมตาขึ้น ยกสองแขน ทำท่าทางคว้าด้ามกระบี่
แสงสีขาวมากมายกระจายมาจากหัวไหล่เขา เป็นเส้นสายหลั่งไหลไปยังกระบี่โบราณที่ลอยอยู่นั้น
กระบี่โบราณทัณฑ์ล้ำเลิศส่งเสียงเบา ไม่มีการต่อต้านรุนแรงเท่าไร
หนิงอี้พูดเสียงเบา “แกนกระบี่…เอามา!”
กระบี่โบราณเจ็ดดาราเล่มนั้นถูกใบไม้กระดูกขาวนับไม่ถ้วนห่อหุ้ม หลังกระจายกันออกไปก็เหมือนหมอกควัน ลุกไหม้ทั้งหมด แรงปรารถนาลอยล่อง วนเวียนรอบตัวหนิงอี้ รอทุกอย่างสลายไป…ทำให้หนิงอี้ใจสั่น ไม่ใช่แค่แกนกระบี่นั้นถูกดึงออกไป ที่ราบกระดูกยังข้ามผ่านผนึกมากมาย ดึงกระบี่โบราณทัณฑ์ล้ำเลิศทั้งเล่มเข้าไปในบ่อน้ำของตน!
“ทำได้อย่างไรกัน…” หนิงอี้พึมพำกับตัวเอง เขาไม่เคยนึกเลยว่าที่ราบกระดูกจะยังมีความสามารถเช่นนี้อีก
กลอุบายเช่นนี้ รับกระบี่ไว้ในกาย ก็คล้ายๆ กับกระบี่ซ่อนของท่านเผยหมิน
หนิงอี้พลันตาเป็นประกาย
ในบ่อน้ำเล็กนั้น ไม่ใช่แค่มีของเหลวหยกสวยงาม ความเป็นเทพไหลหลาก แต่ยังมีกระบี่โบราณเจ็ดดาราที่พิงกับข้างผนังหินบ่อ เพียงแต่แกนกระบี่โบราณนั้นหนักเกินไป หนิงอี้ตั้งใจดึงออกมา ตอนนี้ยังดึงไม่ได้…เขามีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง ตอนนี้พลังบำเพ็ญตนไม่พอ และอาจจะเป็นความเป็นเทพไม่พอ รอโอกาสสุกงอม เช่นนั้นกระบี่โบราณทัณฑ์ล้ำเลิศนี่ก็จะได้เห็นแสงตะวันในมือตนอีกครั้ง ได้ใช้ประโยชน์เพื่อเขาอย่างแท้จริง
หนิงอี้กดความดีใจลง ก่อนถอยกลับไปทางเดิม
ใบหน้าเขายังคงสงบนิ่ง แต่ทุกครั้งที่นึกถึงกระบี่เซียนโบราณนั้นที่เพิ่มมาในบ่อน้ำตันเถียน ก็อดเกิดคลื่นกระเพื่อมบนทะเลสาบจิตไม่ได้…ผู้สูงศักดิ์สวรรค์เทพผู้ขจัดความทุกข์เป็นคนระดับใด เกรงว่าสำนักเต๋าคงคาดไม่ถึงว่ากระบี่โบราณนั่นที่เคลื่อนไหวไปมากกว่าครึ่งสำนักตามหา ตอนนี้จะมาอยู่ในมือตน!
