บทที่ 282 เข้าพบนายกเทศมนตรี
ระหว่างที่ไป๋เยี่ยกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น อาคามอสก็ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง…
เมื่ออาคามอสเห็นว่าไป๋เยี่ยยังคงเงียบ เขาก็ยิ่งใจไม่ค่อยดี นี่เราพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
อาคามอสจึงรีบเอ่ยปากอธิบายทันที “อาจารย์ไป๋ ผมรู้ดีว่าคุณไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงเงินทอง แต่ว่าโมลโดเป็นคนเขียนหนังสือเกี่ยวกับกระดูกหลายเล่ม และเขายังเป็นคนที่เก่งมากด้วย ถึงเขาจะเป็นแค่รองแต่ความสามารถของเขาไม่เป็นรองใครนะครับ แต่เพราะว่าเขาไม่ชอบงานบริหารก็เลยได้เป็นรองประธานกิตติมศักดิ์เท่านั้นเอง”
ไป๋เยี่ยไม่ได้คิดดูถูกอีกฝ่ายเลย ที่จริงเขากลับเบิกบานใจมากด้วยซ้ำ การที่มีผู้เชี่ยวชาญมาเข้าร่วมแบบนี้ จะต้องทำให้เขาอัปขึ้นเลเวลเจ็ดได้ในเร็ววันแน่ จากนั้นเขาก็จะเขียนหนังสือ ‘เวชศาสตร์ฉุกเฉิน’ ที่จะมีอิทธิพลไปทั่วโลก
ทว่าไป๋เยี่ยก็ยังคงอยู่ในภวังค์ความคิด เขาจึงได้แต่ส่งเสียงพึมพำเบาๆ “ได้สิ ผมตกลง”
พูดจบ ไป๋เยี่ยก็หันหลังและเดินจากไปทันที อาคามอสมองตามร่างที่เดินไปอีกทางพลางถอนหายใจออกมา นี่สินะปรมาจารย์ เขาดูไม่หวงวิชาเลย
อาคามอสทึ่งไปครู่หนึ่ง…
นับเป็นบุญอย่างยิ่งที่ได้เรียนกับคนอย่างไป๋เยี่ย
ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในประเทศเยอรมนี โมลโดเดินไปเดินมาด้วยความกระวนกระวายใจ เขานอนไม่หลับมาหลายคืนแล้วตั้งแต่รู้เรื่องไป๋เยี่ยจากอาคามอส
เขาเป็นคนกระหายความรู้ เขาเผชิญกับปัญหาคอขวดในสาขาศัลยกรรมกระดูกมาหลายปีแล้ว จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาได้พูดคุยกับอาคามอส และอีกฝ่ายดันหลุดปากพูดถึงมุมมองของไป๋เยี่ยออกมา หลังจากที่เขาใช้เวลาหาข้อมูลไปหนึ่งวันเต็มๆ โมลโดก็ค้นพบว่าไป๋เยี่ยคือคนที่ประสบความสำเร็จในสาขาศัลยกรรมกระดูกคนหนึ่ง
ทำให้โมลโดอดใจที่จะเดินทางมาเมียนมาไม่ไหว ทว่า…เขาก็ยังมีอุปสรรคบางอย่าง
ในวงการวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นจีนหรือตะวันตก สมัยโบราณหรือสมัยใหม่ก็ตาม พวกนักวิชาการมักจะมีนิสัยที่ไม่ดีอย่างหนึ่ง นั่นคือพวกเขามักหวงวิชากับคนที่มีความรู้ระดับเดียวกัน
ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญหลายคนจึงไม่ค่อยยินยอมที่จะให้คนระดับเดียวกันเรียนรู้จากพวกเขา แต่มักจะชอบให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้จากพวกเขามากกว่า ซึ่งความจริงข้อนี้ก็พิสูจน์ได้ด้วยตนเองจริงๆ
ก่อนอื่นโมลโดต้องได้รับอนุญาตจากไป๋เยี่ยก่อนถึงจะออกเดินทางได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่รอฟังข่าวจากอาคามอสอย่างกระวนกระวาย
