บทที่ 810 อัปยศเหลือเกิน ดินแดนตระกูลของตนกลายเป็นลานฝึกฝนของผู้อื่น!
เทียนหมิงไปแล้ว ไปร้องความช่วยเหลือจากบรรพจารย์ในตระกูล เขาไม่มีทางปล่อยให้ซีได้อยู่ในเจดีย์เวหาอย่างปลอดภัย ทำเช่นนั้นหยามกันเกินไป!
ทว่า เขาไม่ทันได้ไปหาบรรพจารย์ กลับเป็นบรรพจารย์ที่มาหาเขาก่อน!
เหล่าบรรพจารย์ออกมากันทั้งหมด จุติอยู่ข้างกายเทียนหมิงด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“เจ้าทำหน้าที่อย่างไรของเจ้า เกิดอันใดขึ้นในเจดีย์เวหา?!”
แม่เฒ่าผู้หนึ่งถามด้วยสีหน้ามืดครึ้ม สสารขุมปราณชีวิตที่รวมตัวกันในเจดีย์เวหาเปลี่ยนแปลงไปด้วยความเร็วที่ผิดเพี้ยนเกินไป แม้แต่การฝึกฝนของพวกเขายังถูกรบกวนไปด้วย จนต้องยุติการฝึกฝนและก้าวออกมา
“มีศัตรูจู่โจมเรา เดิมข้าคิดจะฆ่านางด้วยเจดีย์เวหา แต่นางกลับสะท้านโลกันตร์ เปลี่ยนแปลงค่ายกลในเจดีย์เวหา ควบคุมค่ายกลของเจดีย์เวหาไว้ได้!”
เทียนหมิงกล่าว เอ่ยว่าซีนั้นคงแตกฉานในค่ายกล และยอมรับผิดทั้งหมดที่ประเมินอีกฝ่ายต่ำไป ทำให้ซีกลับกลายเป็นภัยคุกคามของพวกตน
“ขอท่านบรรพจารย์ทั้งหลายโปรดลงโทษข้า! ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะข้าไม่ได้ความ!”
เทียนหมิงรู้จักวางตัวเป็นอย่างดี ท่าทียอมรับผิดเช่นนี้กลับบรรเทาความโกรธเกรี้ยวในใจบรรพจารย์ทั้งหลายได้
“เจ้าไม่ผิดหรอก ถึงอย่างไรเจ้ายังเยาว์วัยนัก ไตร่ตรองได้ไม่รอบคอบถือเป็นเรื่องปกติ”
แม่เฒ่ากล่าว ท่าทีผ่อนลงเห็นได้ชัด นางถามเทียนหมิง “เจ้ารู้ภูมิหลังของนางหรือไม่”
“ข้ารู้ไม่ละเอียดเท่าใด ทราบเพียงว่านางมีผู้คุ้มครองทรงพลังท่านหนึ่งคอยปกปักษ์รักษา มีพลังที่ปกป้องนางอยู่”
เทียนหมิงกล่าวต่อ “เรื่องนี้ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่ต้น! ครานั้น ข้ากับพี่ใหญ่แยกย้ายกันออกไปรับสมัครยอดฝีมือเข้าตระกูลเทียนของเรา พี่ใหญ่พบนางเข้า และรู้ว่านางมีพลังคุ้มครองอยู่ จึงคิดใช้นางกำจัดข้า…”
เขาคิดหาคำแก้ต่างไว้อยู่แล้ว ยามเอ่ยวาจาเหล่านี้ เขาเล่าได้ลื่นไหลไม่มีสะดุด
“ครานั้น ข้าไม่รู้ว่านี่คือกับดักของพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ขอให้ข้าช่วย ข้าจึงตอบตกลงด้วยความยินดี เพื่อความปลอดภัย ข้ายังขอให้ผู้อาวุโสเซินในตระกูลมาช่วยอีกแรง จากนั้น เราจึงไปด้วยกัน!”
