”ใช่แล้วขอรับ! ตี้จวิน ท่านไม่รู้หรือขอรับว่าอรหันต์หงส์เพลิงแสดงฝีมือได้อย่างดีเยี่ยมในการชำระล้างทะเลเลือดครั้งนี้” เซียนคนนั้นมีท่าทางประหลาดใจ ”ข้าได้ยินมาว่าในระยะเวลาอีกห้าร้อยปีข้างหน้านี้ จะไม่มีวิญญาณร้ายเกิดขึ้นในทะเลเลือดอีก เวลานี้ สามารถเรียกได้ว่ามันเป็นการช่วยสรรพสัตว์บนโลกให้พ้นทุกข์อย่างแท้จริงขอรับ”
ดวงตาของชายหนุ่มหรี่ตาลง ”นางชำระล้างทะเลเลือดหรือ”
เขาเคยไปที่สี่เส้นทางแห่งความชั่วร้ายมาก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาเกิดมาในภพภูมิแห่งความโกลาหลอีกด้วย ดังนั้นแน่นอนว่าเขาย่อมคุ้นเคยกับทะเลเลือดเป็นอย่างดี
การชำระล้างทะเลเลือดไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หลายคนคิด
พระพุทธเจ้าเป็นเพียงข้อยกเว้นเดียว เพราะสมัยนั้นเขาเคยใช้ร่างกายของตัวเองเพื่อชำระล้างวิญญาณร้าย
เขาเคยสาบานเอาไว้ว่า ”ตราบใดที่ทะเลเลือดไม่ได้รับการชำระล้าง ข้าจะไม่เป็นพระพุทธเจ้า” และแล้วในที่สุดเขาก็สามารถทำให้วิญญาณร้ายเหล่านั้นสงบลงได้
นอกเหนือจากนั้น ก็ไม่เคยมีใครสามารถชำระล้างทะเลเลือดได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นภพสวรรค์หรือพระพุทธศาสนาก็ตาม
แม้เขาจะสามารถทำเช่นนั้นได้ แต่เขาไม่รู้ว่าหงส์เพลิงจะสามารถทำได้เหมือนกัน
เขาเคลื่อนสายตาขึ้นเมื่อคิดได้ดังนี้ น้ำเสียงของเขาคล้ายจะสั่งเล็กน้อย ”นำข้อความไปส่งให้ทางพระพุทธศาสนาแล้วพาหงส์เพลิงมาที่นี่”
”เมื่อวานนี้เราส่งข้อความไปแล้วขอรับ อรหันต์หงส์เพลิงบอกว่านางจะไม่มาทานข้าวที่นี่” เซียนคนนั้นตอบเสียงเบา ”นางอาจจะกำลังเตรียมงานเลี้ยงของพระพุทธศาสนาอยู่กระมัง”
นิ้วของชายหนุ่มหยุดเคลื่อนไหวไปครู่หนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก อย่างไรมันก็เป็นเรื่องปกติที่นางจะยุ่งหลังจากกลับมาจากนรก
ตอนแรกเขาไม่ได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจมากนัก
จนกระทั่งวันที่สามตอนที่เขาให้คนนำข้อความไปส่งเป็นครั้งที่สาม แต่เขากลับได้รับการปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง
ชายหนุ่มเดินทางไปที่ดินแดนพระพุทธศาสนาด้วยตัวเอง และถามสามเณรน้อยเบาๆ ว่า ”เกิดอะไรขึ้นกับพระอรหันต์หรือเปล่า”
สามเณรน้อยส่ายหน้าพร้อมกับกะพริบตากลมโตใส่เขา ”ไม่มีอะไรขอรับ แต่ช่วงนี้พระอรหันต์ชอบไปสวดมนต์ที่ใต้ต้นโพธิ์ ดูเหมือนนางจะไม่ได้ออกไปไหนบ่อยๆ อีกด้วยขอรับ”
”สวดมนต์ที่ใต้ต้นโพธิ์หรือ” ชายหนุ่มทวน ดวงตาลึกล้ำของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา จากนั้นเขาจึงยิ้มออกมา ”เจ้าช่วยถามพระอรหันต์ได้หรือไม่ว่านางตั้งใจจะกลับไปทานข้าวที่ภพสวรรค์หลังจากสวดมนต์เสร็จเมื่อใด”
สามเณรน้อยร้องอา เขาเอ่ยขึ้นอย่างลังเลหลังจากสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอากาศ ”ตี้จวินขอรับ อรหันต์หงส์เพลิงบอกว่านางจะไม่ไปที่นั่นอีกขอรับ”
”หมายความว่าอย่างไรที่ว่าจะไม่ไปอีก” ชายหนุ่มค่อยๆ กระตุกริมฝีปากขึ้น รอยยิ้มเย็นเฉียบและเกรี้ยวกราดนั้นราวกับจะสามารถทำให้เมฆทั่วท้องฟ้าลอยหายไป
