ตอนที่ 834 การจัดการสำหรับเด็กกำพร้า
แม่สามีชราใจร้ายมีชนักติดหลังอยู่ นางจึงไม่เต็มใจจะอยู่ที่นี่ และแก้ตัวโดยบอกว่าจะไปรักษาบาดแผลเพื่อจะหนีไป
ตำรวจคุมตัวนางไว้อย่างแข็งขัน โดยบอกว่าจะพานางไปยังโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
แม่สามีชราใจร้ายไม่มีข้อแก้ตัวที่จะหลบหนี ดังนั้นจึงต้องอยู่ต่ออย่างกระวนกระวายใจ
ตำรวจคนหนึ่งเปิดโทรโข่งเพื่อแจ้งให้ผู้ชมทราบถึงความคืบหน้าล่าสุดในกรณีการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของไช่ฉางชุน
นับตั้งแต่ได้รับรายงานจากโรงงานเสื้อผ้าจิ่นซิ่วเมื่อวานนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม
พวกเขากลุ่มหนึ่งไปยังบ้านของไช่ฉางชุนเพื่อสอบสวนว่าไช่ฉางชุนถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวเป็นเวลานานหรือไม่
เพื่อนบ้านรายงานว่าเป็นเรื่องปกติที่ครอบครัวสามีของไช่ฉางชุนจะทุบตีหล่อน
หล่อนมักจะถูกทุบตีจนสลบไป แล้วก็ฟื้นขึ้นอีกครั้ง หลังจากทุบตีเสร็จ หล่อนก็จะถูกบังคับให้ไปทำงาน
เมื่อไช่ฉางชุนถูกทุบตีครั้งแรก หล่อนก็กลับไปบอกพ่อและน้องสาว
พ่อไช่และน้องสาวไช่เข้ามาโต้เถียง แต่พวกเขากลับถูกทุบตีเช่นเดียวกับหล่อน
เมื่อเห็นเช่นนี้ ไช่ฉางชุนก็ไม่เคยบอกพ่อไช่และน้องสาวไช่ว่าเรื่องที่ถูกทุบตีอีกเลย เพราะหล่อนกลัวว่าพ่อและน้องสาวที่ยืนหยัดเพื่อหล่อนจะถูกคนทางบ้านสามีทุบตีอีกครั้ง
ในเช้าวันที่ไช่ฉางชุนเสียชีวิตกะทันหัน แม่สามีของหล่อนได้พูดบางอย่างกับชายที่ทุบตีหล่อนเป็นเวลาเกือบชั่วโมง
เพื่อนบ้านกลัวว่าหล่อนจะถูกฆ่าจึงวิ่งไปเกลี้ยกล่อม
แต่ไม่ว่าจะห้ามอย่างไรก็ไร้ผล ชายที่ทุบตีไช่ฉางชุนก็ไม่หยุดมือเลยแม้แต่น้อย
เป็นผลให้ไช่ฉางชุนถูกทุบตีสาหัส และเมื่อไปทำงาน หล่อนก็อาเจียนเป็นเลือดและเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน
เมื่อตำรวจกำลังตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตของไช่ฉางชุน แพทย์นิติเวชอีกทีมหนึ่งก็ทำการชันสูตรศพหล่อน
ผลการชันสูตรออกแล้ว
ม้ามของไช่ฉางชุนแตกเนื่องจากถูกทุบตีอย่างรุนแรง ทำให้หล่อนเสียเลือดมากจนเสียชีวิต
และคนที่ทุบตีไช่ฉางชุนอย่างรุนแรงจนตายก็คือสามีของหล่อน
ทันทีที่ตำรวจแจ้งสาเหตุการตาย ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ก็ต่างประณามความเลวทรามของแม่ลูกคู่นี้
แม่สามีผู้ใจร้ายกลับไม่แยแส
นางหวังเพียงว่าตำรวจจะออกไปหลังจากทำงานเสร็จ และนางก็จะออกไปได้เช่นกัน