เขากลัวว่าไป๋เยี่ยจะไม่อนุญาต จากจุดที่เขายืนอยู่ จะก้าวไปข้างหน้าไม่ง่ายเลย เพราะก้าวเล็กๆ ของเขาก็อาจจะเป็นก้าวใหญ่ของมวลมนุษยชาติก็เป็นได้
อย่างไรเสียตอนนี้โอกาสก็มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ทำไมเขาจะไม่ตื่นเต้น
โมลโดหายใจเข้าลึกๆ ให้ตนเองผ่อนคลายลง
จริงอยู่ที่ว่าบนโลกนี้มีผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อมากมาย และหลายคนก็เก่งกว่าเขามาก ทว่าแนวคิดของแต่ละคนหาใช่สิ่งที่จะลบล้างได้ทุกเมื่อ ทุกคนย่อมมีแนวคิดเป็นของตนเอง การจะลบล้างแนวคิดใดๆ นั้นเป็นเรื่องยาก และการละเมิดแนวคิดของตนเองก็คือการปฏิเสธผลงานที่ตนสร้างขึ้นนั่นเอง ถึงตอนนี้โมลโดก็อายุห้าสิบเกือบหกสิบปีแล้ว เขายังคิดที่จะลบล้างงานวิจัยที่ทุ่มเทมาทั้งชีวิตอีกหรือ
ไม่มีทาง! ไม่มีทางเด็ดขาด
ระหว่างที่โมลโดได้พูดคุยกับอาคามอสนั้น เขาก็รู้สึกว่าแนวคิดของไป๋เยี่ยมีส่วนช่วยในการต่อยอดแนวคิดของเขา คล้ายกับว่าเป็นแนวคิดเสริมอย่างหนึ่ง ทำให้เขาประทับใจในตัวไป๋เยี่ยมาก!
รอไม่ไหวแล้ว!
“จิงเกิลเบลล์…จิงเกิลเบลล์…”
โมลโดคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น “สวัสดีครับ ผมโมลโด”
อาคามอสหัวเราะลั่น “โมลโด อาจารย์ไป๋เยี่ยตกลงให้นายมาที่นี่ รีบจองตั๋วเครื่องบินมาเร็ว!”
น้ำเสียงตื่นเต้นของอาคามอสนั้นเป็นเสมือนเสียงจากสวรรค์สำหรับโมลโด!
เขาจึงรีบเก็บสัมภาระและมุ่งหน้าไปสนามบินเพื่อออกเดินทางไปยังเมียนมาทันที
วันรุ่งขึ้น ไป๋เยี่ยเห็นว่าเลขานายกเทศมนตรีมาหาเขาแต่เช้า
เขาพาไป๋เยี่ยไปนั่งพูดคุยกันที่สำนักงานชั่วคราว ทันทีที่นายกเทศมนตรีเห็นไป๋เยี่ยเดินเข้ามา เขาก็รีบยืนขึ้นกล่าวต้อนรับ
“นั่งลงเถอะครับ คุณไป๋เยี่ย”
นายกเทศมนตรีมีนามว่า ‘ต้วนเจ๋อหมิง’ เขาเป็นชายวัยกลางคนที่มักแสดงสีหน้าหมองหม่นไม่ยิ้มแย้มตลอดเวลา
ไป๋เยี่ยพยักหน้า เขาประทับใจต้วนเจ๋อหมิงอยู่พอสมควร และต้วนเจ๋อหมิงเองก็สมควรได้รับความเคารพจากไป๋เยี่ย เพราะตลอดที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ต้วนเจ๋อหมิงไม่ได้เดินทางออกจากเมืองเลย กลับกัน เขาได้นำกองกำลังและประชาชนจำนวนมากเข้ามาช่วยบรรเทาทกข์ผู้คนที่เผชิญกับแผ่นดินไหว
ไป๋เยี่ยเอ่ย “ขอบคุณครับท่านนายกเทศมนตรี ท่านเรียกผมมามีอะไรเหรอครับ”
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ” ต้วนเจ๋อหมิงพยักหน้าลงพลางสบตากับไป๋เยี่ยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ครั้งนี้…ผมต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ ถ้าไม่มีคุณ เมืองของเราคงจะเหลือแต่ซากไปหมดแล้ว” ต้วนเจ๋อหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างจริงใจ
