อัลเฟรียกำลังหลงทาง
เธอโดนบาร์ที่เห็นในระหว่างที่อยู่บนรถม้าล่อลวงให้หนีออกมา แต่ก่อนจะไปถึงบาร์นั้น เธอก็หลงทางซะแล้ว
ยิ่งกว่านั้นตัวเองก็จำไม่ได้ว่าเดินมาจากทางไหนบ้าง จะกลับก็กลับไม่ได้
เมืองหลวงของราชอาณาจักรบิลเบอรี่นั้นไม่ใช่เล็กๆเลย
เป็นเพราะว่าการที่รวมประชากรมาอยู่ที่เมืองหลวงให้ได้มากที่สุด จะทำให้สามารถควบคุมและจัดระเบียบกองทัพได้ง่ายกว่า และไม่จำเป็นต้องแบ่งทหารกระจายไปยังพื้นที่อื่นๆ
ในเมืองที่ใหญ่แบบนี้ อัลเฟรียเองก็ไม่ต่างจากบ้านนอกเข้ากรุง
“อู-ว…”
เธอมองไปรอบๆด้วยท่าทางประทับใจ
เอาจริงๆ เทียบกับยุคสมัยของเธอแล้ว ต้องบอกว่ายุคนี้ออกจะล้าหลังลงจากเดิมด้วยซ้ำ
เป็นเพราะการมีอยู่ของปีศาจและแม่มด ทำให้จำนวนประชากรมนุษย์นั้นตกลงจากในอดีตเป็นอย่างมาก และนั่นก็ทำให้กิจกรรมที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถทำได้ลดลงไปด้วยเช่นกัน
ถึงแม้เอลริสจะสามารถปิดฉากโศกนาฏกรรมนั้นลงได้…แต่ก็ไม่ได้แปลว่าบาดแผลที่มนุษยชาติได้รับมาจะหายไป
เหล่าประชากรที่สูญสิ้นไปในช่วงเวลาเหล่านั้นไม่มีวันกลับคืนมา การจะบรรเทาเรื่องนั้นลงได้คงต้องใช้เวลาอีกหลายยุคสมัย
แต่ถ้าจะมีอะไรที่อัลเฟรียสามารถพูดได้เต็มปากว่ายุคนี้มีเหนือกว่ายุคของเธอแน่ล่ะก็ นั่นคือความแข็งแรงของอาคารบ้านเรือน
ในโลกที่ปีศาจจะสามารถเข้ามารุกรานตอนไหนก็ได้ ความแข็งแรงของเพดาน พื้น และผนังบ้านนั้นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย
สำหรับอัลเฟรียแล้ว พวกบ้านเรือนในเมืองหลวงแห่งนี้ล้วนดูดีมีระดับ
“ฮะ? ได้กลิ่นอะไรหวานๆน่ะ…อะไรกันนะ?”
เธอได้กลิ่นของหวานโชยมา กระตุ้นความอยากอาหาร และดึงเธอไปยังทิศทางนั้นในทันที
ถ้าเธออยู่เฉยๆให้เป็นซักยี่สิบวิก็คงมีคนมารับกลับไปได้แล้วแท้ๆ เป็นเซนต์ที่โดนล่อลวงง่ายชะมัด
เมื่ออัลเฟรียไปถึงต้นตอของกลิ่นนั้น ก็พบกับคนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งกินอะไรบางอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
อาหารรูปทรงโค้งมนพร้อมกับเปลือกสีม่วง ส่วนไส้ของมันเป็นสีเหลืองอร่าม
ที่ข้างๆนั้นคือเตาไฟหินซึ่งเป็นจุดที่ส่งความร้อนออกมา
คนพวกนั้นนั่งกินสิ่งนี้มาได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่เมื่อสังเกตเห็นถึงสายตาอัลเฟรียที่นั่งจ้องอยู่จึงจำเป็นต้องหยุดลง
“…”
“…”
เมื่อมือของคนคนหนึ่งที่ถืออาหารขยับ สายตาของอัลเฟรียก็จะขยับตาม
ไม่รู้ทำไม พวกเขาถึงเห็นภาพลวงตาว่าอัลเฟรียมีหูและหางงอกออกมา
“…อา สักอันไหม?”