เขากล่าว “หารู้ไม่ พลังที่คอยคุ้มครองสตรีผู้นั้นแกร่งกล้าเกินไป แม้แต่ผู้อาวุโสเซินยังไม่ใช่คู่มือของนาง ข้ากับผู้อาวุโสเซินล้วนถูกนางกำราบ ทว่าต่อมา ผู้อาวุโสหลู่มาถึง ช่วยข้ากับผู้อาวุโสเซินไว้”
เอ่ยมาถึงนี่ เขาแสดงสีหน้าปวดใจ
“พี่ใหญ่เห็นว่าท่านพ่อโปรดปรานข้ามากกว่า จึงมีใจอิจฉา หลังสตรีผู้นั้นกำราบข้ากับผู้อาวุโสเซินแล้ว ก็ปล่อยให้สตรีผู้นั้นไปและคิดเหยียบย่ำข้ากับผู้อาวุโสเซิน เวลานั้นเอง ผู้อาวุโสหลู่มาถึงได้ทันเวลา”
เทียนหมิงถอนหายใจหนักอึ้ง “ไยพี่ใหญ่ต้องทำเช่นนั้นด้วย เพื่อไม่ให้ทุกอย่างถูกเปิดโปง พี่ใหญ่เลือกแผดเผาแก่นกำเนิดพลังเข้าต่อสู้จนตัวเองต้องบาดเจ็บสาหัส แก่นกำเนิดพลังเสียหายจนไม่อาจแก้ไข…”
เขากล่าวต่อ “สิ่งที่พี่ใหญ่ไม่ทราบคือ แม้ท่านพ่อจะเอ็นดูข้า แต่รักพี่ใหญ่มากกว่า หลังพวกเราพาพี่ใหญ่กลับมาถึงตระกูล ท่านพ่อยอมฝ่าเข้าไปในแดนมฤตยูซากอัมพรเพื่อช่วยฟื้นพลังให้พี่ใหญ่ สุดท้ายท่านพ่อไม่กลับออกมาอีก สิ้นใจอยู่ในนั้น”
แท้จริงแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องเท็จ ไม่มีข้อไหนเป็นความจริง นี่คือเรื่องราวที่เขาแต่งขึ้นทั้งหมด
เขาต่างหากคือผู้ที่ต้องการยืมมือซีเพื่อฆ่าคน
อนิจจา เทียนลู่ผู้เป็นพี่ใหญ่ซื่อเกินไป ไม่เคยวางหมากภายในตระกูลเทียน แต่เขาไม่เหมือนกัน
วางหมากไว้ในตระกูลเทียนอยู่หลายตัว สมาชิกมากมายเป็นคนของเขา
แน่นอนว่าผู้อาวุโสหลู่ก็เช่นกัน
ถึงแม้ซีจะกำราบตนและผู้อาวุโสเซินได้ ทว่านางไม่ได้แทรกแซงเรื่องราวหลังจากนั้น หลังอูถง ลูกสมุนของเขาเห็นว่าเกิดเรื่องก็รีบติดต่อขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสหลู่
เทียนลู่ย่อมไม่ใช่คู่มือของผู้อาวุโสหลู่ ผู้อาวุโสหลู่จึงปราบปรามเทียนลู่ลงได้
ครานั้น เดิมเขาอยากฆ่าเทียนลู่ให้สิ้น แต่ต่อมา เมื่อได้ใคร่ครวญดูแล้วจึงล้มเลิกความตั้งใจ
ท่านพ่อรักใคร่เอ็นดูเทียนลู่เกินไป บางทีอาจไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ และทำการสืบสวน
เขามีจิตใจรอบคอบซ้ำยังอำมหิต จึงตัดสินใจกำจัดท่านพ่อเสีย!
แต่เล็กจนโต ท่านพ่อรักพี่ใหญ่มากกว่าตน พอใจในตัวพี่ใหญ่เสียยิ่งกว่าอะไร เขาไม่เต็มใจให้พี่ใหญ่ได้เป็นผู้นำตระกูลในวันหน้า แล้วต้องอยู่ใต้บัญชาของพี่ใหญ่ จึงคอยวางหมากมานานแล้ว เพื่อให้ได้เป็นผู้นำตระกูลเทียนรุ่นต่อไป
เขาคิดถึงขั้นกำจัดท่านพ่อไว้นานแล้วด้วย!
ในอดีต เขาคอยลอบวางยาพิษใส่บิดาเรื่อยมา มันเป็นพิษชนิดเรื้อรัง เขาได้มาโดยยอมแลกด้วย
ราคาสูง รวมถึงพิษในชาของซีและเต่าชราก็เช่นกัน!
