ตั้งสติก่อนออโรร่า ตั้งสติ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ… ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่จู่ ๆ ก็บังเอิญรู้ความจริงข้อหนึ่งเข้า
ซิลวี่เป็นนักบุญ.. ได้ไงเนี่ย
ราส นักบุญมันมีได้มากกว่าหนึ่งคนไหม
‘ถามอะไรบ้า ๆ น่ะยัยหนู นักบุญในยุค ๆ หนึ่งจะมีเพียงคนเดียว เพราะพลังอันยิ่งใหญ่ที่สืบทอดมาจากนักบุญคนแรกนั้นมีเพียงหนึ่ง สิ่งที่จะมอบพลังให้คือหลักเกณฑ์แห่งสวรรค์เป็นตัวตัดสิน ทว่าสิ่งนั้นจะมอบพลังให้กับตัวตนอันเหมาะสม หลังจากที่ตัวตนนั้นตายไปก็จะยึดคืนแล้วส่งมันไปให้กับคนที่เหมาะสมต่อ ดังนั้นไม่มีทางที่จะมีนักบุญสองคนในเวลาเดียวกันเด็ดขาด’
จากคำพูดของราสทำให้ผมเข้าใจหลักเกณฑ์ของนักบุญ ทว่ากรณีของผมนั้นมันไม่ใช่ เพราะว่าพลังที่ผมมีอยู่นี้มันเกิดจากพรแห่งปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าเป็นคนเอามายัดใส่ เป็นพลังที่มากพอจะบิดเบือนหลักการของโลก นั่นก็หมายความว่าพลังนักบุญที่เป็นของกลางนั้นยังหาคนที่เป็นเจ้าของจริง ๆ ไม่พบ
โอ้ นี่หมายความว่าคนที่เป็นนักบุญจริง ๆ คือซิลวี่เหรอเนี่ย..
นับเป็นเรื่องสุดยอดที่สุดในชีวิตที่ได้รู้เลยนะ แบบนี้ ภาระในชีวิตทั้งหมดที่ได้มาไม่ว่าจะเป็นงานหนักหนาสาหัส หรือมรสุมการเมืองที่ถาโถมเข้าใส่ ผมก็สามารถโยนมันให้คนอื่นได้อย่างสบาย นี่มันคือข่าวดีที่สุดเลยไม่ใช่เหรอไง
อิสระ อิสรภาพกำลังรอผมอยู่!!!
แน่นอนว่าอันที่จริงก็ไม่อยากโยนขี้ใส่หน้าชาวบ้านหรอก แต่แหม ซิลวี่เองก็อยากได้พลังอะไรแบบนี้ มันก็ดีเลยไม่ใช่เหรอ จะได้เป็นการพิสูจน์ตัวเองของเธอให้กับครอบครัวไงล่ะ
‘ไม่รู้ว่าทำไม แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังพยายามหาข้ออ้างอะไรบางอย่างอยู่’
ยังดีที่เจ้าราสนั้นยังไม่รู้เรื่องที่ผมคิด ไม่งั้นมันคงได้โวยวายไปสามวันสามคืนแน่นอน
“มันเป็นอย่างไรกันแน่ครับท่านนักบุญ”
ยังไม่ได้วางแผนอะไรต่อ แต่เสียงของท่านดยุคก็เรียกให้ผมตื่นขึ้นจากความคิดของตัวเอง ทำให้ผมรีบเก็บอาการแล้วตีหน้าเป็นนักบุญผู้น่าเชื่อถือโดยทันควัน
“ผนึกยังคงมีอยู่ค่ะ”
“โอ้ นับเป็นข่าวดี”
“แต่ว่าผนึกเองก็เริ่มไม่ไหวแล้วค่ะ มันอ่อนกำลังลงมากจนเกิดรอยรั่วให้วิญญาณร้ายหลุดเข้ามา… ดาบเล่มนี้แสดงนิมิตให้หนูเห็นเช่นนั้นค่ะ”
“รอยรั่วงั้นเหรอ นับเป็นข่าวร้ายที่แย่ที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งกลอริเอลมาเลย”
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังอะไรอีกต่อไป ถึงผมจะไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวาย แต่ตอนนี้มันคนล่ะเรื่องกับเมื่อครู่ที่คิดว่าเป็นความเข้าใจผิด หากเรื่องโกหกกลายเป็นเรื่องจริง ถ้างั้นก็มีแต่ยอมรับและหาทางแก้ปัญหาเท่านั้น ไม่เช่นนั้นสิ่งที่รอเราอยู่คงเป็นภัยพิบัติอันใหญ่หลวง