“เอาค่ะ!”
หางฟูๆล่องหนนั้นส่ายไปมาอย่างร่าเริง พวกเขาสามารถรู้สึกได้
แน่นอนว่าคิดกันไปเอง อัลเฟรียไม่มีหูหรือหางหรอกนะ
ชายวัยกลางคนโยนอาหารนั้นมาให้อัลเฟรียซึ่งรับเอาไว้ และกัดลงไปในทันที
“ร้อนอ่ะ!”
“เฮ้ย! ไม่ต้องรีบกินขนาดนั้น!”
“…แต่หวานจัง! อร่อยค่ะ! นี่คืออะไรเหรอคะ?”
ถึงแม้อัลเฟรียจะตกใจกับความร้อน แต่เธอกลับตกใจกับความหวานของมันมากกว่า
มันเป็นความหวานที่ไม่เหมือนกับผลไม้ไหนที่เธอเคยทานมา ออกจะคล้ายกับของหวานที่เอลริสเป็นคนทำมากกว่าด้วยซ้ำ
พอได้ยินคำถามนั้น ชายวัยกลางคนก็ตอบมาอย่างภูมิใจ
“เจ้านี่น่ะเรียกว่ามันเทศเผายังไงล่ะคุณหนู เป็นมันประเภทใหม่ที่ท่านเอลริสเป็นผู้ค้นพบ จนถึงไม่นานมานี้ สามัญชนอย่างเราๆน่ะไม่มีโอกาสได้กินอะไรหวานๆแบบนี้หรอกนะ เป็นเพราะการมาถึงของพืชชนิดนี้นี่ล่ะ คนยากคนจนอย่างเราถึงมีของดีๆให้กินกัน”
“ไม่มีโอกาสหรือคะ…แล้วพวกผลไม้ล่ะคะ?”
“…ดูจากคุณภาพของเสื้อผ้าที่ใส่แล้ว หนูคงจะมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยสินะ? ของหรูหราอย่างผลไม้น่ะพวกเราไม่ได้กินกันหรอก”
“เหรอคะ?”
“ใช่ เอาจริงๆในตอนนี้ก็ใช่ว่าจะเกินปัญญาหรอกนะ แต่ก็ยังถือเป็นของฟุ่มเฟือยอยู่ดี ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็ แค่คิดจะได้เห็นยังไม่มีโอกาสเลย”
จริงอยู่ที่ลุงท่านนี้คิดว่าอัลเฟรียเป็นเด็กบ้านรวย แต่ก็ไม่นึกว่าเธอจะไม่รู้ประสีประสาถึงขนาดนี้
อัลเฟรียในตอนนี้สวมชุดเดรสสีขาวสำหรับเซนต์อยู่ แต่ไม่มีใครที่คิดสงสัยถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอเลย เป็นเพราะว่าตัวตนของเอลริสในจิตใจของผู้คนนั้นสูงส่งเกินไป ถึงแม้เธอจะออกจากตำแหน่งไปแล้ว คนก็ยังคิดว่า เซนต์=เอลริส
…ไม่ก็เป็นเพราะว่าอัลเฟรียนั้นไม่มีบารมีมากพอ อันนั้นก็เป็นไปได้
“จะปลูกอะไรก็โดนปีศาจทำลายหมด จะเลี้ยงปศุสัตว์ก็ไม่มีอาหารเอามาเลี้ยง เอาจริงๆเป็นเพราะว่าผืนดินมันแห้งแล้งเกินจนปลูกอะไรให้ขึ้นก็ยากเกินพออยู่แล้ว พวกผลผลิตที่ปลอดภัยจริงๆน่ะมีแค่พวกที่ถูกปลูกในเขตเมือง แต่พวกนั้นจะมีเอาไว้แจกจ่ายชนชั้นสูงโดยเฉพาะน่ะนะ เดี๋ยวนี้ปีศาจก็ไม่มีแล้ว ผืนดินก็กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้งด้วยฝีมือของท่านเอลริส แต่ก็นั่นล่ะ…คงต้องใช้เวลาอีกสักสิบปีกว่าผลไม้พวกนั้นจะอยู่ในระดับที่สามัญชนสามารถหากินได้เป็นปกติ”
“เหห”
ในยุคของอัลเฟรียนั้นแม่มดยังไม่ได้มีอำนาจมากมายถึงขนาดนั้น ปีศาจเองก็มีอยู่จำนวนน้อย เพราะแบบนั้นผลไม้จึงไม่ใช่ของหรูหราอะไรในช่วงพันปีก่อน