เขาได้สิ่งเหล่านั้นมาจากแดนมฤตยูซากอัมพร ได้แลกเปลี่ยนบางอย่างกับสิ่งมีชีวิตในนั้นถึงได้มาซึ่งพิษเหล่านี้
ที่เขาไม่ได้ฆ่าเทียนลู่ เพียงแต่ทำลายแก่นกำเนิดพลังจนสาหัสก็เป็นหมากตาหนึ่งในกระดานของเขา
หลังกลับมาถึงตระกูลเทียน ยามเขาเอ่ยว่าเทียนลู่ตั้งใจฆ่าตน ท่านพ่อไม่เชื่อตามคาด ซ้ำยังต้องการค้นวิญญาณของเขาเพื่อตรวจสอบความจริงเท็จของเรื่องนี้
เขาเตรียมการไว้แล้ว เริ่มจากกระตุ้นพิษในกายท่านพ่อเพื่อสังหาร แล้วจัดแจงทุกอย่างให้ดูเป็นท่านพ่อบุกเข้าไปในแดนมฤตยูซากอัมพรเพื่อช่วยเทียนลู่ และสุดท้ายต้องสิ้นใจในนั้น
นี่คือเหตุผลที่เขาไม่ฆ่าเทียนลู่ เพื่อเป็นข้ออ้างให้กับการตายของบิดา
มิฉะนั้น การที่ท่านพ่อสิ้นใจในตระกูลกะทันหันย่อมเป็นที่เคลือบแคลงของผู้คนมากมาย และอาจเป็นผลให้ตัวตนของเขาถูกเปิดเผย
บรรพจารย์ทั้งหลายไม่เคยถามไถ่เรื่องในตระกูล จิตใจมุ่งอยู่แต่เพียงการฝึกฝน หากไม่ใช่เรื่องร้ายแรงขนาดที่ตระกูลต้องถูกล้างบาง บรรพจารย์ทั้งหลายไม่มีทางเก็บไปใส่ใจ
หลังบิดาตาย พวกเขาเพียงแต่ถามไถ่ลวก ๆ ไม่ได้ตรวจสอบโดยละเอียด หลังแต่งตั้งเขาเป็นผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปก็หมกมุ่นกับการฝึกฝนต่อ
หากไม่ใช่ว่าเหตุการณ์คราวนี้ส่งผลกระทบต่อการฝึกฝนของบรรพจารย์ทั้งหลาย น่ากลัวว่าเหล่าบรรพจารย์คงไม่ยอมออกมาง่าย ๆ
“สตรีผู้นั้นมีข้อตกลงกับพี่ใหญ่ คล้ายว่าพี่ใหญ่ได้รับปากสตรีผู้นั้นว่ามาฝึกฝนในตระกูลเราได้ตามต้องการ นางจึงมาที่นี่ ข้าเลยตามน้ำล่อนางเข้าไปในเจดีย์เวหา หมายจะใช้เจดีย์เวหากำราบนาง สุดท้ายกลับไม่สำเร็จ…”
เทียนหมิงเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“เขาคิดว่าตนเองเป็นผู้ใด บังอาจให้คำสัญญาเยี่ยงนั้น?!”
แม่เฒ่าเอ่ยด้วยสายตาเย็นเยียบ “ไป! สังหารนางเสีย ให้นางได้รู้ว่าตระกูลเทียนของเราใช่ว่าจะเข้ามาได้ง่าย ๆ!”
“รบกวนการฝึกฝนของพวกเรา ถือเป็นความผิดร้ายแรงที่สุด!”
“นางไม่มีทางอยู่รอดต่อไป!”
แววตาบรรพจารย์ท่านอื่นทอประกายดุดัน ชัดเจนแล้วว่าว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องในตระกูลจริง ๆ สนใจแต่เพียงการฝึกฝนของพวกตนเท่านั้น
พริบตาเดียวพวกเขาก็มาอยู่ที่เจดีย์เวหา
“มีฝีมืออยู่บ้างจริง ๆ คลื่นริ้วค่ายกลที่ไหลเวียนอยู่ในเจดีย์เวหาทรงพลังขึ้นกว่าเก่า!”
