บทที่ 720 วังหลวงในช่วงที่มืดมนที่สุด
ด้านนอกพระตำหนัก
ต้วนโส่วฝู่นำขุนนางเจ็ดแปดคนคุกเข่าที่ด้านหน้าเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้โจว ขันทีที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ แจ้งว่าฮ่องเต้ทรงพระประชวร พระวรกายอ่อนแอ ยังไม่สะดวกที่จะให้เข้าเฝ้าตอนนี้ แต่ต้วนโส่วฝู่และขุนนางเจ็ดแปดคนก็ยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน แน่นอนว่าเรื่องนี้ไปถึงหูจ้าวชูทันที
“ไปดูหน่อย” จ้าวชูลุกขึ้นยืนทันที
เมื่อมาถึง จ้าวชูเห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังคุกเข่าอยู่ที่หน้าพระตำหนัก นำโดยต้วนโส่วฝู่ที่ร่างกายอ่อนแอ
“องค์ชายสาม ขุนนางเหล่านี้ยืนยันว่าจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจ หากไม่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทพะย่ะค่ะ”
“ถ้าพวกเขาอยากเข้าเฝ้าก็ให้พวกเขาเข้าเฝ้าเถิด” จ้าวชูยังคงยิ้ม
“หากได้เห็นแล้ว พวกเขาจะหุบปากเอง” เขาหันไปเอ่ยกับคนสนิท
“ปล่อยให้พวกเขาเข้าไป เอายานี่ไปเปลี่ยนด้วย” เขายื่นยาให้กับคนข้างกาย ยานี้เป็นยาที่จ้าวชูให้หมอเทวดาปรุงให้ฮ่องเต้โจว ทำให้ทรงมีพระสติขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น เขาเตรียมไว้สำหรับสถานการณ์เช่นนี้โดยเฉพาะ หนึ่งชั่วยามผ่านไปประตูพระตำหนักถูกเปิดออก ขุนนางที่คุกเข่าพากันเงยหน้าขึ้นมอง
“ฝ่าบาทเพิ่งตื่นบรรทม พวกท่านได้โปรดตามข้าเข้ามา” ขันทีที่มาเชิญพูดด้วยน้ำเสียงแหลมสูง
บรรดาขุนนางที่มีความจงรักภักดี ต่างยินดีปรีดา พวกเขาเข้ามาช่วยพยุงต้วนโส่วฝู่ให้ลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงค่อยๆ เดินเข้าไปด้านใน โดยมีเหลียงตงตามไปอย่างใกล้ชิด
เขามีความรู้สึกว่าฝ่าบาทถูกควบคุมโดยจ้าวชู
องค์ชายสามย่อมกีดกันไม่ให้พวกเขาเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นแน่ แต่ในเมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้พวกเขาเข้าเฝ้า พระบรมราชโองการฉบับนั้นอาจจะเป็นของจริง?
เมื่อเหล่าขุนนางได้เข้าไปในห้องโถง พวกเขาเห็นชายชราผู้หนึ่งนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ผมขาวโพลน ศีรษะตกราวกับไร้สติสัมปชัญญะ
“ฝ่าบาท” ต้วนโส่วฝูเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
ฮ่องเต้โจวทอดพระเนตรไปยังต้วนโส่วฝู พระองค์ตรัสวาจารับสองสามพยางค์ ต้วนโส่วฝู่ทูลถาม พระองค์ตรัสตอบทำให้ทุกคน คลายข้อสงสัย ดูเหมือนฝ่าบาทจะทรงพระประวรเท่านั้น ไม่ได้ถึงกลับไร้สติควบคุมพระองค์ไม่อยู่อย่างที่ทุกคนคิด