มนุษยชาตินั้นถดถอยลงเรื่อยๆมากว่าพันปี ถ้าเอลริสไม่ได้เกิดมาล่ะก็ คิดว่าในอีกยุคสองยุคมนุษยชาติก็คงจะสูญสิ้นไปแล้ว
กว่ามนุษยชาติจะสามารถเดินหน้าได้อีกครั้งก็คงต้องใช้เวลาพอสมควร
“โอ้ ขอโทษที่ให้รอนะ อันนี้ลองเอามันเทศไปทอดดูน่ะ เดี๋ยวบอกด้วยว่ารสชาติเป็นไงบ้าง”
“โอ๊ะ เสร็จแล้วเรอะ?”
ในตอนที่คุยกันอยู่ คุณลุงอีกคนหนึ่งก็เดินมาหาพร้อมหม้อในมือ
ในหม้อนั้นคือมันเทศที่ถูกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำและนำไปทอด
“อันนี้เป็นแบบที่ต้องเอาไปตากก่อนสามวันน่ะนะ เมื่อกี๊ลองชิมดูแล้ว ถือว่าใช้ได้เลย”
“ดีเลย ถ้าแบบนั้นก็คงเก็บได้นาน ใช้เป็นเสบียงในฤดูหนาวได้ดีเลยล่ะ ส่วนรสชาติก็…ไม่เลวเลย พวกเด็กๆต้องชอบแน่”
พวกคุณลุงทั้งหลายเริ่มคุยกันถึงการนำมันเทศไปปรุงในวิธีต่างๆ
“นี่ทำอะไรกันอยู่เหรอคะ?”
“พวกเรากำลังลองหาวิธีในการปรุงมันเทศแบบใหม่ๆดูน่ะ ลองเอาไปอบบ้าง ต้มบ้าง ตากแห้งบ้าง…ท่านเอลริสนำมันเทศมาให้พวกหเราก็จริง แต่จะเอาไปใช้ทำอะไรนี่ก็ขึ้นอยู่กับพวกเราเองใช่มั้ยล่ะ ถ้าเอาไปปรุงล่ะก็ มันจะต้องยิ่งอร่อยขึ้นไปอีกแน่เลย”
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับอาหารในโลกนี้ก็คือความคงทน
รสชาติน่ะเป็นเรื่องรอง คนมักจะยอมใช้วิธีีที่ทำให้อาหารรสชาติแย่แต่สามารถเก็บไว้ได้นานเพิ่มอีกหนึ่งวัน เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้น ก็ยากที่จะใช้ชีวิตให้รอดต่อไปได้
แต่เมื่อความสงบสุขกลับคืนมาแล้ว จึงมีการขวนขวายในการทำอาหารเพื่อเสริมรสชาติขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
กลุ่มคนที่อยู่ตรงนี้มารวมตัวกันก็เพื่อค้นคว้าวิธีการปรุงมันเทศให้อร่อยยิ่งขึ้น
“ดีเลยค่ะ แปลว่าถ้าพวกลุงพยายามกันล่ะก็ ก็จะยิ่งมีของอร่อยเพิ่มขึ้นอีกใช่มั้ยล่ะ งั้นก็สู้ๆนะคะลุง เดี๋ยวเราจะภาวนาให้พรอะไรสักอย่างเอง”
“ฮะฮะฮ่า นั่นน่ะเป็นหน้าที่ของท่านเซนต์เขานะคุณหนู แต่ก็ขอบคุณนะ ถ้าหาวิธีทำมันเทศดีๆได้ล่ะก็ เดี๋ยวหนูก็ได้ลองชิมที่บ้านเองล่ะ ตั้งตารอได้เลย”
“ใช่ใช่ นี่ลองเอากลับไปให้คนที่บ้ายนชิมดูสิ”
สุดท้ายพวกเขาก็เข้าใจว่าอัลเฟรียเป็นคุณหนูบ้านรวยใจดีทั่วๆไป
พวกเขาให้มันตากแห้งกับมันทอดติดมือกลับบ้านไปด้วย ซึ่งอัลเฟรียก็รับไปแต่โดยดี
จากนั้นเธอจึงเดินจากไป
สิบห้าวินาทีต่อจากนั้น องครักษ์ที่ชื่อว่าฟินลีย์ก็มาถึงที่นี่
“นะ-นี่พวกเจ้าน่ะ! มีใครเห็นท่านเซนต์ผ่านมาทางนี้บ้างมั้ย!?”