แม่เฒ่าหรี่ตา ริ้วรอยประดับอยู่เต็มใบหน้า สีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด
หลังมาถึงที่นี่ นางพบว่าเจดีย์เวหาต่างจากเดิมจริง ๆ คลื่นริ้วค่ายกลกล้าแกร่ง ซ้ำยังรวบรวมขุมปราณชีวิตในฟ้าดินได้ว่องไวยิ่งขึ้น!
มิหนำซ้ำ สสารที่รวบรวมมาได้ยังบริสุทธิ์กว่าเดิมด้วย!
พวกเขาต่างเป็นผู้บงการอาวุโส อยู่ราว ๆ ขอบเขตผู้บงการขั้นห้า แต่เดิมเจดีย์เวหาไม่ได้เกื้อหนุนการฝึกฝนของพวกเขาเท่าใด การรีดเร้นพลังบำเพ็ญของพวกตนสามารถรวบรวมพลังได้ไวกว่าเจดีย์เวหานัก
ทว่าบัดนี้ เจดีย์เวหารวบรวมพลังได้ไวกว่าอย่างชัดเจน จนนึกหวั่นไหว หากได้ฝึกฝนในเจดีย์เวหาแห่งนี้ ย่อมต้องพัฒนาขึ้นเร็วกว่าก่อนมาก!
“เจ้าออกมาด้วยตนเอง แล้วเราจะไม่ถือสาความชั่วที่เจ้าได้ก่อไว้ แล้วยังยอมให้เจ้าได้ฝึกฝนในตระกูลเทียนต่ออีกด้วย!”
แม่เฒ่าเอ่ยเสียงดัง ไม่ต้องการทำลายเจดีย์เวหา จึงหวังให้ซียอมออกมาเอง
แต่ต่อมา นางพบว่าเสียงของนางส่งเข้าไปไม่ถึง ค่ายกลในเจดีย์เวหาตัดขาดเสียงของตน!
“ฝืนบุกเข้าไปกำราบนาง แล้วค่อยสั่งให้นางตั้งค่ายกลนี้ขึ้นอีกครั้งก็ได้!”
บรรพจารย์ท่านหนึ่งกล่าว
“ได้!”
แม่เฒ่าพยักหน้า เสียงส่งเข้าไปไม่ได้ จึงไม่อาจสื่อสารกันได้ ทำได้เพียงบุกเข้าไป
นอกจากนี้ ที่บรรพจารย์ท่านนี้กล่าวมาก็ถูก พวกเขาไม่จำเป็นต้องเจรจากับซี บุกเข้าไปตรง ๆ กำราบสตรีผู้นั้นแล้วสั่งให้รับใช้พวกตนก็พอ!
จากนั้น พวกเขาลงมือพร้อมกัน ปล่อยมหาวิชาออกไปมากมาย กฎระเบียบไหลเวียน ก่อนจะถล่มเข้าไปในเจดีย์เวหา
ทว่า เรื่องที่เหนือความคาดหมายของพวกเขาคือ ไม่เพียงไม่ทำสำเร็จ แต่ยังไม่อาจแผ้วพานค่ายกลในเจดีย์เวหาได้เลย!
“ความแข็งแกร่งนี้ผิดเพี้ยนยิ่งนัก!”
บรรพจารย์ตนหนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาด
“ผิดเพี้ยนแค่นิดหน่อยที่ไหน ผิดเพี้ยนมหันต์เลยต่างหาก!”
บรรพจารย์อีกตนเอ่ยอย่างอดไม่ได้
เจดีย์เวหาส่องแสง คลื่นริ้วค่ายกลโลดแล่น หยุดยั้งการโจมตีของพวกเขาได้ทั้งหมด ไม่ได้รับความเสียหายแม้เศษเสี้ยว!
แทบไม่อาจเชื่อได้ลง
พวกเขาต่างคุ้นเคยกับค่ายกลเดิมในเจดีย์ รู้ว่าพลานุภาพของค่ายกลเดิมเป็นอย่างไร ด้วยพลังของพวกเขา ซ้ำยังลงมือพร้อมหน้า ย่อมสามารถทลายค่ายกลนี้ได้อย่างง่ายดาย
ทว่าบัดนี้ พวกเขาไม่อาจแผ้วพานมันได้เลยสักนิด ห่างชั้นกันเกินไป จะให้ทำใจเชื่อได้อย่างไร
คนผู้นี้ทำได้อย่างไรกัน ถึงสามารถยกระดับอานุภาพค่ายกลขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าได้ในเวลาอันสั้น!