นึกย้อนกลับไป หนิงอี้รู้สึกเสียดายจริงๆ แม้เขาจะไม่ใช่สุภาพบุรุษผู้มีคุณธรรม ทั้งยังสร้างศัตรูไว้มากมายในใต้ฟ้าต้าสุย แต่ต้องบอกว่าสำนักเต๋าเป็นหนึ่งในสหายที่มีน้อยมากของตน ไม่ว่าจะคุณชายโจวโหยวหรือเจ้าลัทธิเฉินอี้ ล้วนให้การช่วยเหลือตนอย่างมาก และกระบี่เซียนโบราณนี่ จะต้องสำคัญกับสำนักเต๋ายิ่ง…แม้ตนจะได้มาโดยบังเอิญ แต่ก็จะแสร้งไม่รู้ ไม่ไปคืนไม่ได้
ทว่าหนิงอี้ในตอนนี้ไม่จำเป็นบอกทั้งสองท่านว่ากระบี่โบราณของผู้สูงศักดิ์สวรรค์เทพผู้ขจัดความทุกข์อยู่ในมือตน
ชาวบ้านมีสมบัติจึงต้องโทษ
พลังบำเพ็ญหนิงอี้ยังไม่พอจะนำทัณฑ์ล้ำเลิศออกมา เขาเปิดประตูใหญ่ของที่ราบกระดูกอย่างเหนือความคาดหมาย แต่ไม่รู้ว่าหลังประตูคืออะไร รอภายภาคหน้าตนศึกษาเข้าใจแล้วก็จะนำกระบี่โบราณนี้ออกมาได้ตามใจ แล้วค่อยไปเยือนสำนักเต๋า คืนให้ไปก็ยังไม่สาย
หนิงอี้ถอนหายใจอยู่ข้างใน
ก็เพราะเป็นสำนักเต๋า
ถ้าเปลี่ยนเป็นบรรพจารย์ของเขาศักดิ์สิทธิ์สักแห่ง แกนกระบี่ล้ำค่าถูกหนิงอี้ชิงไป ตีหนิงอี้ให้ตายก็ไม่เอาไปคืนเด็ดขาด
……
เส้นทางกลับราบรื่น กระบี่เซียนโบราณที่ลอยอยู่ข้างบนนั้นไม่รู้ว่าเป็นกุญแจสำคัญในการคงอยู่ของสุสานแห่งนี้หรือไม่ หนิงอี้รู้สึกว่าแรงกดดันในตัวเบาลงไปมาก…เขาไม่ได้หันไปมองยันต์พวกนั้นที่ลอยอยู่รอบตัว หลังจากกระบี่โบราณทัณฑ์ล้ำเลิศที่ลอยอยู่เหนือศีรษะนั้นหายไป ราวสามสี่ลมหายใจต่อมาก็แห้งและสลายไปทั้งหมด กลายเป็นเถ้าถ่าน ลอยเป็นธุลีไปข้างหลังเขา
“เป็นอย่างไรบ้าง”
สวีชิงเยี่ยนที่กอดพินิจเหมันต์ถามด้วยการเฝ้ารอคอย
“เรียบร้อยแล้ว”
เด็กสาวเห็นแสงกลุ่มนั้นหายไป แม้นางจะไม่เข้าใจการฝึกบำเพ็ญ แต่ด้วยความฉลาดของนางก็พอจะคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น…ความจริงลึกๆ ในใจยังมีความปลงอนิจจังอยู่สามส่วน กระบี่โบราณนั่นเกรงว่าคงไม่ได้เอามาง่ายๆ นางได้ยินว่าทั้งสำนักเต๋าเคลื่อนไหวก็ยังไม่ได้กลับมา ตอนนี้วางอยู่ที่นี่ เกรงว่าคงไม่ใช่ทุกคนที่จะดึงออกมาได้
ที่ราบกระดูกเหมือนกับสะพาน
นางไม่ใช่เจ้าของ แต่ถือใบไม้มากกว่าครึ่งไว้ ก็เหมือนยืนอยู่ตรงหัวของสะพาน
ขอแค่จับใบไม้ขลุ่ยกระดูกไว้แน่นก็จะเปิดเมฆหมอกได้ เห็นเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่หัวสะพานนั้นหลังเมฆหมอก มองไปข้างหลังอีกก็เห็นไม่ชัดแล้ว…หนิงอี้แบ่งพลังส่วนหนึ่งของขลุ่ยกระดูกมอบให้ตน สวีชิงเยี่ยนรู้สึกได้ว่าใบไม้ในมือตนเหมือนจะ ‘หนัก’ กว่าเดิมเล็กน้อย
คิดไปเองรึ
ไม่มีเวลาให้นางคิดมากขนาดนั้น
“เจียงหลินไม่รู้จะมาเมื่อไร…แต่หกสัมผัสของข้าเริ่มเตือนแล้ว”
