ตอนที่ 837 กำราบชายเสื้อลายดอก
ในสำนักงานชั่วคราวที่บ้านพักพนักงานธนาคาร ชายวัยสามสิบสวมเสื้อเชิ้ตลายดอกและกางเกงยีนยกขาขึ้นพาดบนโต๊ะทำงานเจียวอิงจวิ้น
เขาออกคำสั่งกับเจียวอิงจวิ้นที่นั่งอยู่ตรงข้าม “ค่อยพูดเรื่องนี้คราวหลังเถอะ ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจ!”
ขณะกล่าวคำดังกล่าว เขาชี้ไปยังเจียวอิงจวิ้นด้วยนิ้วที่ยังถือบุหรี่อยู่
แม้ว่าจะไม่เป็นอันตราย แต่ก็ถือเป็นการเหยียดหยามเกินไป
ใบหน้าหล่อเหลาของเจียวอิงจวิ้นซีดเผือด
แต่ก่อนที่จะได้ทำสิ่งใด ประตูสำนักงานก็ถูกผลักออกพร้อมกับหลินม่ายที่สวมรองเท้าส้นแบนเดินเข้ามา
เธอเหวี่ยงกระเป๋าหลุยส์วิตตองในมือและปัดมือที่ถือบุหรี่ของชายเสื้อเชิ้ตลายดอกอย่างแม่นยำ ทำให้บุหรี่ในมือของเขาร่วงหล่นลงพื้น
เธอโพล่งออกทันใด “นี่คุณคิดจะทำอะไร? กล้าดียังไงถึงมาพูดกับผู้อำนวยการของฉันแบบนี้? คุณติดโรคพิษสุนัขบ้าหรือไง ถึงได้ถ่อมาวางท่าใช้อำนาจบาตรใหญ่ในไซต์ก่อสร้างของฉัน?”
เมื่อเห็นภาพฉากดังกล่าว เจียวอิงจวิ้นรีบลุกขึ้นทันใด
เขารีบสาวเท้าออกไปด้านข้างหลินม่ายภายในสองก้าวและถามว่า “ประธานหลิน คุณกำลังตั้งครรภ์อยู่ แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ? มาครับมา มานั่งตรงเก้าอี้ของผม”
เขาช่วยประคองหลินม่ายให้นั่งบนเก้าอี้ของเขา
หลินม่ายจ้องชายเสื้อลายดอกด้วยดวงตาเชือดเฉือน “ถ้าฉันไม่มา แล้วจะได้เห็นหมาบ้าเห่าใส่คนของฉันแบบนี้ได้ยังไง!”
สีหน้าชายเสื้อลายดอกแปรเปลี่ยนทันใด
หัวหน้าผู้รับเหมาหูที่ยืนอยู่ข้างหลังรีบพูดขึ้น “ประธานเจี่ยครับ ประธานเจี่ย อย่าเพิ่งขุ่นเคืองไป หล่อนคือคุณหลินจากว่านถงกรุ๊ปครับ”
แน่นอนว่าชายเสื้อลายดอกต้องรู้จักหลินม่าย
เพลง “ชีวิตที่ผลิบาน” ของเธอได้รับความนิยมไปทั่วประเทศ มิวสิควิดีโอที่เธอแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติได้รับการกล่าวถึงมากเช่นกัน
ทุกวันนี้ นอกเหนือจากผู้คนในชนบทและผู้สูงอายุที่ไม่นิยมดูโทรทัศน์ ไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อของหลินม่าย
ชายเสื้อลายดอกรู้เพียงว่าหลินม่ายเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่วและตลาดสดฝูตัวตัว
แต่เขาไม่รู้ว่าเธอยังเป็นประธานของว่านถงกรุ๊ปอีกด้วย
เมื่อได้ยินเจียวอิงจวิ้นเรียกหลินม่ายว่าประธานหลิน แรกทีเดียวเขานึกว่าตัวเองได้ยินผิดไป
เด็กสาวในวัยยี่สิบกว่าปีมีส่วนร่วมในธุรกิจที่หลากหลายเช่นนี้ได้อย่างไร รวมทั้งครอบครองอสังหาริมทรัพย์มากมาย
แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เหล่านั้นได้เกิดขึ้นกับหลินม่ายแล้ว
หลินม่ายทำธุรกิจหลายอย่างตั้งแต่อายุยังน้อย แม้แต่ชายเสื้อลายดอกก็ยังรู้สึกเกรงขาม
เขาระงับสีหน้าเดือดดาล ลุกขึ้นยืนและยื่นมือออกไปหาหลินม่าย “สวัสดีครับประธานหลิน เห็นแก่แซ่เจี่ยของผม ขอให้เรื่องเสี่ยวหูจบลงแค่นี้แล้วกัน”
หลินม่ายยกขาขึ้นไขว่ห้างและไม่ได้ตั้งใจจะจับมือกับเขาเลย เธอมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม “ฉันติดค้างคุณหรือยังไง? ทำไมฉันต้องเห็นแก่หน้าคุณด้วย!”