“ฝ่าบาท..” เหลียงตงยังไม่หายข้องใจ เขาอยากทูลถามเรื่องพระบรมราชโองการแต่งตั้งองค์ชายสามว่าเป็นของจริงหรือไม่ เขาได้แต่ทูลถามโดยอ้อมเท่านั้น
“สำหรับพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาท คงต้องหาฤกษ์มงคล..” ดูเหมือนคำว่าแต่งตั้งองค์รัชทายาทจะทำให้พระองค์ทรงไม่สบายพระทัย
ฮ่องเต้โจวส่งเสียงครางออกมาเบาๆ มีเพียงขันทีที่อยู่ใกล้ๆ เท่านั้นที่ได้ยิน
“ฝ่าบาททรงเพลียมากแล้ว พระองค์ทรงต้องการพักผ่อน” ขันทีใหญ่รีบพูดขึ้น เขารีบเข้าไปพยุงฮ่องเต้โจวทันที ขุนนางทั้งหลายจำต้องกราบทูลลา
หลังจากที่ได้เข้าเฝ้าแล้ว บรรดาขุนนางที่ภักดีต่อฮ่องเต้โจวก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขามีความจงรักภักดี ไม่ว่าพระองค์จะแต่งตั้งใครเป็นองค์รัชทายาท พวกเขาก็ไม่มีข้อกังขาใดๆ ในขณะที่ขุนนางฝ่ายองค์ชายหกกลับหม่นหมองเศร้าซึม
“ต้วนโส่วฝู่ ข้าว่าสถานการณ์ของฝ่าบาทไม่สู้ดีนะ” เหลียงตงกระซิบ
สภาพจิตใจของต้วนโส่วฝู่ย่ำแย่ ก่อนหน้านี้เขาสังเกตเห็นความผิดปกติเช่นกัน ยิ่งได้ฟังคำพูดของเหลียงตง จิตใจเขาก็ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ขุนนางที่มีความจงรักภักดีรู้สึกว่าเหลียงตงไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริงมากกว่า เพราะพวกเขาก็เห็นด้วยตาของตนเองกันแล้วว่าแล้วว่าฝ่าบาทไม่ได้ถูกควบคุมแต่อย่างใด
จ้าวชูยืนอยู่ข้างหลังเสาต้นใหญ่ เขามองไปกลุ่มขุนนางเหล่านั้น ดวงตาของจ้าวชูเลื่อนจากต้วนโส่วฝู่ไปที่เหลียงตง เจตนาฆ่าฉายชัดขึ้นในแววตาของเขา
เหตุการณ์วันนี้ที่ต้วนโส่วฝู่นำขุนนางมาคุกเข่ากดดันที่หน้าพระตำหนักคงจะเป็นเพราะคำยุยงของเหลียงตงเป็นแน่ โชคดีที่จ้าวชูมีแผนสำรองเอาไว้
เหลียงตงยังคงปกป้องจ้าวจิ่งซวนปฏิเสธที่จะให้เขาเข้าวัง ทำให้จ้าวชูรู้สึกไม่สบายใจ ตอนนี้องค์ชายหกมีกำลังสนับสนุนคือเหลียงตง หากเมื่อใดที่เหลียงตงล้มลง กองกำลังขององค์ชายหกจะปราศจากผู้นำ จ้าวจิ่งซวนจะไม่มีคนคอยคุ้มครอง หากถึงตอนนั้นเขาจะควบคุมองค์ชายหกได้ นอกจากนี้ยังเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อเตือนบรรดาขุนนางที่ไม่เชื่อฟังอีกด้วย
ความแค้นครั้งใหม่ผสมผสานกับของเดิมที่เคยมีมา จะช่วยรักษาความมั่นคงของอำนาจได้ เรียกว่าขว้างหินก้อนเดียวได้นกสามตัว
เริ่มที่เหลียงตงก่อน…
วันถัดมา
ฮ่องเต้โจวมีกระแสรับสั่งไปยังสกุลเหลียงให้เหลียงตงมาเข้าเฝ้า
หลังจากที่ได้รับกระแสรับสั่ง เหลียงตงยังไม่ได้ไปเข้าเฝ้าทันที เขาไปที่เรือนรับรองเพื่อเจอจ้าวจิ่งซวนก่อน รอบดวงตาของเด็กหนุ่มคล้ำเห็นได้ว่าเขาข่มตานอนหลับไม่ได้
หลังจากที่ได้ยินว่าท่านลุงรองไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเมื่อวานนี้ จ้าวจิ่งซวนตั้งตารอฟังข่าว แต่หลังจากที่ได้ยินว่าพระราชบิดายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ หากทว่าทรงพระประชวรหนักมาก จิตใจของจ้าวจิ่งซวนก็ซึมเศร้าลง
