บทที่ 652 การช่วยเหลือหวังหยู
หวังหยูกดร่างของหลูเสวี่ยนไว้ เขามองไปทั่วร่างกายของหลูเสวี่ยนแล้วอ้าปากกัดไปเต็มแรง กลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายอยู่ในปากของเขา เนื้อของหลูเสวี่ยนแทบจะขาดออกจากกัน
ตอนนั้นในหัวของหวังหยูคิดเพียงแต่ว่าเขาจะกัดหลูเสวี่ยนให้ตาย จะได้ไม่รอดชีวิตไปทำร้ายเจ้านายของเขา!
องครักษ์ของหลู่เสวี่ยนมีปฏิกิริยาอย่างรวดเร็ว เขาเข้ามาผลักหวังหยูออกไป ตอนนั้นหลู่เสวี่ยนนอนหงายไม่ได้สติแล้ว
เขากำลังจะตาย…
ไม่มีใครสนใจหวังหยู เด็กหนุ่มถูกโยนทิ้งไปข้าง ๆ มีโครงไม้หนักๆ ทับอยู่ บนเรือนร่างที่เต็มไปด้วยรอยแส้
องครักษ์ของหลู่เสวี่ยนพาเจ้านายไปหาหมอทันที ประตูห้องขังชั้นใต้ดินเปิดและปิดลงอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงแสงเทียนที่ให้แสงสว่างอยู่เท่านั้น
การบาดเจ็บเช่นนี้ หากเทียบกับในอดีตที่ผ่านมาแล้ว เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หวังหยูคุ้นเคยกับรสชาติความเจ็บปวดแบบนี้มานานแล้ว แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าเจ้านายของเขาทำให้เขามีความรู้สึก …ว่าตัวเขาเป็นมนุษย์เหมือนคนอื่นๆ เช่นกัน
คงจะดีหากหวังหยูจะอยู่แต่ในมุมมืดไม่เคยเห็นแสงอาทิตย์มาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้เคยสัมผัสกับแสงสว่างที่อบอุ่นเช่นนั้นแล้ว ยากที่จะทำให้เขาลืมเลือน
เจ้านาย…
เจ้านายจะเสียใจที่หวังหยูหายไปหรือไม่? นางจะตามหาเขาหรือไม่
ในหัวใจของหวังอยูมีความหวังที่เลือนลางอยู่ เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด อาจจะหนึ่งชั่วยาม หรือหนึ่งวันที่ประตูห้องชั้นใต้ดินเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับหลู่เสวี่ยนที่เดินเข้ามา
จากบทเรียนที่ผ่านมาตอนนี้องครักษ์ของหลู่เสวี่ยนจึงไม่ปล่อยให้หวังหยูได้เข้าใกล้เจ้านายของพวกเขาอีก
“ไอ้ทาสชั้นต่ำ กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายข้า! เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำแบบนี้แล้วจะเป็นยังไง?” หลู่เสวี่ยนพูดด้วยความเย็นชา
หวังอยูนอนอยู่บนพื้นแน่นิ่ง เงียบงัน เด็กหนุ่มรู้สึกว่าเสียงของอีกฝ่ายค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท
“ข้าจะไม่ให้เจ้าตายง่ายๆ หรอก ข้าจะเฉือนเนื้อเจ้าออกทีละชิ้น เจ้าต้องเจ็บปวดยิ่งกว่าความตาย!”
หลังจากที่หลู่เสวี่ยนพูดจบ เขาเตะไปที่ศีรษะของหวังหยู จากนั้นจึงเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ หวังหยูถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเด็กหนุ่มมองไปที่หลู่เสวี่ยนอย่างไร้ความรู้สึกอีกต่อไป มันดูเฉยเมยแต่กล้าหาญ สายตาเช่นนั้นเป็นการท้าทาย ทำให้หลู่เสวี่ยนอดไม่ไหวต้องเดินเข้ามาใกล้หวังหยู เขายื่นมือออกมาคว้าคอหวังหยูเอาไว้ โดยมีองครักษ์ของหลู่เสวี่ยนสองสามคนยืนคุมเชิงไว้เพื่อไม่ให้หวังหยูก่อปัญหาอีก
เขาบีบคอหวังหยู
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าอากาศในปอดของเขากำลังเบาบางลงเรื่อยๆ ในตอนนั้นเองหวังหยูจึงรู้แล้วว่าแท้จริงแล้ว เขาไม่ได้อยากตาย เขายังอยากฝึกศิลปะการต่อสู้อยู่ อยากเป็นองครักษ์ให้กับเจ้านายของเขา เขาไม่อยากแยกกับซานเป่า
เขาจะตายไม่ได้..เจ้านาย…!