ใบหน้าของชายเสื้อลายดอกทั้งหมองหม่นและเย็นชา “ลองไปที่เมืองหลวงและสอบถามเกี่ยวกับชายที่ชื่อเจี่ยชิ่งหลาย แล้วคุณจะได้รู้คำว่า ‘เกรงกลัว’ สะกดอย่างไร”
หลังกล่าวเช่นนั้น เขาก็ระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น ก่อนพ่นคำแสนเย่อหยิ่ง “ในฐานะผู้ประกอบการเอกชนจากที่อื่น ต่อให้คุณร่ำรวยแค่ไหน ก็ไม่สามารถเข้ามาในแวดวงศิลปะปักกิ่งได้”
ในชีวิตนี้ ฟางจั๋วหราน คุณปู่ฟาง และคุณย่าฟางได้อธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าแวดวงศิลปะปักกิ่ง
แม้แต่ในชีวิตก่อน หลินม่ายเคยได้เรียนรู้เกี่ยวกับแวดวงศิลปะปักกิ่งผ่านลูกหลานตระกูลเจิ้ง
ในยุคสมัยนี้ แวดวงศิลปะปักกิ่งหมายถึงแวดวงที่ประกอบไปด้วยบุคคลที่มีสถานะทางสังคมบางอย่างในเมืองหลวง
อิงตามสถานะทางสังคม แวดวงศิลปะปักกิ่งจึงมีลำดับชั้น
ในแวดวงนั้นประกอบด้วยทายาทจากตระกูลอันทรงเกียรติ แท้จริงมันเป็นแวดวงระดับสูงและพิเศษที่สุดในเมืองหลวง ต่อให้คุณมีเงินเหลือล้น แต่หากไม่ได้เป็นลูกหลานของตระกูลเหล่านั้น คุณก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม
นั่นเป็นเหตุผลที่ชายเสื้อลายดอกเย้ยหยันหลินม่ายว่า ต่อให้เธอร่ำรวยแค่ไหนก็ไม่สามารถเข้าแวดวงศิลปะปักกิ่ง
ในช่วงวันปีใหม่ของปีนี้ ปู่ฟางและย่าฟางต้องการให้หลินม่ายและสามีเดินทางไปอวยพรวันปีใหม่กับเหล่าผู้อาวุโส
พวกเขาเพียงต้องการให้หลินม่ายเข้าร่วงแวดวงศิลปะปักกิ่ง และเป็นการเปิดโอกาสเพิ่มลู่ทางการติดต่อในอาชีพการงานของเธอ
แต่เนื่องจากมีพายุหิมะ เธอจึงไม่ได้ไป
แม้ว่าหลินม่ายจะไม่ได้ไปกล่าวคำอวยพรในช่วงวันปีใหม่ แต่ก็ไม่มีใครกล้ากีดกันเธอจากแวดวงศิลปะปักกิ่ง เพราะอย่างไรเธอก็คือหลานสะใภ้ของปู่ฟาง แล้วใครเล่าจะกล้าขวางเธอ!