“ไม่สิ ตรงหน้าเรามีท่านนักบุญอยู่ ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของท่านมันน่าจะ…”
“ไม่ค่ะ คงเป็นไปไม่ได้”
“หมายความว่าไงกันครับท่านนักบุญ”
ท่านดยุคสีหน้าดูซีดลงไปทันทีเมื่อถูกผมปฏิเสธเข้าอย่างจัง ไม่ใช่แค่เขา แต่รวมถึงขุนนางและเหล่านักบวชคนอื่นด้วย
“จริงอยู่ว่าพลังในตัวของหนูนั้นช่างมากมายนัก ทว่าอายุยังน้อย การฝึกควบคุมพลังก็ยังไม่มากพอ ดังนั้นหากให้รีบปิดในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าร่างกายจะทนไหวไหม”
ที่พูดไปนั้นเป็นจริงครึ่งหนึ่ง อีกครั้งนั้นมั่วถั่วเอาล้วน ๆ เพราะขืนยอมรับไปว่าทำได้ล่ะก็ งานทั้งหลายคงมากองที่ผมมากกว่าเดิมแน่นอนแถมผมก็มีเป้าหมายของตัวเองอยู่แล้วด้วย
“แต่หากมีคนช่วยเหลือล่ะก็ หนูคิดว่าคงเป็นไปได้”
“แน่นอนครับ พวกเราเหล่าผู้ศรัทธาแห่งพระองค์ท่านนั้นพร้อมที่จะช่วยเหลือท่านเสมอ แม้จะไม่เท่ากับเหล่านักบวชจากเมืองหลวงแต่พวกเราจะไม่เป็นภาระท่านแน่นอน”
เหล่านักบวชแห่งแคว้นกลอริเอลต่างรีบเสนอตัวขึ้นมาอย่างทันทีทันใด แน่นอนว่าผมไม่คิดจะปฏิเสธความช่วยเหลือของพวกเขาหรอกเพราะว่าเอาจริง ๆ แล้วผมก็ยังไม่มั่นใจเหมือนกันว่าไอ้ที่ตัวเงอจะทำอยู่นี่มันจะสำเร็จจริงเหรอเปล่า
“แน่นอนค่ะว่าพวกท่านนั้นไม่มีทางเป็นตัวถ่วง ทว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่แค่พลังแต่เป็นสื่อกลาง มีเพียงผู้ถูกเลือกโดยซิลฟอร์เทียเท่านั้นที่จะสามารถเป็นสื่อกลางเสริมอาคมให้กับมันได้”
“ผู้ถูกเลือกโดยซิลฟอร์เทีย? มีเพียงนักบุญเท่านั้นที่ถูกเลือกโดยมันแล้วนี่ท่านหมายถึงอะไรกัน”
“แน่นอนค่ะ มีเพียงนักบุญ และที่นี่เอง…”
ผมสูดลมหายใจของตัวเองเข้าลึก ๆ รวบรวมพลังและสติทั้งหมดที่มีก่อนจะเริ่มปรับมีเตอร์การแสดงในหัวของตัวเอง
ระดับการแสดงเป็นศาสดา:สูงสุด
ระดับการขายตรง: สูงสุด
“ก็ยังมีนักบุญอีกคนหนึ่ง”
!!!!
ผมพูดขึ้นมาพลางกวาดมือของตัวเองไปยังร่าง ๆ หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างท่านดยุค เรียกสายตาทั้งหมดมองไปทางเดียวกันจนร่างนั่นสะดุ้งอย่างตกใจ
“อะ..อัล เอ่อ ท่านออโรร่า นี่หมายความว่าอย่างไรกันคะ?”
“ใช่แล้วท่านนักบุญ แม้จะเป็นท่าน แต่การพูดเรื่องล้อเล่นในเวลานี่ ข้าคิดว่าไม่ควร”
“ใครว่าหนู.. ไม่สิ ใครว่าเราล้อเล่นงั้นเหรอคะ ภายใต้นามแห่งพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ มีเหรอที่ตัวเราจะพูดอะไรส่งเดจจนทำให้นามของพระองค์แปดเปื้อนได้”
ทำการใหญ่ ใจมันต้องเหี้ยม เล่นมันต้องใหญ่ ดังนั้นมีอะไรใส่ได้ก็จงใส่ให้หมด ด้วยประสบการณ์ชั่วโมงบินของการบังคับเปลี่ยนคำพูดให้กลายเป็นผู้ศรัทธาแห่งพระเจ้า ทำให้ผมจัดทางมันได้และก็สามารถใช้มันได้เช่นกัน
“ปาฏิหาริย์คือสิ่งที่พระองค์มอบให้แก่พวกเรา คือควาเมตตาของพระองค์ เช่นนั้นในยุคอันแสนวุ่นวายเช่นนี้ เหตุใดพระองค์จะไม่มอบความเมตตานั่นให้กับพวกเรากันล่ะ”
“เรื่องนั้น….”