ไป๋เยี่ยส่ายหัว “เป็นหน้าที่ของผมครับ”
ต้วนเจ๋อหมิงพูดต่อ “วันนี้ท่านประธานาธิบดีถามผมมาว่าปฏิบัติการช่วยเหลือจะจบลงตอนไหน”
ไป๋เยี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้เหลือคนไม่มากที่ต้องการความช่วยเหลือ บรรดาคนที่ช่วยออกมาก็ได้รับการช่วยเหลือไปหมดแล้ว ส่วนคนที่ช่วยออกมาไม่ได้…ก็คงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว
ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ก็คือคนที่ยังต้องอยู่รักษาตัวก่อน
ตอนนี้ถนนหลายสายในเมืองถูกเคลียร์เรียบร้อยแล้ว คาดว่าการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเหล่านี้ไปยังโรงพยาบาลใกล้เคียงคงใช้เวลาไม่นานแล้ว
ไป๋เยี่ยคิดแล้วก็ลองเปิดดูค่าประสบการณ์ของเขาซึ่งตอนนี้อยู่ที่เลเวลหก 91000/10000 ขาดค่าประสบการณ์อีกไม่ถึงหมื่นแต้มก็จะขึ้นเลเวลเจ็ดแล้ว
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเร่งมือหน่อยแล้ว ทว่าค่าประสบการณ์ก็เพิ่มยากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นไป๋เยี่ยจึงต้องหาวิธีการใหม่ จู่ๆ ไป๋เยี่ยก็นึกขึ้นได้ถึงคำพูดของอาคามอสเมื่อคืนนี้ ถ้าเราใช้ที่นี่เป็นตัวล่อให้ผู้เชี่ยวชาญเดินทางมาเข้าร่วมล่ะ
หลังจากที่เชิญพวกเขามาแล้ว ก็จัดการประชุมแลกเปลี่ยนความรู้แล้วใช้โอกาสนั้นแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพวกเขา ทำแบบนี้ต้องได้ค่าประสบการณ์เยอะแน่ๆ
ไป๋เยี่ยลองพิจารณาให้รอบคอบก่อนจะเอ่ย “คงประมาณสิบวันครับ ผู้บาดเจ็บทุกคนเริ่มมีอาการคงที่แล้ว ถึงตอนนั้นก็เคลื่อนย้ายได้แล้วครับ”
ต้วนเจ๋อหมิงพยักหน้า จากนั้นก็หยิบแผนที่ในลิ้นชักออกมากางบนโต๊ะ
“ท่านประธานาธิบดีบอกมาว่าหลังจากที่คุณเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทั้งหมดออกไปแล้ว เราจะทำความสะอาดเมืองครั้งใหญ่ พอฤดูหนาวผ่านไปก็จะมาวางผังเมืองใหม่”
ทุกคนรู้ดีว่าการก่อสร้างในช่วงฤดูหนาวแทบเป็นไปไม่ได้เลย เดาว่าท่านประธานาธิบดีคงจะรอให้ผู้บาดเจ็บทั้งหมดถูกเคลื่อนย้ายไปที่อื่นก่อนจะเริ่มซ่อมแซมเมืองหลังภัยพิบัติและรอวางผังเมืองใหม่ในอนาคต
ต้วนเจ๋อหมิงถามขึ้น “คุณอยากได้ที่ดินตรงไหนล่ะ”
ไป๋เยี่ยกำลังจะเดินออกไป ทว่าคำถามของต้วนเจ๋อหมิงกลับรั้งเขาไว้ อยากได้ที่ดินตรงไหน ม…หมายความว่าไง
ไป๋เยี่ยเบิกตากว้างก่อนจะถามอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ “ท่านครับ ท่าน…หมายความว่าอะไรกันครับ”
สีหน้าของต้วนเจ๋อหมิงยังคงนิ่งเรียบ “หลังจากที่เราวางผังเมืองเสร็จแล้ว คุณจะมีที่ดินเป็นของตัวเองหนึ่งผืน ลองดูแผนที่ไว้ก่อนสิ ตอนที่ท่านประธานาธิบดีให้เลือกจะได้ไม่ตกใจมาก”