จ้าวจิ่งซวนกังวลเรื่องพระอาการประชวร เขาไม่ได้ต้องการบัลลังก์ แต่เสด็จพ่อต้องการให้เขาเป็นผู้สืบทอด เสด็จแม่ตรัสว่าหากจ้าวจิ่งซวนไม่ได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท วันข้างหน้าของพวกเขาจะยากลำบาก จ้าวจิ่งซวนจึงต้องเตรียมพร้อมที่จะเป็นองค์รัชทายาท
แต่พริบตาต่อมาจ้าวชูกลับได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท
หากเสด็จพ่อสบายดีแล้ว เขาจะกลับไปอยู่ในวังหลวงกับเสด็จแม่ได้หรือไม่
แต่ท่านลุงรองไม่สนับสนุน ทำให้จ้าวจิ่งซวนต้องอาศัยอยู่ในสกุลเหลียงต่อไป
“องค์ชาย ฝ่าบาทเรียกตัวกระหม่อมไปเข้าเฝ้า แต่องค์ชายยังต้องอยู่ที่นี่แล้วฟังคำของกระหม่อมให้ดี”
ที่จริงแล้วบุคลที่จ้าวจิ่งซวนไว้ใจมีจำนวนไม่มาก สกุลเหลียง สวี่เจวี๋ย เว่ยจื่ออั๋ง ทว่าทั้งสองคนก็มีอายุไล่เรี่ยกับจ้าวจิ่งซวน เขาพึ่งพาทั้งสองคนมากเกินไปคงไม่ดี ตอนนี้เขาจึงได้แต่พึ่งพาท่านลุงรองของเขาเท่านั้น
“องค์ชาย ได้โปรดจำเอาไว้ว่าถึงแม้เมฆดำจะบดบังดวงตะวันแต่ก็อย่าได้สิ้นหวัง ยอมพ่ายแพ้ ตราบใดที่ยังมีชีวิต สักวันหนึ่งท้องฟ้าจะต้องแจ่มใสและได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง” เหลียงตงเอ่ยออกมาด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง เขาจ้องหลานชายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจากไป
จ้าวจิ่งซวนรู้สึกถึงการจ้องมองอย่างมีนัยของท่านลุงรอง ทำให้เกิดความไม่สบายใจ เขาสั่งให้ข้ารับใช้มารายงานทันทีเมื่อเหลียงตงกลับมา
อย่างไรก็ตามตั้งแต่เช้าถึงบ่ายก็ไม่มีข่าวว่าเหลียงตงกลับมายังจวน ข่าวที่ได้รับกลับกลายเป็นว่าท่านลุงพยายามจะสังหารเสด็จพ่อและถูกตัดสินโทษประหารชีวิตทันที
ใบหน้าของจ้าวจิ่งซวนซีดเผือด เป็นเรื่องยากที่จะยอมรับได้
เขาไม่เชื่อว่าท่านลุงจะสังหารเสด็จพ่อ เขาไม่ยอมรับว่าท่านลุงที่ยังเห็นกันเมื่อตอนเช้าได้จากเขาไปเสียแล้ว
ทันใดนั้นจ้าวจิ่งซวนก็ฉุกคิดถึงท่าทีของเหลียงตงก่อนจากไป ท่านลุงต้องสังเกตถึงความผิดปกติในการเข้าเฝ้าในครั้งนี้ แต่ในเมื่อรู้แล้วเหตุใดท่านลุงจึงจะเข้าไปอีก?
หรือเขาไม่มีทางเลือก?
เดิมทีท่านลุงกล่าวว่าเสด็จพ่อทรงพระประชวร พระอาการไม่สู้ดี แต่หลังจากเหตุการณ์นี้จ้าวจิ่งซวนรู้ได้ว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด
เสด็จพ่ออาจจะควบคุมตัวเอาไว้
เขากำหมัดแน่น ตอนนี้ท่านลุงจากไปแล้ว เหลือเพียงแค่เขาต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น จ้าวจิ่งซวนจะต้องใจเย็นมากกว่านี้