บทที่ 284 รับศิษย์
เมื่อเห็นว่าไป๋เยี่ยมีความคิดที่จะเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ฉุกเฉินมารวมตัวกันอภิปรายเคสยากๆ ของผู้บาดเจ็บที่พบระหว่างเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เมียนมา ทั้งอาคามอสและโยฮันต่างก็พากันทึ่ง
อาคามอสไม่เคยคิดมาก่อนว่าไป๋เยี่ยจะเป็นคนดีขนาดนี้ เขาเต็มใจแบ่งปันทั้งประสบการณ์และความรู้ที่ตนมีให้ผู้อื่น
ถ้าเป็นคนอื่นๆ ที่มีความรู้และประสบการณ์อัดแน่นล่ะก็ พวกเขาคงจะเก็บเงียบไว้คนเดียวและส่งต่อมันให้ทายาทรุ่นต่อไปมากกว่า แม้ว่าจะไม่ได้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ของตนเองก็ตาม แต่คนเหล่านี้ก็ยังคงยื่นขอสิทธิบัตร เข้าไปมีส่วนร่วมในงานวิจัยระดับประเทศมากมาย ระดมทุนทำงานวิจัย เขียนหนังสือหรือบทความจำนวนมากและทำให้ตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญแห่งยุค!
แต่ไป๋เยี่ยนั้นต่างออกไป เขาเชิญผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ มาร่วมหารือกันเกี่ยวกับเคสผู้ป่วยอย่างเปิดเผย โดยหวังว่าทุกคนจะก้าวหน้าไปด้วยกัน นี่แหละคือการเปิดโลก!
ในที่สุดอาคามอสก็เข้าใจแล้วว่าทำไมไป๋เยี่ยถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญแห่งยุค ในขณะที่พวกเขาเป็นได้เพียงผู้เชี่ยวชาญทั่วไปเท่านั้น!
แม้แต่โมลโดเองก็ยังประทับใจในจิตวิญญาณของไป๋เยี่ย ไป๋เยี่ยทุ่มเทให้กับการพัฒนาการแพทย์อย่างหนักโดยไม่สนใจชื่อเสียงเงินทองหรือสิ่งรูปธรรมใดๆ สิ่งที่เขาต้องการจริงๆ คือการส่งเสริมให้การแพทย์เกิดการพัฒนา
เพราะจากที่คนอื่นๆ เห็นนั้น ไป๋เยี่ยกล้าเสี่ยงภัยเดินทางไปยังประเทศเมียนมาที่เพิ่งจะเกิดแผ่นดินไหวและยังคงเกิดอาฟเตอร์ช็อกตลอดเวลาซึ่งอันตรายมาก
ทว่าไป๋เยี่ยกลับเต็มใจแบ่งปันประสบการณ์ของเขาในวิกฤตการณ์ครั้งนี้กับทุกคน คุณคิดว่าบุคคลอย่างเขาควรค่าแก่การติดตามและยกย่องหรือไม่ล่ะ
อาคามอสมองไป๋เยี่ยแล้วพยักหน้าอย่างแน่วแน่ “ไม่ต้องห่วง อาจารย์ไป๋ ผมเข้าใจคุณดี คุณอยากส่งต่อความรู้ของคุณให้กับบุคลากรในแวดวงการแพทย์และหวังว่าทุกคนจะได้รับคลังความรู้อันล้ำค่านี้ไม่ต้องห่วงเลย ผมจะกระจายข่าวนี้ออกไปให้เร็วที่สุด! ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง!”
อาคามอสพูดจบก็หันหลังเดินออกไปอย่างแน่วแน่ทันที ตอนนี้เลือดที่สูบฉีดไปยังหัวใจของเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความหลงใหล ความเสียสละ และการอุทิศตน!
นอกจากนี้ เขายังประทับใจในความกล้าหาญและความใจกว้างของไป๋เยี่ยอีกด้วย
การจะเป็นแพทย์ได้ควรยึดเอาไป๋เยี่ยเป็นตัวอย่าง จะต้องรู้จักแสดงน้ำใจในยามที่ผู้คนประสบภัยอันตราย
การจะฝึกปรือทักษะใดๆ ให้เป็นเลิศได้นั้นต้องอุทิศตนเองให้ถึงที่สุด!