หลังจากนี้อีกไม่กี่ทศวรรษ แวดวงศิลปะปักกิ่งในเมืองหลวงจะกลายเป็นแวดวงวัฒนธรรม ซึ่งยังคงถูกเรียกชื่อว่าแวดวงศิลปะปักกิ่ง และยังคงเป็นแวดวงที่ยากแก่การเข้าถึง
ในตอนนั้นลูกหลานตระกูลเจิ้งได้เข้าสู่แวดวงศิลปะปักกิ่ง ทำให้อาชีพการงานรุ่งเรืองยิ่งขึ้น และบุคลิกแปรเปลี่ยนเป็นหยิ่งผยอง
แต่ต่อมาก็ได้เกิดความผิดพลาดร้ายแรง จนนำไปสู่การล่มสลายของตระกูล พวกเขาถูกขึ้นบัญชีดำโดยรัฐบาล
หากไม่ใช่เพราะตระกูลเจิ้งถูกขึ้นบัญชีดำ หลินม่ายคงไม่รู้ถึงการมีอยู่ของแวดวงศิลปะปักกิ่ง
ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้น พลังของแวดวงศิลปะปักกิ่งในเมืองหลวงนั้นยิ่งใหญ่มากถึงกับเพิกเฉยการขึ้นบัญชีดำแซ่เจิ้ง สถานีโทรทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับแวดวงศิลปะปักกิ่งยังกล้าที่จะท้าทาย และเชิญเธอไปอัดรายการ
ไม่ว่าแวดวงศิลปะปักกิ่งจะทรงพลังแค่ไหน แต่พวกเขาจะมีอำนาจอยู่เหนืออำนาจรัฐบาลได้อย่างไร?
ทันทีที่รัฐบาลมีการเคลื่อนไหว สถานีโทรทัศน์ก็ยอมรับความผิดพลาดต่อสาธารณะและลบเทปรายการทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกไป
หากยังมีปู่ฟางคอยสนับสนุนอยู่ด้านหลังหลินม่าย แวดวงศิลปะปักกิ่งก็ไม่ได้มีความหมายอะไรกับเธอ
แม้แต่ฟางจั๋วหรานที่เติบโตขึ้นมาในตระกูลทรงอำนาจ ก็ยังไม่คิดสนใจแวดวงศิลปะปักกิ่ง
เมื่อความสามารถถึงจุดที่คนอื่นประเมินค่าไม่ได้ แล้วใครเล่าจะสนใจแวดวงเช่นนั้น?
เฉพาะผู้คนในแวดวงเท่านั้นที่สนใจตระกูลของเขา โดยหวังว่าตระกูลฟางจะเข้าร่วมและปรับปรุงคุณภาพของแวดวง
หากฟางจั๋วหรานไม่ได้มาที่เมืองหลวงเพื่อพักร้อนในช่วงวันหยุดฤดูหนาวและฤดูร้อนตั้งแต่เด็ก และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปักกิ่ง ฟางจั๋วหรานคงมีความสัมพันธ์ในแวดวงศิลปะปักกิ่งน้อยลง
นอกจากนี้เพื่อนสมัยเด็กเหล่านั้นยังชื่นชมเขาอย่างมากและยังจงรักภักดี แต่เขากลับยังคงดูถูกเหล่าทายาทที่เข้าร่วมแวดวงศิลปะปักกิ่งในเมืองหลวง
มันไม่ดูเป็นเรื่องไร้สาระเกินไปหน่อยหรือ ที่เจ้าคนแซ่เจี่ยจะใช้ชื่อแวดวงศิลปะปักกิ่งในเมืองหลวงเพื่อข่มขู่หลินม่าย?
หลินม่ายหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะและต่อสายถึงฟางจั๋วหราน
ฟางจั๋วหรานเพิ่งกลับมาที่สำนักงานหลังการผ่าตัด เขากำลังคิดโทรหาหลินม่ายเพื่อถามว่าเธอสบายดีหรือไม่
เด็กสาวคนนี้คึกคะนองเกินไป ตราบใดที่มีเวลา เธอมักจะเรียนหนังสือหรือไม่ก็ออกไปทำงาน และไม่เคยปล่อยให้ตัวเองมีวันหยุด
ไม่ทันที่จะหยิบโทรศัพท์ เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น
ฟางจั๋วหรานหยิบโทรศัพท์ขึ้น เมื่อได้ยินเสียงของหลินม่ายจากปลายสาย เขาพลันรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
หลินม่ายกลัวว่าจะกระทบต่องานของเขา จึงไม่ค่อยโทรหาเขาที่โรงพยาบาล
ฟางจั๋วหรานเอ่ยถาม “ที่รัก ทำไมคุณถึงโทรหาผมเวลานี้ได้?”