แต่ไม่คาดคิดว่าหลังจากที่หน่วยรักษาความปลอดภัยสาธารณะเปิดเผยข้อมูลคดี พวกเขาได้จับตัวแม่สามีผู้ใจร้ายไปในข้อหาก่ออาชญากรรม ก่อการทะเลาะวิวาทและสร้างปัญหา
นางไม่เพียงถูกปรับ แต่ยังถูกขังอยู่ในศูนย์กักกันเป็นเวลาเจ็ดวันและได้รับบทเรียนอย่างแสนสาหัส
เมื่อคดีสงบลง กลุ่มคนที่มุงดูอยู่รอบประตูโรงงานก็แยกย้ายกันไป
หลินม่ายพาพ่อและน้องสาวของไช่ฉางชุนมาที่ห้องประชุม และพูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับการดูแลลูกสาวของไช่ฉางชุน
ไช่ฉางชุนเสียชีวิตแล้ว สามีของหล่อนก็ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แม้จะไม่ถูกประหารก็ตาม
ลูกสาวของไช่ฉางชุนต้องได้รับการเลี้ยงดูโดยครอบครัวฝั่งแม่เท่านั้น
คุณย่าของหล่อนไม่ใช่คนใจดีอย่างแน่นอน และเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี้ยงดูเด็กหญิงตัวน้อยให้ดี
เพื่อให้เด็กหญิงมีสภาพแวดล้อมที่ดีในการเจริญเติบโต หลินม่ายหวังว่าพ่อไช่จะเลี้ยงดูเด็กหญิงตัวน้อยได้
พ่อไช่เช็ดน้ำตาพลางกล่าว “คุณหลินไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะเลี่ยงดูเสี่ยวหมินเป็นอย่างดี”
เสี่ยวหมินเป็นชื่อของลูกสาวของไช่ฉางชุน
หลินม่ายรู้สึกโล่งใจและถามพวกเขาว่ามีปัญหาอะไรบ้าง หากมีก็จงบอก เธอพร้อมจะช่วยพวกเขาแก้ไขปัญหา
พ่อไช่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและบอกว่า เขาทำงานในโรงงานรองเท้าหนัง ได้รับเงินเดือนน้อยนิด จนแทบจะไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวที่มีสมาชิกสามคนได้
เมื่อมองไปยังพ่อและลูกสาวของเขาที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่ย หลินม่ายก็รู้สึกสงสารจับใจ
การใช้ชีวิตแต่ละวันของพวกเขาคงเป็นเรื่องยากมาก ไม่ง่ายที่จะบอกว่าไม่มีปัญหา
หลินม่ายยิ้มและถามน้องสาวไช่ว่าเธอต้องการความช่วยเหลืออะไร
น้องสาวไช่หน้าแดงและถามเธอว่าจะมาทำงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าได้ไหม
หลังจากจบชั้นมัธยมต้น หล่อนก็ไม่สามารถเข้าโรงเรียนมัธยมเทคนิคหรือมัธยมปลายได้ ดังนั้นหล่อนจึงรู้สึกอึดอัดมากที่มาเป็นภาระของพ่อ
หล่อนอยากมีงานทำเพื่อจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้เป็นพ่อ
หลินม่ายกล่าวด้วยรอยยิ้มว่าหล่อนสามารถทำงานแทนพี่สาวได้ แต่มีเงื่อนไขบางอย่าง
น้องสาวไช่ตาเป็นประกายทันที รวบรวมความกล้าที่จะถาม “เงื่อนไขอะไรเหรอคะ?”
หลินม่ายกล่าว “เนื่องจากคุณทำงานแทนพี่สาว ฉันจำเป็นต้องหักเงินจากเงินเดือนของคุณทุกเดือนเพื่อเป็นค่าสนับสนุนรายเดือนของเสี่ยวหมิน คุณเต็มใจไหมคะ?”