สามเณรน้อยไม่สามารถอธิบายอะไรไปมากกว่านี้ได้ แต่ความกังวลอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือความโกรธของตี้จวิน หากตี้จวินโมโหขึ้นมา เรื่องคงได้เลวร้ายลงแน่
เซียนที่ติดตามรับใช้ชายหนุ่มอยู่ด้านหลังก็มีความคิดเช่นเดียวกัน เขารีบถือกล่องอาหารเดินออกมาข้างหน้าพลางพยายามคลายความตึงเครียดที่อยู่ในอากาศ ”สามเณรน้อย นี่คืออาหารมังสวิรัติที่ตี้จวินสั่งให้คนทำมาให้นางเป็นพิเศษ มันเป็นอาหารบำรุงร่างกายสำหรับนาง ในเมื่อนางกำลังยุ่งอยู่กับการสวดมนต์ เช่นนั้นเราไม่ไปรบกวนนางจะดีกว่า เจ้าช่วยนำข้อความไปบอกนาง และอย่าให้นางอดอาหารได้หรือไม่”
”แต่อรหันต์ไม่อนุญาตให้ข้าเข้าไปขอรับ! อีกอย่างนางก็ไม่ได้ทานอาหารมังสวิรัติมาหลายวันแล้ว นางขังตัวเองอยู่แต่ในเขตหวงห้ามของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขอรับ นอกจากรดน้ำต้นโพธิ์แล้ว นางก็ไม่พูดกับใครอีกขอรับ แม้แต่ที่งานเลี้ยงของพระพุทธศาสนาเมื่อสองวันก่อน นางก็…”
สามเณรน้อยยังพูดไม่ทันจบ ตี้จวินก็สะบัดแขนเสื้อแล้วส่งอาหารมังสวิรัติลอยไปกระแทกลงกับพื้นเสียก่อน เขายืนหลังตรงอยู่ตรงนั้นพร้อมกับเสื้อคลุมยาวระพื้นท่ามกลางเสียงนั้น หมอกสีดำที่หมุนวนอยู่ด้านหลังของเขาดูน่ากลัวทีเดียว
ไม่มีใครกล้าหยุดเขา การเป็นผู้นำของกองทัพสัตว์อสูรและปีศาจทุกตนทำให้ไม่มีใครกล้าเผชิญหน้ากับเขา แม้จะเป็นพระพุทธศาสนาก็ตาม
เขาเดินขึ้นบันไดที่ปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆ ทะเลสาบใสกระจ่างราวกับหยกล้อมรอบต้นโพธิ์ขนาดยักษ์ปรากฏสู่สายตา ที่ใต้ต้นไม้มีเงาร่างที่คุ้นเคยนั่งอยู่ ดวงตาของนางปิดลงเล็กน้อยขณะเอียงศีรษะพิงลำต้นของต้นโพธิ์ ผมสีดำยาวยาวสยายขนาบอยู่ข้างตัวของนางพร้อมกับเสื้อคลุมสีขาวที่ปลิวไสว แต่นางกลับไม่รู้สึกถึงเรื่องนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ดูเหมือนต้นโพธิ์จะเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในสายตาของนาง ใบหน้าของนางสงบราบเรียบราวกับว่าต้นโพธิ์ต้นนั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่นางพึ่งพาได้
เป็นอีกครั้งที่นางผลักไสและมองข้ามเขาไป
ดวงตาเย็นชาของเขายิ่งดูเย็นชาขึ้นอีก น้ำเสียงของเขาลุ่มลึก ”นี่คือเหตุผลที่เจ้าไม่สนใจข้าตลอดหลายวันที่ผ่านมาหรือ เพราะเจ้าต้องการรดน้ำต้นโพธิ์สุดที่รักของเจ้าน่ะหรือ”
ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น หงส์เพลิงก็ลืมตาขึ้นแล้วมองไปทางเขา
นางนึกไม่ถึงว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้น
มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่เขาจะเกิดความสนใจอยากฝึกนางให้เชื่องขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่นางชำระล้างทะเลเลือด
หรือไม่เขาก็คงคิดว่าเขายังไม่สามารถเอาชนะใจนางได้โดยสมบูรณ์เพราะหลายวันนี้นางไม่ได้ติดต่อเขากลับไป
แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเพราะเหตุผลใดก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