หลินม่ายแสร้งพูดเสียงเศร้า “ภรรยาของคุณถูกข่มเหงโดยคนที่มาจากแวดวงศิลปะปักกิ่งที่ไซต์ก่อสร้าง โดยอ้างชื่อว่าเจี่ยชิ่งหลาย คุณจัดการให้หน่อยได้ไหมคะ?”
“อื้ม ผมจะจัดการให้เอง เดี๋ยวผมจะโทรหาเพื่อนสมัยเด็กสองคนเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้คุณ แต่ผมต้องวางสายคุณก่อน”
ฟางจั๋วหรานวางสายโทรศัพท์และโทรหาเพื่อนสมัยเด็กสองคนทันที
เพื่อนสมัยเด็กทั้งสองคนบอกกล่าวฟางจั๋วหรานผ่านโทรศัพท์อย่างหนักแน่นว่า พวกเขาจะจัดการคนที่มารังแกพี่สะใภ้เอง
จากนั้นฟางจั๋วหรานก็โทรกลับไปหาหลินม่าย โดยบอกว่าเพื่อนสมัยเด็กของเขาได้เริ่มดำเนินการแล้ว
หลินม่ายต้องการวางสาย แต่ฟางจั๋วหรานปฏิเสธและยืนกรานที่จะคุยกับเธอ
ทั้งสองคุยกันนานกว่าสิบนาที จนกระทั่งหลินม่ายพูดว่า “ดูเหมือนว่าเพื่อนสมัยเด็กของคุณจะมาที่นี่ด้วยรถจี๊ปแล้วนะคะ”
ฟางจั๋วหรานจึงต้องวางสายโทรศัพท์อย่างไม่เต็มใจ
เขาก็เอนหลังลงบนเก้าอี้ด้วยความสบายใจ อย่างไรก็ตาม จู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นใครบางคนยืนอยู่ด้านข้างจากหางตา
เขาหันศีรษะไปและเห็นแพทย์ประจำบ้านมือใหม่ถือเวชระเบียนปึกใหญ่จ้องมองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจ้องมองเขามานานแค่ไหนแล้ว
บนใบหน้าของแพทย์ประจำบ้านเขียนไว้อย่างชัดเจน ‘ศาสตราจารย์ฟางกลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่’
ฟางจั๋วหรานตระหนักว่าการโทรศัพท์กับหลินม่ายทำลายความเข้าใจในภาพลักษณ์ของเขาจนเกือบสิ้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่แพทย์มือใหม่รู้สึกประหลาดใจมาก
ตราบใดที่เขายังคงสงบนิ่งและไม่สะทกสะท้าน ความเคอะเขินก็จะไปอยู่กับอีกฝ่ายแทน
ฟางจั๋วหรานแสร้งทำเป็นสงบและถามไปว่า “คุณมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า?”
แพทย์ประจำบ้านยังคงหมกมุ่นกับการค้นพบว่า ศาสตราจารย์ฟางไม่ได้เย็นชาเป็นน้ำแข็งอย่างที่คิด เพราะต่อหน้าภรรยาเขากลายเป็นสามีผู้เชื่อฟัง
เมื่อได้ยินคำถามของฟางจั๋วหราน เขาก็กลับมารู้สึกตัวและพยักหน้ารับ
…
รถจี๊ปสีเขียวเป็นเงาสองคันขับเข้ามาในไซต์ก่อสร้าง
ชายหนุ่มที่แต่งตัวดีมีภูมิฐานราวสองถึงสามคนลงจากรถจี๊ปทั้งสองคัน
เมื่อพวกเขาลงจากรถ ทุกคนมองไปที่สำนักงานชั่วคราวของเจียวอิงจวิ้น
สำนักงานชั่วคราวถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มแรงงานต่างถิ่นที่ถือพลั่ว ค้อน และเครื่องมือเหล็กอื่นๆ ซึ่งก่อตัวเป็นวงหลายชั้นทั้งภายนอกและภายใน
สีหน้าของคนหนุ่มเหล่านั้นกลายเป็นจริงจังทันที
ในใจแอบพ่นคำด่าทอ ไอ้งี่เง่านั่นมาจากไหน ถึงได้จองหองกล้าทำกับภรรยาพี่จั๋วหรานแบบนี้!