“ฝ่าเข้าไปไม่ได้ พวกเราควรทำอย่างไรดี”
บรรพจารย์ตนหนึ่งถาม
“ทำอย่างไรได้เล่า รีบเร่งฝึกฝนเพื่อแย่งชิงสสารขุมปราณชีวิตในฟ้าดินกับนางอย่างไร!”
แม่เฒ่าเอ่ยอย่างเจ็บใจ
นี่มันเรื่องอันใด อัปยศยิ่งนัก ดินแดนตระกูลของตนกลายเป็นลานฝึกฝนของผู้อื่น แล้วพวกเขายังทำอันใดไม่ได้ ช่างน่าขายหน้าและอับอายเหลือเกิน!
ที่สำคัญ เจดีย์เวหาตั้งอยู่ในดินแดนตระกูลเทียน เมื่อค่ายกลแผลงฤทธิ์ สสารขุมปราณชีวิตในตระกูลเทียนถูกชิงไปก่อน ขืนเป็นเช่นนี้ต่อ อีกเพียงไม่นานดินแดนตระกูลเทียนของพวกเขาก็จะกลายเป็นสถานที่ไร้ ‘ญาณ’ สูญเสียสสารฝึกฝนทั้งหมดไป!
“ใช่แล้ว รีบเร่งฝึกฝน ยิ่งพวกเราดูดกลืนได้มากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น มิฉะนั้น คงถูกนางแย่งไป
หมดแน่!”
“แจ้งข่าวให้กับสมาชิกในตระกูล เข้าสู่การบำเพ็ญเดี๋ยวนี้!”
บรรพจารย์เหล่านี้นั่งขัดสมาธิที่พื้นทันที และสั่งให้สมาชิกทุกคนเริ่มการฝึกฝน แย่งชิงสสารขุมปราณชีวิตในฟ้าดินจากเจดีย์เวหา
น่าเสียดาย พวกเขาสู้ไม่ได้อย่างชัดเจน ไม่อาจประชันกับเจดีย์เวหาได้เลย สสารขุมปราณชีวิตนฟ้าดินถูกเจดีย์เวหาดูดกลืนไปหมด เหลือมาไม่ถึงพวกเขาสักนิด!
“ว่องไวปานนี้ นางรับไหวหรือ ไม่กลัวอัดแน่นจนตัวแตกหรืออย่างไร?!”
“สมควรตายนัก!”
บรรพจารย์ทั้งหลายเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น พวกเขาดำรงตนในตระกูลเทียนมานาน อุตส่าห์สร้างรากฐานได้ขนาดนี้ด้วยความยากเข็ญ หรือต้องปล่อยให้ทุกอย่างพังพินาศในคราเดียวหรือ?
เจ็บใจนัก แค้นซีเข้ากระดูกดำ หากเจดีย์เวหายังคงดูดกลืนพลังอย่างบ้าคลั่งต่อไปเช่นนี้ อีกเพียงไม่นานที่นี่ก็จะกลายเป็นซากปรักหักพัง พวกเขาต้องไปตั้งรกรากที่อื่น
“ฆ่านาง ต้องฆ่านางให้ได้!”
“ติดต่อกองกำลังอื่น ขอความช่วยเหลือจากพวกเขา พวกเรายินดีจ่ายไม่ว่าราคาใด!”
บรรพจารย์ทั้งหลายคลุ้มคลั่ง สั่งให้เทียนหมิงไปทำการติดต่อ อย่างไรพวกเขาก็ไม่ยอมละทิ้งดินแดนตระกูลแห่งนี้
นี่คือรากฐานที่พวกเขาต่อสู้จนได้มาด้วยความยากลำบาก ไหนเลยจะยอมแพ้ง่าย ๆ อีกอย่าง การตามหาดินแดนตระกูลชั้นยอดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ที่ดี ๆ ถูกยึดครองไปหมดแล้ว ยากจะพบดินแดนเช่นนี้ในตระกูลได้อีก