ถ้าอาคามอสเข้าใจภาษาจีน เขาก็คงจะแต่งกลอนให้ไป๋เยี่ยอย่างแน่นอน!
เมื่ออาคามอสออกไปแล้ว ภายในห้องก็เหลือแค่ไป๋เยี่ยและโมลโด
โมลโดมองไป๋เยี่ยก่อนจะถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วโค้งคำนับให้อีกฝ่าย “อาจารย์ไป๋ รับผมเป็นศิษย์ด้วย ผมยินดีติดตามศึกษาดูงานไปกับคุณ”
ไป๋เยี่ยถึงกับตะลึง เขาไม่คิดว่าโมลโดจะทำอะไรแบบนี้ จึงก้าวไปด้านหน้าและพยุงโมลโดขึ้นมา “ศาสตราจารย์โมลโด จริงๆ แล้วผมก็เริ่มศึกษาสาขาศัลยกรรมกระดูกจากหนังสือของคุณเนี่ยแหละครับ คุณต่างหากที่ทำให้ผมมีทุกวันนี้!”
โมลโดส่ายหัว “ไม่ครับ! การศึกษาย่อมไม่คำนึงถึงอายุ อาจารย์ไป๋ทั้งทัศนคติและความรู้ที่คุณมีนั้นควรค่าแก่การติดตามมาก คุณอย่าปฏิเสธเลยนะ”
เมื่อไป๋เยี่ยเห็นถึงความเด็ดเดี่ยวของโมลโดก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เราเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ
แต่ว่า…ถ้าเราเป็นอาจารย์ของคุณโมลโด…ไม่รู้ว่าพอกลับไปจีนแล้ว อาจารย์หลี่เจี้ยนเหว่ยจะคิดยังไงเลยแฮะ…เพราะตอนที่หลี่เจี้ยนเหว่ยกำลังเรียนสาขากระดูกและข้อ ไอดอลของเขาก็คือคุณโมลโดเนี่ยแหละ
อย่างไรเสีย โมลโดก็เป็นถึงปรมาจารย์สาขาศัลยกรรมกระดูกของเยอรมัน เขานำวิทยาการสมัยใหม่มาประยุกต์เข้ากับวิธีการผ่าตัดกระดูกได้อย่างลงตัว ซึ่งมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน
ตัวอย่างเช่นหลี่เจี้ยนเหว่ย เทคนิคการผ่าตัดของเขาก็ได้รับอิทธิพลมาจากโมลโดเช่นกัน และเขาเองก็กำลังพัฒนาความรู้เรื่องการศัลยกรรมกระดูกตามโครงสร้างทางกายวิภาค
ถ้าไป๋เยี่ยกลายเป็นอาจารย์ของโมลโด…ลำดับความอาวุโสจะต้องพังแน่ๆ
เมื่อไป๋เยี่ยเห็นว่ามอลโดจะไม่ยอมลดละความพยายามจนกว่าจะสำเร็จ เขาก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น “คุณนั่งลงก่อนครับ ผมรับปากคุณนะ แต่ว่า…ผมคงเป็นอาจารย์ไม่ได้หรอก ผมไม่เคยรับลูกศิษย์เลย…เอาแบบนี้ดีกว่า ต่อไปถ้าคุณมีปัญหาอะไรก็มาปรึกษาผมได้เลย แต่ไม่ต้องเรียกผมว่าอาจารย์นะครับ”
โมลโดได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างทันที “ขอบคุณมากอาจารย์! ยังไงผมก็ต้องเรียกคุณว่าอาจารย์ ผม โมลโด จะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังแน่นอน”
เขามีความสุขมากเมื่อได้รู้ว่าตนเองได้เป็นศิษย์คนแรกของอาจารย์ไป๋เยี่ย
ในวงการวิชาการจะให้ความสำคัญกับการสืบทอดความรู้มากเป็นพิเศษ เปรียบดั่งมรดกทางวิชาการที่ถูกส่งต่อมายังรุ่นสู่รุ่น
เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์จึงลึกซึ้งมาก แต่แน่นอนว่าก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน
จู่ๆ โมลโดก็นึกอะไรได้ เขาหยิบถ้วยชาของไป๋เยี่ยขึ้นมาและคุกเข่าลงงแล้วพูดว่า “อาจารย์ ผมขอใช้น้ำชานี้แทนเหล้า ต่อไปผมจะเตรียมมาให้พร้อมกว่านี้”
ไป๋เยี่ยรับถ้วยชานั้นมาอย่างเก้ๆ กังๆ ทว่าขณะที่เขากำลังจะดื่มชานั้น จู่ๆ อีกฝ่ายก็ขัดเขา
“เดี๋ยวก่อน!”