“ท่านเซนต์เหรอ? ไม่เห็นเลยนะ?”
ก็ไม่ได้คิดที่จะโกหกเลย
ก็แค่ไม่รู้ว่าอัลเฟรียนั้นเป็นเซนต์ตัวจริงก็เท่านั้น
จริงอยู่ที่พวกเขารู้อยู่แล้วว่าเอลริสนั้นได้สละตำแหน่งของเซนต์ไปแล้ว จากนั้นเซนต์คนแรก อัลเฟรียจึงขึ้นมารับตำแหน่งแทนที่
แต่อิทธิพลของเอลริสนั้นยังคงฝังรากลึกอยู่ในใจของผู้คน พวกเขาจึงได้แต่คิดว่าเซนต์คนใหม่เองก็คงจะคล้ายๆกันกับเอลริส
ตัวอัลเฟรียเองก็ไม่ได้แนะนำตัวเองซะด้วย จะให้พวกเขารู้ว่าเด็กสาวที่คุยด้วยจนถึงเมื่อกี๊คือเซนต์ก็คงจะยาก
อัลเเฟรียเดินไปสักพักหนึ่ง จนกระทั่งกลุ่มเด็กโยนลูกบอลหนังกันอยู่ที่ลานกว้าง
อัลเฟรียดูพวกเด็กๆอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะสังเกตได้ว่าพวกเขาแค่ส่งบอลไปมาโดยไม่มีกฏอะไร
สถานการณ์ในยุคก่อนๆนั้นไม่ใช่อะไรที่จะทำให้คนมีเวลาว่างพอจะมาคิดถึงการละเล่นได้
เพราะแบบนั้นความบันเทิงในโลกนี้จึงด้อยพัฒนา ผู้คนไม่เข้าใจถึงการละเล่น
อัลเฟรียก้าวเท้าออกมาและเรียกพวกเด็กๆ
“นี่ไอ้หนูทั้งหลาย ทำไมถึงไม่ลองตั้งกติกาสำหรับตอนเล่นดูล่ะ”
“กติกาเหรอ? แบบไหนอ่ะ?”
“เอางี้มั้ย แบ่งเป็นสองทีม โยนบอลใส่กัน คนที่โดนโยนถึงตัวและหลบหรือรับไม่ได้ก็ออก ทีมไหนเหลือคนมากสุดก็ชนะ”[ดอดจ์บอลนั่นแหละ]
“น่าสนุกดีนะ ลองดูก็ได้”
ก่อนหน้านี้พวกเด็กๆก็แค่โยนบอลไปมาเหมือนกับปาหิมะ ไม่มีกฏกติกาอะไรทั้งสิ้น
เป็นเพราะว่าวัฒนธรรมความบันเทิงของโลกนี้นั้นล้าหลังมาก แค่มีโอกาสได้เล่นนี่ก็ดีถมถืดแล้ว
คราวนี้อัลเฟรียทำให้การเล่นตื่นเต้นขึ้นด้วยการตั้งกฏและเป้าหมายมาให้
ถึงจะไม่มีรางวัลอะไร หากการเล่นมีแพ้ชนะ มนุษย์ก็ย่อมจะขวนขวายที่จะชนะ
ความรู้สึกยินดีจากชัยชนะและคำชมจากคนรอบข้างนั้นเป็นแรงบันดาลใจที่เกินพออยู่แล้ว
ฝ่ายที่แพ้ก็จะรู้สึกเจ็บใจที่แพ้ เป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้มุ่งมั่นที่จะชนะในครั้งต่อไป
อัลเฟรียเองก็เข้าไปร่วมแจมกับพวกเด็กๆด้วย
“จะไปล่ะนะ! เอาไปกิน!”
