บทที่ 717 ความทะเยอทะยานของจ้าวชู
“หวังหยู่หลาง” จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา เขาสะดุ้งสุดตัว รับรู้ได้ว่ามีคนอยู่ข้างหลังตน ชายคนนั้นมีสีหน้าเย็นชา เขาจำอีกฝ่ายได้
..นี่ไม่ใช่ราชทูตจากราชสำนักหรอกหรือ?
“อู่…ใต้เท้าอู่” หวังหยู่หลางคุกเข่าตรงหน้าเว่ยฉิงอย่างรวดเร็ว
“คลังอาวุธหลงเซียนของเจ้าผลิตลูกธนูได้ถึงหนึ่งล้านลูกต่อปี แต่มีเพียงห้าแสนดอกเท่านั้นที่ถูกมอบให้ทางการ แล้วอีกห้าแสนดอกไปอยู่ที่ไหน?” เว่ยฉิงไม่อ้อมค้อม สีหน้าของหวังหยู่หลางเปลี่ยนไปทันที
“ใต้เท้าอู่ข้าไม่เข้าใจว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไร พวกเขาผลิตได้แค่ห้าแสนดอกต่อปีเท่านั้นขอรับ”
“หวังหยู่หลาง เจ้ากำลังปกปิดอะไรไว้ ข้าสามารถสืบสวนได้ง่ายมาก หากเจ้าพูดความจริงตั้งแต่ตอนนี้ โทษอาจเป็นสถานเบา แต่ถ้าให้ข้าขู่เข็ญเอาความจริงแล้ว เจ้าตายแน่!”
เสียงของเว่ยฉิงกระด้าง
“ลูกน้องของข้าไม่ใช่คนอารมณ์ดี ซ้ำความอดทนยังมีจำกัด เขาหาวิธีที่ทรมานเจ้าได้เลวร้ายกว่าความตายแน่นอน”
หวังหยู่หลางไม่ตอบคำถามของเว่ยฉิง ปกติแล้วเขาเป็นคนเรียบๆ ดูกลมกลืนไปกับฝูงชน แต่เขาจะกังวลอยู่เสมอว่าจะมีใครเปิดโปงขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมา
ไม่คาดว่าวันนั้นจะมาถึงแล้ว
“ใต้เท้าให้อภัยข้าด้วย ลูกธนูเหล่านั้นผลิตได้ปีละแปดแสนดอกเท่านั้น แต่นายท่านลู่ขอให้ข้าใส่จำนวนเพียงห้าแสนขอรับ”
“แล้วที่เหลืออยู่ไหน?”
“ที่เหลือข้าไม่ทราบขอรับ มีเพียงนายท่านลู่เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้” หวังหยู่หลางพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ เขาจึงชำเลืองมอง ก็พบว่าใต้เท้าอู่กำลังจ้องเขาอยู่
“ลู่…นายท่านลู่มียอดฝีมือชื่อฟานอยู่ข้างกายขอรับ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่นำมันออกไป แต่ข้าไม่รู้จริงๆ ว่ามันถูกส่งไปไหน”
หวังหยู่หลางรีบอธิบายด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“ใต้เท้า ข้าเป็นเพียงลูกน้อง ข้ารู้แต่เพียงเท่านี้ขอรับ ที่เหลือข้าไม่รู้จริงๆ” เว่ยฉิงเห็นว่าอีกฝ่ายไม่รู้อะไรมากไปกว่านี้ เขาจึงขู่ไปว่าห้ามปริปากบอกเรื่องในคืนนี้กับลู่ตี้จูอย่างเด็ดขาด เขาไม่อยากให้คนร้ายไหวตัวทัน คนขี้ขลาดแบบหวังหยู่หลางเมื่อเห็นว่าตัวเองมีโอกาสได้แก้ตัวก็รีบตอบตกลงทันที เขาจะลางานอยู่บ้านในวันรุ่งขึ้นและไม่เอ่ยปากพูดอะไรกับลู่ตี้จูอีก