“ได้สิคะ ทำไมจะไม่เต็มใจ!” น้องสาวไช่พูดอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย
ในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าจิ่นซิ่วในปัจจุบัน เงินเดือนพื้นฐานรายเดือนของพนักงานบวกโบนัสตามผลงานอยู่ที่อย่างน้อยหนึ่งร้อยหยวนต่อเดือน
หากใช้เงินสามสิบหยวนสำหรับค่าครองชีพของเสี่ยวหมิน น้องสาวไช่ก็ยังจะเหลือเงินอยู่เจ็ดสิบหยวน
พนักงานของโรงงานที่รัฐเป็นเจ้าของในเจียงเฉิงก็มีรายได้เท่านี้เช่นเดียวกัน
น้องสาวไช่เสนอว่าจะให้ค่าเลี้ยงดูเสี่ยวหมินเดือนละสี่สิบหยวน เพราะหกสิบหยวนก็เพียงพอแล้วสำหรับตัวหล่อนเอง
หลินม่ายพยักหน้าเห็นด้วย
คำพูดปากเปล่าไม่อาจเชื่อถือได้ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทในอนาคต หลินม่ายจะเซ็นสัญญากับน้องสาวไช่
หากวันหนึ่งน้องสาวไช่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือไม่ทำงาน หล่อนจะถูกไล่ออก
น้องสาวไช่ลงนามในสัญญาอย่างง่ายดาย
แม้จะไม่มีสัญญา แต่หล่อนก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเลี้ยงดูลูกสาวคนเดียวของพี่สาวจนเติบโต
นอกจากนี้หลินม่ายยังริเริ่มที่จะชดเชยให้พ่อไช่ห้าพันหยวนสำหรับชีวิตของลูกสาวที่สูญเสียไป
นอกจากนี้เธอยังสัญญาว่า เงินทั้งหมดสำหรับการศึกษาของเสี่ยวหมินในอนาคตจะได้รับทุนจากโรงงานเสื้อผ้าจิ่นซิ่วจนจบมัธยมปลาย
มีเหตุผลว่าทำไมหลินม่ายตั้งใจที่จะรับผิดชอบจนกว่าหล่อนจะสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย
ในอนาคต หากเสี่ยวหมินสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ว่าหล่อนจะมีเงินอุดหนุนจากรัฐหรือไม่ก็ตาม หล่อนก็สามารถสำเร็จการศึกษาผ่านการศึกษาดูงานได้ และไม่ต้องจ่ายเงินอีกต่อไป
เธอสามารถช่วยคนอื่นได้ แต่จะช่วยเฉพาะคนขัดสนเท่านั้น หากไม่จำเป็นก็ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง
พ่อไช่รู้สึกขอบคุณสำหรับการเตรียมการของหลินม่าย และกำลังจะคุกเข่าลงให้กับเธอ แต่ถูกหลินม่ายหยุดไว้
เธอสัญญาว่าจะให้ทุนในการศึกษาของเสี่ยวหมิน และหลินม่ายก็จดจำสัญญาที่เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้อย่างดี
นั่นคือ บุตรของพนักงานทุกคนในโรงงานจะได้รับรางวัลเป็นทุนการศึกษาสามร้อยหยวน ตราบเท่าที่พวกเขาสอบเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมเทคนิคและโรงเรียนเทคนิคได้
หากสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็จะได้รับทุนการศึกษาห้าร้อยหยวน
ด้วยเหตุผลนี้ เธอจึงได้จัดตั้งกองทุนขึ้นเป็นพิเศษ โดยมีเสิ่นเสี่ยวผิงรับผิดชอบเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าหล่อนได้ดำเนินการเรื่องนี้แล้วหรือไม่
เสิ่นเสี่ยวผิงกลับไปทำงานในสำนักงานใหญ่แห่งเจียงเฉิง ขณะหลินม่ายอยู่ในช่วงวันหยุดฤดูร้อน
หลินม่ายโทรมาถามเรื่องนี้
เสิ่นเสี่ยวผิงกล่าวว่าได้ทำการมอบทุนการศึกษาทั้งหมดแล้ว
หล่อนยังแปะรายชื่อบุตรของพนักงานที่ได้รับรางวัลบนกระดานข่าวของสำนักงานใหญ่อีกด้วย
หลินม่ายวางสายด้วยความพึงพอใจ
หลินม่ายใช้เวลาตลอดทั้งเช้าเพื่อแก้ปัญหาการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของไช่ฉางชุน