หนิงอี้คลึงแก้ม พูดเสียงเบา “พลังปีศาจของยอดปีศาจนั่นเข้ามาที่นี่แล้ว เกรงว่าเขาคงมีวิชาลับเฉพาะที่ใช้ฝ่าค่ายกล สำแดงมาตลอดทาง ฝ่าผนึกเข้ามา อีกเดี๋ยวคงได้เจอกันแล้ว”
สวีชิงเยี่ยนมีสีหน้าจริงจังขึ้นอีกครั้ง
“น่าเสียดาย ข้าพาเดินค่ายกลลวงตาเยอะขนาดนั้น ก็ยังขังเขาไว้ไม่ได้…” หนิงอี้มองด้านหนึ่งของตำหนักใหญ่ นั่นคือทิศทางที่ตนมา เขาสูดลมหายใจเข้าลึก “ที่นี่คือส่วนลึกสุดของสุสานภูเขาแดง ข้ารู้สึกได้ถึงจุดแปลกจำนวนมาก หากเปิดจุดแปลก ก็มีสองความเป็นไปได้ หนึ่งคือเจ้ากับข้าออกจากภูเขาแดง และอีกอย่าง…เราอาจจะพบกับคนรู้จักที่ไม่อยากเจอบางคน”
“ข้าอยากให้เป็นอย่างแรกมากกว่า” สวีชิงเยี่ยนตอบตามจริง
“ข้าก็อยากให้เป็นอย่างแรกเหมือนกัน…แต่จุดแปลกเชื่อมไปที่ใด ข้าไม่รู้ได้” หนิงอี้ยักไหล่ด้วยความจำใจ “หากเบื้องหลังจุดแปลกเชื่อมไปหลุมปุ๋ยคอกภูเขาแดงก็ต้องอย่างนั้น ต้องไปถึงจะรู้”
สวีชิงเยี่ยนมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนิดๆ
หนิงอี้พลันยิ้ม พูดพึมพำ “เจ้าไม่ต้องกังวล…ต่อให้บอกข้าว่าหลังเปิดจุดแปลกที่นี่แล้ว ข้าจะเจอองค์ชายสามที่กำลังกินอุจจาระอยู่ในคอกปุ๋ยหมักอย่างมีความสุข ข้าก็ไม่คิดจะออกจากสุสานนี่หรอก”
สวีชิงเยี่ยนสังเกตเห็นว่าหนิงอี้นั่งยองลง เก็บไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจหลายเม็ดใต้ศิลาโบราณขึ้นมา
ไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจ
นางขมวดคิ้ว “เจ้าจะสู้กับเขาอีกรึ”
หนิงอี้ตอบอืมจากในจมูกเบาๆ เขามองไข่มุกกลมในมือพลางเอ่ยเบาๆ “ถ้าสบโอกาส ข้าจะทุ่มสุดตัว ก่อนหน้านี้ข้าเสียเปรียบ จะปล่อยเขาไปเช่นนี้ไม่ได้”
สวีชิงเยี่ยนเงียบลง
นางพยายามนึก สวีชิงเยี่ยนจำได้ว่าตนเหมือนจะได้ยินเสียงคำรามด้วยความโกรธของเจียงหลิน นั่นเพราะยอดปีศาจกิเลนถูกกัดเนื้อตรงคอไป ไปทั้งเลือดทั้งเนื้อ หนังยังไม่เหลือ ตอนนั้นเจียงหลินคำรามเสียงดัง สั่นสะเทือนในสุสานใต้ดิน…เมื่อตรึกตรองดูดีๆ นางนึกไม่ออกเลยว่าหนิงอี้เสียเปรียบอะไรกันแน่
“ข้ารู้ว่าเขาชื่อเจียงหลิน แต่เขาไม่รู้ว่าข้าชื่อหนิงอี้”
เด็กหนุ่มบีบไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจแตก แดนโบราณที่ผนึกแสงดาราที่นี่ พลังของไข่มุกครรภ์ซึมผ่านผิวหนัง ภายในดวงตาหนิงอี้เริ่มมีแสงสว่างลุกโชนขึ้นช้าๆ
“แม้ข้าจะไม่เคยไปใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ…แต่ดีเลวอย่างไรตอนนี้ก็เป็นอันดับหนึ่งรายนามดาราต้าสุย”
หนิงอี้แสยะปากยิ้ม “หากผู้บำเพ็ญปีศาจพวกนั้นไม่เคยได้ยินนามของข้าเลย นั่นจะไม่เสียเปรียบหนักเลยหรือ”
………………………..