หงส์เพลิงไม่คิดจะหาคำตอบในเวลานี้ นางไม่สนใจที่จะตอบด้วยซ้ำ แทนที่จะทำเช่นนั้น นางกลับทำเพียงแค่ยกมือขึ้น
กระจกสัมฤทธิ์หล่นลงบนมือของตี้จวิน
มันเป็นกระจกขนาดเล็ก ทำเลียนแบบกระจกวิเศษที่ตี้จวินสร้างขึ้น มันควรอยู่ในแดนปีศาจเพราะมันสามารถบันทึกสิ่งต่างๆ ได้อย่างมากมาย
ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยสัญญากันว่าจะสร้างความทรงจำร่วมกันแล้วเก็บไว้ในกระจก
ตอนนี้พอนางมาคิดดูแล้ว นางมักจะรู้สึกเสียวสันหลังทุกครั้งที่นางตื่นขึ้นจากความทรงจำเหล่านั้น
ข้าควรโทษตัวเองที่เป็นคนกระตือรือร้นเกินไปหรือเปล่า
เหมือนอย่างที่คนเขาว่ากัน ผู้หญิงที่เป็นฝ่ายเข้าหาผู้ชายก่อนมักไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชมในสายตาคนอื่นนัก
แต่ถึงนางจะได้โอกาสเป็นครั้งที่สอง นางก็ยังจะทำเช่นเดิมอยู่ดี
เพียงแต่ความหยิ่งผยองของนางกลับไม่ยอมให้นางต้องตกอยู่ในสภาพจนตรอกเช่นนั้น
นางได้ยินคนพูดกันว่าแม่มดนางนั้นเพิ่งไปที่ตำหนักเทพมาเมื่อไม่กี่วันนี้
เรื่องของพวกเขาสองคนเป็นเช่นนี้นี่เอง
ช่างไร้ความหมายจริงๆ!
จากความไม่ลงรอยกันในตอนแรก จนกระทั่งมาถึงการทำข้อตกลงร่วมกันในภายหลัง
เป็นเพราะความโดดเดี่ยวหรือ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้ายอมมอบหัวใจให้เขาอย่างง่ายดายหรือ
หากเป็นเช่นนั้น พวกเราแยกย้ายกันไปตามทางของพวกเราคงจะดีกว่า
หงส์เพลิงไอออกมาเล็กน้อย ไหล่ซ้ายของนางยังเจ็บอยู่ ดังนั้นนางจึงไม่คิดที่จะลุกขึ้นยืน
ดวงตาคู่งามของชายหนุ่มหรี่ลงขณะที่เขามองนาง ”เจ้าทำอะไร”
”ข้าคืนมันให้ท่าน” วิธีที่หงส์เพลิงกระตุกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มนั้นยังคงดูเกียจคร้านเหมือนเช่นเดิม
ครั้งหนึ่งตี้จวินเคยเอ่ยว่าเขาเกลียดท่าทางเฉยเมยของนาง ”ข้าถึงได้ถามเจ้าอยู่อย่างไร! ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่!”
”พวกเราอยู่ด้วยกันมาได้ระยะหนึ่งแล้ว” หงส์เพลิงงอขาเล็กน้อย ”หากดูจากนิสัยของท่านแล้ว มันน่าจะถึงเวลาที่พวกเราจะแยกทางกันแล้วกระมัง”
ตี้จวินหัวเราะอย่างเย็นชา ”ข้าไม่รู้ว่าข้ามีนิสัยอย่างไร แต่ถ้าเจ้าอยากทะเลาะกับข้า ข้าขอแนะนำให้เจ้าหาเหตุผลที่ดีกว่านี้มาอ้างจะดีกว่า”
”ข้าไม่ได้อยากทะเลาะกับท่าน ทะเลาะไปก็ไร้ประโยชน์” หงส์เพลิงเอนหลังพิงต้นโพธิ์พร้อมกับยิ้มให้เขา
ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยทะเลาะกันมาก่อนในช่วงที่ความสัมพันธ์ของพวกเขายังดีอยู่ แต่ส่วนมากการทะเลาะวิวาทนั้นมักจะจบลงด้วยการจูบ
แต่พวกเขาสองคนรู้ดีว่าการทะเลาะกันครั้งนี้แตกต่างไปจากครั้งอื่น
นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่เคยพูดว่าจะเลิกกันมาก่อน...
หงส์เพลิงยิ้มแล้วพูดต่อ ”พวกเราควรไปตามทางของตัวเอง อย่างไรมันก็ถึงเวลาแล้ว”
ใบหน้าหล่อเหลาของตี้จวินดำทะมึน จากนั้นเขาจึงกระชากนางให้ลุกขึ้นยืน รอยยิ้มเยาะหยันวาดขึ้นบนริมฝีปากบางของเขา นิ้วของเขาจับร่างของนางไว้แน่นจนขึ้นข้อขาว จากนั้นเขาจึงถามว่า ”เจ้าได้ยินสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาหรือเปล่า”