หลังจากกลับถึงบ้านเพื่อรับประทานอาหารกลางวันในตอนเที่ยง เธอรีบกลับไปที่ห้องและนอนลง
แท้จริงแล้วเธอจะไม่พักก็ได้ แต่กลัวว่าลูกในท้องจะทนไม่ไหว
หลินม่ายหลับไหลจนถึงเวลาบ่ายสองโมง หลังจัดการตัวเองให้เรียบร้อย เธอก็ไปยังที่ว่าการเทศมณฑลและตรงไปหาผู้นำที่รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจและการค้า
หลินม่ายเป็นผู้เสียภาษีรายใหญ่ในมณฑล เป็นผู้ประกอบการเอกชนที่มีชื่อเสียงในประเทศ และเป็นแบบอย่างของประเทศ
ผู้นำด้านเศรษฐกิจและการค้าจึงไม่กล้าละเลยเธอ
จุดประสงค์ของการมาเยือนของหลินม่ายในครั้งนี้คือ เพื่อชี้ให้เห็นระบบราคาคู่ขนานที่ไม่สมเหตุสมผล
แม้ว่าเธอจะรู้อยู่ในใจว่าความเป็นไปได้ที่จะลบล้างระบบราคาคู่ขนานด้วยตัวเองนั้นแทบจะเป็นศูนย์ แต่เธอก็ต้องพยายาม
เธออาจโน้มน้าวใจผู้นำมณฑลให้รายงานต่อหน่วยงานระดับสูงได้
หลังจากการไตร่ตรองแบบชั้นต่อชั้น ในที่สุดความคิดเห็นก็เข้าสู่การตัดสินใจของรัฐบาลกลาง
บางทีผู้มีอำนาจตัดสินใจอาจฟังความคิดเห็นของพวกเขาและยกเลิกระบบนั้น
แม้ว่าหลินม่ายจะคิดเช่นนั้น แต่เธอก็รู้สึกว่าแปลกเกินไป
เมื่อหลินม่ายกล่าวถึงผลกระทบของระบบราคาคู่ขนานที่มีต่อองค์กรเอกชนและองค์กรที่ได้รับทุนจากต่างชาติ ผู้นำที่รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจและการค้าบอกกับเธอว่าระบบราคาคู่ขนานใช้กับหน่วยงานของรัฐและองค์กรเอกชนเท่านั้น ไม่ใช่วิสาหกิจที่ได้รับทุนจากต่างประเทศ
หลินม่ายตกตะลึง ปรากฎว่าตัวตลกคือตัวเธอเอง
เธอกลับบ้านด้วยความผิดหวัง
ขณะนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ เธอยังคงคิดเกี่ยวกับทางออกของปัญหานี้
ฟางจั๋วหรานคุยโทรศัพท์กับเธอในตอนกลางคืน และหลินม่ายก็พูดถึงเรื่องยุ่งยากนี้
ฟางจั๋วหรานบอกเธอว่า ห้องเสื้อจิ่นซิ่วสามารถเปลี่ยนเป็นบริษัทของฮ่องกงได้ เพื่อที่เธอจะได้หลีกเลี่ยงระบบราคาคู่ขนาน
หลินม่ายตระหนักได้ทันที เธอไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย!
การเปลี่ยนห้องเสื้อจิ่นซิ่วเป็นบริษัทในฮ่องกงคือการเปลี่ยนบริษัทของเธอให้เป็นองค์กรที่ได้รับทุนจากต่างชาติ
แม้ว่าเธอไม่ต้องการให้บริษัทของเธอกลายเป็นองค์กรที่ได้รับทุนจากต่างชาติ แต่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น
หลังจากมีการคืนฮ่องกงสู่แผ่นดินใหญ่ บริษัทของเธอจะยังคงเป็นของจีน
อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของบริษัทถูกจำกัดราคาโดยระบบราคาคู่ขนานหลินม่ายจึงตัดสินใจเปลี่ยนว่านถงกรุ๊ปทั้งหมดให้กลายเป็นบริษัทของฮ่องกง
หลินม่ายนอนหลับสนิทในตอนกลางคืน
เธอวางแผนที่จะไปฮ่องกงในอีกสองวันเพื่อจัดการเปลี่ยนว่านถงกรุ๊ปให้เป็นบริษัทของฮ่องกง
ฟางจั๋วหรานรู้ว่าเธอกำลังจะไปฮ่องกง เขาจึงจงใจลาหยุดและพาเธอไปฮ่องกง
หลังจากมาถึงฮ่องกง ฟางจั๋วหรานจะพาหลินม่ายไปอาศัยอยู่ในวิลล่าบนภูเขาที่เขาซื้อให้เธอ
หลินม่ายละล่ำละลักและบอกว่าเธอเป็นคนเช่าอยู่
ฟางจั๋วหรานพูดไม่ออก เขาและภรรยาต่างก็รวยมาก แน่นอนว่าเขาไม่สนใจค่าเช่า แต่ภรรยาของเขารักเงินมาก!