เว่ยฉิงให้องครักษ์เงาไปลักพาตัวยอดฝีมือฟานที่อยู่ข้างกายลู่ตี้จูมา เขาปากแข็งกว่าหวังหยู่หลางมาก เว่ยฉิงต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะล้วงความลับจากปากของเขา เมื่อเค้นได้ความจึงรู้ว่าลูกธนูเหล่านั้นถูกส่งไปยังสถานที่ที่เรียกว่าเป่ยหยวน โดยมีคนคอยดูแลอีกทีหนึ่ง แต่จะถูกส่งต่อไปที่ไหนเขาเองก็ไม่รู้ เว่ยฉิงหยิบแผนที่ของวั่งเซี่ยนออกมากางดู ก็พบว่าเป่ยหยวนเป็นเมืองเล็กๆ อยู่ห่างจากเมืองหลวงไปหนึ่งร้อยลี้ ภูมิประเทศโดยรอบที่ใกล้กับเป่ยหยวน แบ่งเป็นสามทิศ หลายสิบลี้ทางทิศตะวันออกเป็นแม่น้ำสายใหญ่ ทางตะวันตกเป็นหน้าผา ส่วนด้านเหนือนั้นเป็นป่าทึบ ยิ่งไปกว่านั้นหากเดินทางมุ่งหน้าขึ้นทางเหนือด้วยม้า ก็จะสามารถถึงบริเวณรอบเมืองหลวงได้ภายในสามหรือสี่วัน
เว่ยฉิงครุ่นคิด องค์หญิงใหญ่นั้นมีกำลังทหารส่วนตัวในมณฑลวั่งเซี่ยน จ้าวชูก็อาจจะซุ่มกำลังส่วนตัวในวั่งเซี่ยนได้เช่นกัน
นั่นมิได้หมายความว่าจ้าวชูกำลังคิดก่อการกบฏอยู่หรอกหรือ?
หากเป็นเช่นนั้นจริง เว่ยฉิงต้องเร่งค้นหาลูกธนูที่หายไปให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นเมืองหลวงจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายเป็นแน่ ลูกๆ ของเขา และทั้งสกุลอู่ สกุลกู้เองก็จะตกอยู่ในอันตราย
นั่นเป็นเพียงความคาดเดาของเขาเท่านั้น ลูกธนูที่ถูกส่งไปทางเหนือพวกนี้อาจจะนำไปใช้กับเรื่องอื่นก็เป็นได้
เรื่องกบฏเป็นเรื่องร้ายแรง หากกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานแน่นหนาจะเกิดภัยย้อนเข้าหาตัวเขาได้เช่นกัน
เว่ยฉิงชี้ไปยังจุดหนึ่งบนแผนที่ เป่ยหยวน เขาต้องรีบไปที่นี่ให้เร็วที่สุด
เว่ยฉิงควบม้าไปเป่ยหยวนอย่างร้อนใจ เขาเดินทางไม่หยุด สองวันต่อมาก็ถึงเป่ยหยวน หลังจากเดินไปรอบๆป่าทึบที่อยู่บนภูเขาเป็นเวลาครึ่งวัน พยายามมองหาทำเลที่เหมาะที่สมในการซุ่มกองกำลัง เมื่อตรวจสอบดู เขาก็เห็นกระโจมนับไม่ถ้วน
เว่ยฉิงเฝ้าซุ่มแอบมองอยู่เงียบๆ เป็นเวลานาน จากการคาดเดาแล้ว ตรงนี้มีกำลังพลโดยประมาณถึงสองหมื่นนาย มีทั้งกองกำลังม้าและพื้นที่กว้างขวาง
จ้าวชูกำลังเลี้ยงดูกองกำลังส่วนตัวจริงๆ เขาตั้งใจจะก่อกบฏ!
เว่ยฉิงตัดสินใจว่าต้องรีบกลับไปที่เมืองหลวงโดยเร็วที่สุด ชายหนุ่มควบม้ารีบเร่งออกเดินทาง ระหว่างทางมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาขวางไว้ ผู้นำคนกลุ่มนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นลู่ตี้จูนั่นเอง ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปจากเดิม เขาสวมชุดดำนั่งอยู่บนหลังม้า ชี้ดาบมาทางเว่ยฉิง
“การสืบสวนของใต้เท้าอู่ ลึกล้ำจนข้าต้องขอยอม แต่บางครั้งความเฉลียวฉลาดเกินไปก็นำภัยมาสู้ตัวได้เช่นกัน!” ใบหน้าของลู่ตี้จูเย็นชา รังสีอำมหิตฉายชัดออกมาทันที เมื่อเขาพูดจบกลุ่มคนที่อยู่รอบๆ ก็บุกเข้ามาหาเว่ยฉิง
….