ในตอนที่เขากำลังหมดสติ หวังหยูเห็นเจ้านายของตัวเอง เขาคิดว่าตนเองประสาทหลอนเพราะความตายที่ใกล้เข้ามา เจ้านาย…ข้าขอโทษ หวังหยูผู้นี้คงไม่สามารถเป็นองครักษ์ให้ท่านได้อีกต่อไปแล้ว หยดน้ำตาค่อยๆ ซึมออกมาที่หางตาของเขา แต่แล้วความอึดอัดกลับมลายหายไปทันที คนที่บีบคอเขาอยู่ถูกกระชากตัวออกไป
เป็นเจ้านายของเขา!
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล ริมฝีปากของนางอ้าหุบราวกับว่ากำลังจะบอกอะไรบางอย่าง แล้วไม่นานนักหวังหยูก็ได้ยินเสียงของซานเป่า..
“หวังหยู ไม่ต้องกลัวนะข้ามาช่วยเจ้าแล้ว”
หวังหยูมองเจ้านายด้วยแววตาตื่นตะลึงราวกับว่านางเป็นคนเดียวที่อุบัติขึ้นมาระหว่างสวรรค์และใต้หล้า ร่างกายของนางราวกับมีแสงสว่างส่องออกมา
มีดสั้นในมือของซานเป่าตัดเชือกที่มัดตัวของหวังหยูออก องครักษ์ของนางรีบเข้ามาพยุงหวังหยูทันที ในขณะที่หลู่เสวี่ยนถูกคนที่นางพามาด้วยจัดการ หญิงสาวโกรธมากเมื่อเห็นว่าใบหน้าของหวังหยูเปื้อนไปด้วยเลือด นางอยากจะฆ่าหลู่เสวี่ยนให้ตาย! แต่ถังหลี่ห้ามนางไว้ ด้วยไม่อยากให้มือของบุตรสาวต้องมาแปดเปื้อนเพราะสัตว์ร้ายตัวนี้
“ท่านแม่ ข้าอยากพาหวังหยูกลับบ้าน” ซานเป่าซุกไปในอ้อมแขนของถังหลี่แล้วพูด
“เอาสิ กลับบ้านกัน” ถังหลี่พูดออกมาเบาๆ
ถังหลี่และซานเป่าจากห้องใต้ดินแห่งนั้นไปพร้อมกับหวังหยู ห้องนี้อยู่ใต้จวนผิงหยางโหวใจกลางเมือง ทำให้หาได้ยากมาก ถังหลี่คิดว่าเป็นหลู่เสวี่ยนที่ลักพาตัวหวังหยูมา ดังนั้นนางจึงให้องครักษ์เงามุ่งเป้าหมายไปที่เขา เมื่อหญิงสาวได้ข่าวเกี่ยวกับที่อยู่ของหวังหยู นางรีบพาซานเป่ามาที่ห้องใต้ดินแห่งนี้ทันที จึงได้พบกับภาพที่เขานอนจมกองเลือดอยูู่อย่างอเน็จอนาถ
“ท่านแม่ หากเรามาช้ากว่านี้ หวังหยูคง…” ซานเป่าพูดด้วยความหวาดกลัว
ตอนที่นางเข้ามาซานเป่าเห็นว่าหลู่เสวี่ยนกำลังบีบคอหวังหยูอยู่ หากนางมาช้ากว่านี้อีกก้าวล่ะก็…หวังหยูที่นางพบคงเป็นร่างที่เย็นชืดเท่านั้น …โชคดีที่มาทันเวลา
“ท่านแม่..เหตุใดจึงมีคนเลวทรามเช่นนี้ได้?” ซานเป่าอดไม่ได้ที่จะถาม นางเคยเห็นคนเลวแต่ไม่เคยเห็นคนที่ ชั่วร้ายไปจนถึงกระดูกเช่นนี้มาก่อน ถังหลี่กอดซานเป่าไว้แน่น
โลกก็เป็นแบบนี้ บนโลกนี้ล้วนมีทั้งคนดีและเลวปะปนกันอยู่ ขึ้นชื่อว่าคนนับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจได้ยากยิ่ง หลู่เสวี่ยนไม่อาจนับว่าเป็นคนได้เลยด้วยซ้ำ เขาเหมือนสัตว์ร้ายมากกว่า
ไอ้ปีศาจน้อยตัวนี้ต้องจบไม่สวยแน่…
ที่จวนอู่โหว