เธอไม่ได้ใส่ใจที่ชุดเดรสของเธอจะเปื้อนแต่อย่างใด
ชนะบ้าง แพ้บ้าง ลื่นล้มจมกองทรายบ้าง แต่เธอก็เล่นกับเด็กๆอย่างสนุกสนาน
บอลพุ่งมาหาตัวเธอ แต่เพราะกลัวโดนบอลอัด เลยโยกหลบจนไปโดนเด็กด้านหลังแทน
“ใจร้ายจังเจ๊!”
“อุ๊ย โทษที โทษที”
เด็กที่โดนบอลโยนใส่ก็เดินคอตกออกจากสนามไป ทำให้คนรอบข้างหัวเราะ
แต่เด็กคนนั้นเองก็ดูจะสนุกอยู่ไม่น้อย
เสียงเจี๊ยวจ๊าวดึงความสนใจของเหล่าอัศวินได้สำเร็จ พวกเขาที่กรูกันมาถึงลานกว้างก็เห็นอัลเฟรียเล่นอยู่กับเด็กสามัญชน
“ทะ-ท่านอัลเฟรีย?!”
“นี่เธอคนนั้นทำบ้าอะไรเนี่ย?!”
“อะ-อา…ชุดศักดิ์สิทธิ์ของเซนต์…สกปรกถึงเพียงนั้น…”
พอเห็นสภาพของอัลเฟรียในตอนนี้ ทำเอาท่านบิชอปถึงกับหน้ามืดเลยทีเดียว จนอัศวินแถวนั้นต้องเข้ามาประคอง
ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของบิชอป เพราะว่าภาพลักษณ์ของอัลเฟรียในตอนนี้นั้นแตกต่างจากความเป็นเซนต์อยู่เป็นโยชน์เลย
จนถึงตอนนี้ เซนต์คือสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ ความสูงส่ง
นั่นคือตัวตนของเซนต์ที่เอลริสสร้างขึ้น เธอเป็นเหมือนดั่งเทพเจ้าที่ยังมีชีวิต มีไว้ให้คนธรรมดาบูชาและกราบไหว้
เพราะว่าเอลริสนั้นเป็นตัวตนที่อยู่เหนือจากมนุษย์ธรรมดาไปแล้ว
แต่ถ้าเป็นอัลเฟรียล่ะ?
เธอนั้นตรงข้ามกัน…เธอคลุกคลีกับสามัญชนอย่างไม่แบ่งแยก หัวเราะไปด้วยกัน ทำเหมือนว่าอยู่ในระดับเดียวกัน
เธอไม่มีร่องรอยของความศักดิ์สิทธิ์อยู่เลย
“ทะ-ทำไงดีล่ะทีนี้? ต้องรีบหยุดเธอใช่มั้ย? ถ้าไม่ทำแบบนั้นล่ะก็ เดี๋ยวเกียรติยศของเซนต์จะ…”
“…”
ในตอนที่ได้ยินคำถามของฟินลีย์ องครักษ์ส่วนตัวของเซนต์ เร็กซ์กลับยืนกอดอกครุ่นคิด
จากนั้นเขาจึงถอนหายใจและส่ายหัว
“ไม่ล่ะ รอไปก่อน”
“แต่…แบบนั้นเดี๋ยวภาพลักษณ์ของเซนต์จะ…”
“ไม่เป็นไรหรอก ท่านเอลริสคงจะคาดการณ์เรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว จึงฝากฝังตำแหน่งนี้ให้กับท่านอัลเฟรีย”
ฟินลีย์ทำหน้าสงสัยกับคำพูดของเร็กซ์
หมายความว่ายังไงที่ว่าเอลริสคาดการณ์เอาไว้แล้ว?