พวกเขาเริ่มลังเลใจ เมื่อเจอการโน้มน้าวฉบับใช้ศรัทธาเป็นเครื่องมือ
“ตะ…แต่ว่าถึงท่านออโรร่าจะพูดเช่นนั้น ถึงปาฏิหาริย์จะมีจริง แต่มันควรเกิดขึ้นกับฉันงั้นเหรอคะ”
“ซิลเวีย เจ้าใจเย็นก่อน”
ซิลวี่ร้องออกมาเมื่อได้ฟังคำของผม น้ำเสียงของเธอมันเต็มไปด้วยความสับสน ความกังวลใจ ความหวาดกลัว จนพ่อของเธอต้องรีบเข้ามาจับไหล่เพื่อห้ามปรามแต่เธอยังคงพูดต่อไป
“นักบุญตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น ท่านออโรร่าแสดงให้ฉันเห็นตลอดค่ะ ว่ามันเป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน และต้องมีพลังและความสามารถเพียงใด แต่ตัวฉันน่ะ ตัวฉันที่แม้แต่ความกล้าที่จะก้าวออกเดินด้วยตัวเองยังไม่มี… คนที่แม้แต่ความกล้าที่จะยืนหยัดในความคิดของตัวเองยังไม่มีน่ะ ไม่มีทางที่จะยืนอยู่ที่เดียวกับท่านได้หรอกค่ะ”
บางทีผมอาจจะกดดันเธอหนักเกินไป หรือบางทีเธออาจจะเก็บกดมากเกินไป ไม่มีใครรู้ว่าสาเหตุมันเพราะอะไร แต่ตอนนี้น้ำตาของเธอมันเริ่มไหลออกมา แววตานั่นสั่นเทาด้วยความกลัวและความสับสนจนลึกเข้าไปถึงจิตใจ
เห็นแบบนี้แล้วทำเอาใจของผมมันรู้สึกผิดขึ้นมาสำหรับแผนที่คิดขึ้น แต่นี่น่ะไม่ใช่แค่เพื่อตัวผมเอง แต่มันก็เพื่อตัวเธอ ตัวเธอที่สมควรจะได้รับตำแหน่งนี้ หากไม่มีผมเธอก็ควรได้ยืนอยู่ในที่ ๆ นี่อยู่แล้วเพราะงั้นผมแค่กำลังทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องก็เท่านั้น
“เช่นนั้นจะบอกว่าแสงสีฟ้าที่เรืองรองนั่นเป็นเรื่องโกหกเหรอคะ แสงแห่งซิลฟอร์เทีย.. ไม่สิ จะบอกว่าฉันโกหกซิลวี่งั้นเหรอคะ”
“เรื่องนั้นน่ะ…”
“ปาฏิหาริย์ของท่านคือความเมตตาอันยิ่งใหญ่ คือแสงที่ส่องสว่างให้เห็นความจริงแท้ เช่นนั้นขอท่านโปรดได้สำแดงพลังของท่านแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลายด้วยเถิด”
ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้เธออย่างช้า ๆ พร้อมกันก็ค่อย ๆ เรียกปาฏิหาริย์ที่เพิ่งเกิดให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ผมทำให้มันชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ทันใดนั้นเองซิลฟอร์เทียได้ส่องสว่างเจิดจ้าอีกครั้ง แสงสีฟ้าของมันเฉิดฉายไปทั่วทั้งห้องจนราวกับเป็นท้องฟ้าที่ปกคลุมดวงดาว และภายใต้ท้องฟ้านั่นมีแสงอันเรืองรองสองจุดกำลังเดินเข้าหากัน หนึ่งคือผม และอีกหนึ่ง….
“แสงสีฟ้าอันงดงามแห่งซิลฟอร์เทีย สิ่งนี้ซิลวี่จะบอกว่ามันไม่จริงงั้นเหรอคะ?”
ผมค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมา นี่ไม่ใช่ยิ้มที่เสแสร้ง มันเป็นรอยยิ้มที่เพื่อนคนหนึ่งอยากจะให้กำลังใจเพื่อนอีกคนที่หม่นหมอง
“เรื่องนั้น…..”
“ถ้าหากซิลวี่ไม่เชื่อมั่นในตัวเองล่ะก็ เช่นนั้นก็เชื่อมั่นในตัวฉันก็ได้ค่ะ เชื่อในตัวฉันที่เชื่อในตัวซิลวี่น่ะ”
มือของผมได้ยื่นออกไป ดวงตาสีฟ้าใสงดงามนั่นจ้องมองมือของผมด้วยความลังเล มือของเธอสั่นเทาเล็กน้อยก่อนจะกำแน่นทีหนึ่งแล้วค่อย ๆ ยื่นออกมา
ไม่มีใครที่มาขัดขวางพวกเรา ทุกสายตาต่างจ้องมองดูสายใยของมิตรภาพที่ค่อย ๆ ทักทอขึ้นของเด็กทั้งสองดุจตำนานที่ควรจะ…..