หวังหยูนอนพักบนเตียง ตอนนี้หมอจางกำลังรอให้เขาฟื้นอยู่ หลังจากที่หมอจางเห็นบาดแผลบนตัวของหวังหยูเขารู้สึกโกรธมาก ก่อนหน้านี้เป็นเขาที่รักษาอาการบาดเจ็บของหวังหยู เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มอาการดีขึ้น สุขภาพร่างกายแข็งแรง ทำให้เขารู้สึกสบายใจ แต่ชั่วพริบตาไอ้เด็กสารเลวคนนั้นก็จับเขาไปทรมานอีกครั้ง หมอจางโกรธแทบตาย
“ไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะรักษาเจ้าอย่างดี ถ้าเจ็บก็แค่ร้องออกมา ตกลงหรือไม่?” เสียงของหมอจางอ่อนโยนราวกับกำลังปลอบประโลมเด็กน้อย
หวังหยูนอนอยู่บนเตียงมีผู้คนอ่อนโยนล้อมรอบ ตอนนี้เขาได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง สถานที่อันอบอุ่นแห่งนี้ ทำให้เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดและหวาดกลัวอีกต่อไป เขามีความสุขมาก
แต่ในขณะเดียวกันหมอจางกลับรู้สึกปวดใจ ในขณะที่รักษาบาดแผลให้กับหวังหยู เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังยิ้มได้ทำให้เขาประหลาดใจ
“ทั้งๆที่เจ็บขนาดนี้แต่เจ้ายังหัวเราะ หรือสมองของเจ้าจะได้รับการกระทบกระเทือน ข้าขอดูอาการบาดเจ็บที่ศีรษะเจ้าหน่อยสิ”
ในขณะที่พูดเขาก็มองไปที่ศีรษะของหวังหยูและพบว่ามีบาดแผลจริงๆ
“โอ้..” หมอจางอ้าปากค้างอุทานออกมา เขาอดไม่ได้ที่จะดุด่าคนที่ทำให้เด็กหนุ่มตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หมอจางก่นด่าพึมพำไม่หยุดปากเลยทีเดียว
ไม่นานนักเขาก็รักษาจนเสร็จเรียบร้อย เขายืนขึ้น
“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าต้องนอนนิ่งๆห้ามไปไหน ข้าจะมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เจ้าในวันพรุ่งนี้” หมอจางบอกเรื่องข้อควรระวังก่อนจะจากไป
พอหมอจางจากไปซานเป่ารีบเข้าไปทันที หวังหยูมองเด็กสาวตาไม่กระพริบ ดีเหลือเกินที่เขาได้พบกับเจ้านายของตัวเองอีกครั้ง
“หมอจางขี้บ่นมาก หูของเจ้าโดนคำพูดของเขาทิ่มแทงมากหรือไม่?” ซานเป่าถาม
แม้ว่าหมอจางจะอายุมากกว่าหมอซู แต่เขากลับเป็นลูกศิษย์ของหมอซู เมื่อพูดถึงเรื่องนี้การพบกันของทั้งสองเป็นเรื่องที่น่าขบขันมาก พวกเขามีปากเสียงกันเพราะผู้ป่วยคนหนึ่ง หมอจางบอกว่าผู้ป่วยคนนี้ไม่มีทางรักษาได้ แต่หมอซูบอกว่าช่วยได้และยังแนะนำวิธีที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนให้ฟัง ทำให้หมอจางคิดว่าเขาพูดจาไร้สาระ ซ้ำยังเยาะเย้ยเขาอีก แต่สุดท้ายแล้ววิธีที่หมอซูพูดก็ช่วยชีวิตคนไข้ได้จริงๆ ทำให้หมอจางคุกเข่าขอฝากตัวเป็นศิษย์กับหมอซูทันที
แม้ว่าหมอซูจะไม่เห็นด้วยแต่หมอจางก็ยังคงดื้อดึง ยกให้หมอซูเป็นอาจารย์ของเขาและมักจะขอคำแนะนำอยู่เสมอ ในตอนที่อยู่กับหมอซูหมอจางจะสงบปากสงบคำเป็นคนที่เชื่อฟังมาก..