พระราชวังในเมืองหลวง
“ฝ่าบาท หม่อมฉันตั้งใจปรุงน้ำแกงมาถวาย ได้โปรดลิ้มรสสักหน่อยเถิดเพคะ” พระสนมเหลียงส่งชามใส่น้ำแกงถวายฮ่องเต้โจว พระองค์รับไปจิบผงกพระเศียร พลางตรัสให้กำลังใจแก่พระสนมเหลียง
“รสดี”
นางคลี่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ในยามนี้ฮ่องเต้โจวทรงพระสำราญเป็นอันมาก ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับพระสนมเหลียงก็ดีขึ้น จ้าวจิ่งซวนเองก็ขยันหมั่นเพียรมากหลังจากที่กลับมา เขาตั้งใจศึกษาเรียนรู้ซ้ำยังรู้จักกตัญญู
“วันนี้สวี่ชื่อตู้ชมเชยจิ่งซวน” พระองค์ตรัสพร้อมแย้มสรวล
“ก่อนหน้านี้ไม่ว่าอาจารย์คนไหนหากได้สั่งสอนเขาก็เอาแต่บ่นว่า แต่มาวันนี้พวกเขาต่างชมเชยจิ่งซวนเป็นอย่างมาก”
“จิ่งซวนโตขึ้นแล้ว” ฮ่องเต้โจวตรัสย้ำอีกครั้ง
“ข้าอยากแต่งตั้งจิ่งซวนขึ้นเป็นองค์รัชทายาทของข้า” หัวใจของพระสนมเหลียงพองโตด้วยความปีติยินดี แม้ว่านางจะรู้ดีว่าไม่ช้าหรือเร็วจ้าวจิ่งซวนจะได้ตำแหน่งรัชทายาท แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุขเป็นอย่างมาก นางรอคอยวันนี้มานานเหลือเกิน แต่ถึงแม้จะดีใจเพียงใด พระสนมเหลียงยังคงทูลตอบ
“ฝ่าบาท จิ่งซวนยังเด็กอยู่ จะไม่เร็วไปหรือเพคะ?”
“ไม่แล้ว เด็กคนนี้เก่งขึ้นมาก”
วันรุ่งขึ้นในท้องพระโรง
เต๋อชุนฝนหมึกในขณะที่ฮ่องเต้โจวกำลังร่างพระราชโองการ หลังจากทรงพระอักษรไปได้สักพักพระองค์รู้สึกปวดพระเศียรอย่างหนัก แม้ความเจ็บปวดจะผ่านไปแต่อาการวิงเวียนยังคงอยู่ ทำให้ไม่สบายพระทัย
ขณะนั้นเองขันทีคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท หมอเทวดามาขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”
“ให้เขาเข้ามา”
ในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา พระองค์ต้องทนกับพระอาการปวดพระเศียรอยู่บ่อยครั้ง ทรงอยากจะถามถึงยาวิเศษ หมอเทวดาช่างมาได้ถูกจังหวะจริงๆ ไม่ช้าชายวัยกลางคนในชุดนักพรต มีทีท่าสำรวมจึงได้เดินเข้ามา
“ฝ่าบาท ช่วงนี้พระองค์ทรงรู้สึกปวดพระเศียรบ่อยขึ้นหรือไม่?” หมอเทวดาถามหลังจากได้เห็นสีพระพักตร์ที่ทุกข์ทรมานของฮ่องเต้โจว
“กระหม่อมเพิ่งปรุงโอสถตัวใหม่เพื่อใช้ในการรักษาพระอาการของฝ่าบาทให้ดีขึ้นพะย่ะค่ะ” หมอเทวดากล่าว จากนั้นจึงได้ถวายยาอายุวัฒนะสีดำ
แด่ฮ่องเต้โจว