ตู้มมมมมมม
ว๊อททททท
แรงสั่นสะเทือนมหาศาลบังเกิดขึ้นคล้ายกับมีสิ่งของขนาดใหญ่พุ่งเข้ากระแทกโดยตรงกับตัวปราสาท จนทำเอาปราสาททั้งหลังสั่นสะเทือน ร่างหลายร่างต่างเซล้มลงไปมา ทางผมเองก็เช่นกัน…
นี่มันอะไรเนี่ย นี่มันเกิดอะไรขึ้น ใครกัน ใครกันที่มาทำลายฉากสุดซึ้งของออโรร่าน้อยและซิลวี่!!!
ตึก ๆ
“ท่านดยุค เรื่องด่วนครับ ตอนนี้ได้มีฝูงวิญญาณร้ายสีดำจำนวนมากปรากฏขึ้นไปทั่วทั้งเมืองเลยครับ ทหารและเหล่านักบวชพยายามจะไปหยุดยั้งแต่ว่าจำนวนของพวกมันมากเกินไปเกรงว่าจะอพยพประชาชนไม่ทันครับ”
นี่อะไร ละครหลังข่าวเหรอ ไหงปีศาจมันถึงมาโผล่ขั้นได้ถูกจังหวะราวกับเล็งเอาไว้แบบนี้กัน นี่กลัวไม่มีบทกันเหรอไงถึงโผล่มาแทรกกันแบบนี้เนี่ยหา ตอบ!!!
“รายงาน!! ที่มุมทางเหนือของเมือง ปรากฏกองทัพของคนเถื่อนขึ้น เกรงว่าจะเป็นพวกลัทธิปีศาจครับ!!”
ไอ้พวกนี่ก็เหมือนกัน โผล่อย่างกับนัดกันมา กลัวผู้กำกับตัดบทมากขนาดรีบแย่งกันโผล่เลยเหรอ ช่วยให้ฉากมิตรภาพมันจบก่อนดิเฮ้ยแล้วค่อยเริ่มฉากบู้ ไม่งั้นละครของออโรร่าน้อยมันก็กลายเป็นละครเกรดบีกันก่อนพอดีน่ะสิ!!
“โธ่เว้ย รีบกระจายกำลังออกไปจัดการ ให้กำลังบางส่วนเตรียมรับมือที่กำแพง ตอนนี้การอพยพผู้คนสำคัญสุด!!”
ท่านดยุครีบพยายามสั่งการก่อนที่ทหารของเขาจะรับคำแล้ววิ่งกระจายตัวออกไป ด้วยเหตุนี้ เหล่าขุนนางทั้งหลายที่เข้ามาอยู่ในห้องนี้เพื่อดูฉากเปิดตัวของซิลฟอร์เทียจึงรีบวิ่งหนีตายกันจนเหลือแต่นักบวชที่เตรียมรอทำพิธีเสริมบาเรีย
“ท่านนักบุญ ครั้งนี้พวกเราคงต้องขอรบกวนท่านอีกครา หากท่านสามารถซ่อมบาเรียได้อย่างน้อยก็ทำให้พวกเราตัดปัญหาไปได้หนึ่ง ถ้าแค่ลัทธินับถือปีศาจพวกข้าคิดว่ารับมือได้”
“ค่ะ เรื่องนั้นไม่มีปัญหา หากเหล่าผู้ศรัทธาได้ร่วมมือกัน ไม่ว่าสิ่งใดก็ย่อมผ่านไปได้ ใช่ไหมคะซิลวี่”
ผมพูดพลางหันไปหาเพื่อนที่อยู่ตรงหน้า ด้วยความมั่นใจ หากเป็นพลังแห่งมิตรภาพล่ะก็ ไม่ว่าอะไรก็สามารถชนะได้ ด้วยการรวมพลังของนักบุญที่แท้จริงและนักบุญเสริมแบบผมแล้ว รับรองว่าจะผีหรือคนเถื่อนก็ไม่คณามือ
“ใช่ไหมคะ ซิลวี่”
ไร้เสียงตอบกลับใด ๆ จนทำเอาผมทวนเรียกชื่อเธอและหันไปมอง ทว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลับเป็นเพียงความว่างเปล่า ไร้ตัวตนของเด็กสาวผมสีทองเมื่อครู่
ซิลวี่…. ซิลวี่หายไปแล้ววววววววว
————————————————————————————————————
จะเห็นฉากสวยงามของเรื่องนี้งั้นเหรอ ฝันไปเถอะ ชีวิตน่ะมันไม่ได้สวยแบบนั้นหรอกนะอีหนูออโรร่า
ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจจ้า