แต่เมื่อฟางจั๋วหรานบอกค่าเช่า หลินม่ายไม่รู้สึกขุ่นเคืองใด ๆ เลย
หลังจากทั้งสองเก็บของทั้งหมดในวิลล่า พวกเขาก็ซื้อของขวัญและไปที่บ้านของเฉินเฟิง
ไม่นานหลังจากที่เฉินเฟิงมาถึงฮ่องกง เขาก็ซื้อบ้านที่มีสามห้องนอนและสองห้องนั่งเล่น
บ้านของเขามีพื้นที่หนึ่งร้อยตารางเมตร ถือเป็นบ้านหรูในฮ่องกง
เฉินเฟิงและภรรยาของเขาให้การต้อนรับฟางจั๋วหรานและภรรยาอย่างอบอุ่น
เฉินเฟิงวางแผนชวนสองสามีภรรยาไปกินอาหารทะเลที่ร้านดังในฮ่องกง
ชาวแผ่นดินใหญ่ชอบกินอาหารทะเล และหลินม่ายเองก็ไม่มีข้อยกเว้น
เธอกพำลังจะตอบตกลง ทว่าฟางจั๋วหรานกลับเอ่ยขึ้น “ม่ายจื่อกำลังตั้งครรภ์ การกินอาหารทะเลไม่ปลอดภัย”
เฉินเฟิงและภรรยาของเขาประหลาดใจอย่างมาก และถามหลินม่ายอย่างพร้อมเพรียงกัน “จริงเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้าอย่างเขินอาย “จริง”
เคอจื่อฉิงจับมือหลินม่ายและถามด้วยความเป็นห่วง “ท้องกี่เดือนแล้ว?”
“ประมาณสี่ห้าเดือนได้แล้ว”
เคอจื่อฉิงโกรธและตบแขนเธอเบา ๆ “ทำไมไม่รีบบอกฉัน ไม่เห็นว่าฉันกับอาเฟิงเป็นเพื่อนเหรอ?”
การตบของหล่อนราวกับตบหัวใจของฟางจั๋วหราน ทำให้เขาสะดุ้งด้วยความเจ็บปวดใจ ก่อนพูดกับเคอจื่อฉิง “ใจเย็นหน่อยครับ”
เคอจื่อฉิงยิ้มอย่างเขินอาย “คราวหน้าฉันจะระวังกว่านี้”
หลินม่ายอธิบาย “ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากบอกหรอกนะ แต่ฉันเขินอายเกินกว่าจะบอก”
เคอจื่อฉิงหัวเราะเบา ๆ พลางกล่าว “ตอนฉันท้องครั้งแรกก็อายเหมือนกันนั่นแหละ”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน พี่เลี้ยงก็เดินเข้ามาหาเคอจื่อฉิงพร้อมกับเด็กน้อยหน้าตาใสซื่อสองคนที่เพิ่งตื่นจากหลับไหล
หลินม่ายใช้มือหยิกแก้มเด็กหญิงอย่างแผ่วเบาพร้อมกล่าวด้วยความอิจฉา “เธอโชคดีมากเลยที่ได้ให้กำเนิดฝาแฝดที่แสนน่ารักขนาดนี้ ฉันเองก็ท้องลูกแฝด แต่โชคไม่ที่อีกคนไม่เจริญเติบโตจนเหลือเด็กเพียงคนเดียว ฉันอยากมีลูกสองคน หรือสามคนก็ได้”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ดีค่ะ จำคุกขังลืมไปยาวๆ จะได้ไม่ทำร้ายใครอีก
ไหหม่า(海馬)