เร็กซ์จึงเริ่มอธิบาย
“แม่มดน่ะไม่มีอีกแล้ว ส่วนพวกปีศาจก็…อาจจะยังมีอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ก็พอจะเรียกได้ว่าพวกมันเกือบจะสูญพันธ์ไปหมดแล้วเช่นกัน ถ้าอย่างนั้น บาบาทของเซนต์เองก็จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนไปด้วย”
“…ก็…ก็ใช่นะ”
“ถ้าหากผู้คนคาดหวังปาฏิหาริย์เหมือนกับคราวของท่านเอลริสล่ะก็ นั่นก็มีแต่จะเป็นภาระต่อเซนต์รุ่นหลังเสียเปล่าๆ แต่เซนต์เหล่านั้นคือมนุษย์เหมือนพวกเรา ไม่ใช่เทพธิดาจากไหน จะให้ผู้คนเอาแต่คาดหวังในตัวเซนต์อย่างเดียวไม่ได้หรอก จากนี้ไปมนุษยชาติจะต้องก้ามต่อไปด้วยตัวเอง เดินไปพร้อมกันกับเซนต์ ไม่ใช่แค่พึ่งพาพวกเธอ…ถ้าจะให้บอกก็คือ ยิ่งผู้คนทิ้งความคาดหวังเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี ยิ่งมีมตรฐานต่ำก็จะทำให้เซนต์คนต่อไปใช้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะเลย…”
“พูดเปิดมาเหมือนจะดี มาตกม้าตายตอนท้ายนี่แหละ”
ง่ายๆก็คือ “ท่านเอลริสน่ะสร้างมาตรฐานไว้สูงเกินไป เลยต้องใช้อัลเฟรียเป้นมาตรฐานต่ำเพื่อแก้มุมมองแบบนั้นของผู้คน”
ถึงจะฟังดูแย่ แต่ก็เป็นเรื่องจริง
เซนต์ของยุคสมัยนี้ เอเทอร์น่าเองก็ปฏิเสธตำแหน่งด้วยเหตุผลนี้เลย
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เร็กซ์ก็เห็นประกายบางอย่างเมื่อมองไปยังอัลเฟรียที่เล่นอยู่กับเด็กๆจนเสื้อผ้าสกปรก
“ก็ไม่เลวไม่ใช่เหรอ? ตั้งแต่นี้ไปเซนต์ก็จะเป็นตัวตนแบบนั้นแทนไงล่ะ”
“…ก็คงงั้นล่ะนะ”
เร็กซ์มองไปยังอัลเฟรียที่โดนบอลอัดแต่ก็พยายามโกงด้วยการบอกว่าเมื่อกี๊ไม่นับ
‘ท่านเอลริสคงจะมอบตำแหน่งให้กับท่านอัลเฟรียโดยคำนึงถึงชนรุ่นหลังอยู่สินะ’
หากผู้คนเอาแต่พึ่งพาในปาฏิหาริย์ ก็จะไม่สามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้ด้วยตัวเอง
ต่อจากนี้ไป หน้าที่ของเซนต์จะไม่ใช่การสร้างปาฏิหาริย์อีกแล้ว แต่จะเป็นการเดินไปข้างหน้าด้วยกันกับมนุษยชาติแบบเคียงบ่าเคียงไหล่
เร็กซ์ผู้นี้ประทับใจในปัญญาของท่านเอลริสเป็นที่สุด…!
แน่นอนว่าเร็กซ์แกมโนไปเองล้วนๆ
เอลริสไม่ได้คิดอะไรมากเลยตอนขอให้อัลเฟรียมารับตำแหน่งแทน
ถึงแม้ตัวเธอจะไม่อยู่ที่นี่ แต่ก็ยังมีคนที่ประทับใจในตัวเอลริสเพิ่มขึ้นอยู่ทุกวี่ทุกวัน วันๆหนึ่งในฟิโอริก็เป็นเช่นนี้แล