ไป๋เยี่ยสะดุ้งจนเกือบโดยนแก้วทิ้ง ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าอาคามอสกำลังยื่นอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าย่ำแย่
เขาจ้องมองมอลโดด้วยความโกรธพร้อมกับเอ่ยเสียงเศร้า “ให้ตายสิ โมลโด ฉันมองนายเป็นพี่ชาย แต่นายเคยมองฉันเป็นน้องชายบ้างไหม นายนี่มัน!”
อาคามอสหันกลับไปมองไป๋เยี่ย “อาจารย์! ผมเป็นศิษย์ใหญ่ของคุณ คุณจะให้สิทธิพิเศษกับโมลโดไม่ได้ ผมตามคุณมาก่อนเขาตั้งหลายวัน”
พูดจบ อาคามอสก็หยิบแก้วน้ำข้างๆ ขึ้นมาก่อนจะคุกเข่าลง “อาจารย์ รับผมเป็นศิษย์ที นับตั้งแต่วันนี้ ผม อาคามอสจะเป็นศิษย์ของอาจารย์ไป๋เยี่ย ต่อไปผมจะ…”
อาคามอสพูดจบก็จ้องมองไป๋เยี่ยด้วยสายตาแน่วแน่ “อาจารย์! โปรดดื่มชา”
ไป๋เยี่ยมองชาวต่างชาติทั้งสองคนที่กำลังหมอบลงกับพื้นด้วยสายตาว่างเปล่า
ใบหน้าของโมลโดขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความประหม่า ด้วยความที่เขาเป็นคนผิวขาวอยู่แล้ว ทำให้เห็นสีบนใบหน้าของเขาชัดเจนขึ้นไปอีก ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกว่าตนเองทำเกินไปหน่อย อย่างไรเสีย อาคามอสก็เป็นคนแนะนำให้เขามาที่นี่ พอคิดได้ดังนั้นแล้วเขาก็พูดขึ้น “อาจารย์ ผมยอมเป็นศิษย์อันดับสอง”
อาคามอสได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีใจมาก
ไป๋เยี่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากดื่มชาทั้งสองถ้วยและรับทั้งสองคนเข้ามาเป็นศิษย์ ตอนนี้เขารู้สึกทำตัวไม่ถูกเลย
เฮ้อ เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลังแล้วกัน…
อย่างไรก็ตาม ด้วยความร่วมมือของโมลโดและอาคามอสก็ทำให้ไป๋เยี่ยดำเนินการได้เร็วยิ่งขึ้นทั้งสองคนช่วยกันรวบรวมรายชื่อและในที่สุดก็ได้เลือกรายชื่อของผู้เชี่ยวชาญออกมาราวๆ สิบชื่อ
จากนั้นไป๋เยี่ยก็โทรศัพท์ติดต่อผู้เชี่ยวชาญทีละคน โชคดีที่ในเมืองยังพอมีสัญญาณอยู่ ไม่อย่างนั้นไป๋เยี่ยคงจะต้องใช้นกพิราบส่งสาสน์แทน
ชื่อเสียงของอาคามอสและโมลโดยังถือว่าโด่งดังอยู่ อีกทั้งสถานะของพวกเขายังชัดเจนมากอีกด้วย ดังนั้นหลังจากที่ทุกคนทราบข่าวก็เริ่มเกิดความสงสัยขึ้นเล็กน้อย ทว่าก็มีเพียงผู้คนบางส่วนที่ตัดสินใจตามเรื่องนี้ต่อ