ลองนึกภาพชายชราที่เชื่อฟังเหมือนเด็กๆสิ…
คงเป็นเพราะซานเป่ารู้สึกคิดถึงหมอซูนิดหน่อย..
“ถ้าหมอซูอยู่ เขาจะไม่ขี้บ่นเช่นนี้” ซานเป่ากล่าว
หวังหยูส่ายศีรษะไปมา เขาไม่ได้รู้สึกว่าหมอจางพูดมาก เขาแค่รู้สึกอบอุ่นที่ทุกคนในสกุลอู่เป็นคนดีเช่นนี้
“เอาล่ะ เจ้าพักผ่อนเถอะนะ หากหมอจางทราบว่าข้ารบกวนเจ้าเช่นนี้ข้าคงโดนบ่นอีกแน่นอน” ซานเป่าแลบลิ้นหนึ่งครั้งแล้วหันหลังทำท่าจะจากไป
“หลู่เสวี่ยน..” หวังหยูพูดเบาๆ เขายังคงคิดถึงสิ่งที่หลู่เสวี่ยนพูดเรื่องจะทำร้ายเจ้านายของตัวเองได้ เขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บ
“ท่านแม่บอกว่าจะจัดการเรื่องของเขาเอง ไม่ต้องกังวลนะเจ้าพักผ่อนเถอะ” ซานเป่าว่าก่อนจะหันหลังจากไป
หวังหยูกระพริบตามองประตูที่ปิดลง เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวปิดใบหน้าของตัวเองจนมิด เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆกลิ่นที่คุ้นเคยทำให้เขารู้สึกสบายใจมากขึ้น เขาหลับลงสู่ห้วงฝัน ในความฝันนั้นมีมือใหญ่ดึงเขาเข้าไปในห้องโถง ในโถงแห่งนั้นมีเสาทองคำขนาดใหญ่สี่ต้นถูกแกะสลักด้วยลวดลายแปลกประหลาด แต่ดูราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับสถานที่นั้นเป็นอย่างดี หวังหยูถูกพาลงไปด้านล่างของบันไดและคุกเข่าลง เขาเงยหน้าขึ้นพบกับคนผู้หนึ่ง
ร่างกายของคนผู้นั้นถูกปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์ ท่าทีของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความเย็นชา แม้หวังหยูจะเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจนนัก ในมือของเขาอุ้มเด็กทารกคนหนึ่งไว้
“ความสวามิภักดิ์ของเจ้าจะถูกฝังอยู่ในเลือดเนื้อและกระดูกของเจ้า จงจำไว้ว่านางคือคนที่เจ้าต้องสาบานว่าจะภักดีไปจวบชีวิตจะหาไม่” คนที่จับมือของหวังหยูไว้พูดออกมา ภาพจำสุดท้ายของเขาคือเด็กน้อยผู้นั้นกำลังมองตรงมาที่หวังหยู แม้เขาจะเห็นใบหน้านางไม่ชัด แต่ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นทอประกายงดงามยิ่ง..