ถ้าอยากตายขนาดนั้นก็แค่พูดออกมา ทำไมถึงได้วางท่าใหญ่โตข่มขู่คนอื่นแบบนี้
ชายหนุ่มคนหนึ่งผลักชายวัยกลางคนผมหยิกแล้วพูดว่า “ไป! ไปบอกพวกขี้ข้าของแกให้สลายกลุ่มแรงงานต่างถิ่นพวกนี้ทันที ไม่งั้นเราจะจัดการแกก่อน!”
ชายวัยกลางคนผมหยิกเชื่อฟังยิ่งกว่าสุนัข เขาวิ่งไปจนถึงประตูสำนักงานของเจียวอิงจวิ้น
เขาตะโกนเข้าไปด้านในผ่านประตู “ไอ้เจ้าเจี่ยชิ่งหลาย แกรีบสั่งแยกย้ายแรงงานต่างถิ่นพวกนี้โดยเร็ว พี่จ้าวและพี่สวี่จากแวดวงผู้มีอิทธิพลอยู่ที่นี่แล้ว!”
เมื่อเจี่ยชิ่งหลายได้ยินสิ่งนี้ ขาทั้งสองของเขาก็สั่นเทาด้วยความตกใจ
ก่อนหน้านี้หลินม่ายบอกว่าแวดวงศิลปะปักกิ่งไม่ได้สลักสำคัญอะไรในสายตาเธอ ต่อให้พวกเขามาขอร้อง เธอก็จะไม่เข้าร่วม
เขาคิดว่าเธอพูดปดมดเท็จไปอย่างนั้น แต่ไม่คาดคิดว่าถ้อยคำพวกนั้นจะเป็นความจริง
ด้วยการโทรศัพท์เพียงครั้งเดียว เธอสามารถเรียกคนจากแวดวงระดับสูงสุดในเมืองหลวงมาได้ ไม่แปลกใจเลยที่เธอจะไม่มีท่าทางเกรงกลัว
การแก้แค้นของคนจากตระกูลอันทรงเกียรตินั้นไร้ความปรานี และเขาจะต้องเผชิญกับผลที่ตามมาของการกระทำของเขา
เจี่ยชิ่งหลายพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฉันไม่ได้พาแรงงานต่างถิ่นเหล่านั้นมาที่นี่ ตะ… แต่ประธานหลินขอให้แรงงานต่างถิ่นเหล่านั้นปิดล้อมสำนักงาน เพียงเพราะหล่อนเกรงว่าเสี่ยวหูและฉันจะหนีไปได้”
สีหน้าของพี่จ้าว พี่สวี่ และลูกน้องอีกราวสามคนที่อยู่ลานกว้างแปรเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำพูดของเจี่ยชิ่งหลาย
ก่อนหน้ามีคนโทรบอกพวกเขาว่า พี่สะใภ้กำลังโดนข่มเหงรังแกอย่างหนัก ทั้งยังย้ำพวกเขาให้รีบมาปกป้องเธอ
แต่ในสถานการณ์จริง ใครรังแกใครกันแน่?
ลูกน้องจากครอบครัวอันทรงเกียรติพยายามอธิบายให้แรงงานต่างถิ่นที่อยู่รอบ ๆ ฟังว่าพวกเขาอยู่ภายใต้คำสั่งของหลินม่าย
แรงงานต่างถิ่นยังคงไม่ไหวติง กระทั่งเจียวอิงจวิ้นออกมาพูเกลี้ยกล่อม พวกเขาจึงแยกย้ายกันไปทำงานต่อ
เจียวอิงจวิ้นเชิญผู้คนจากครอบครัวอันทรงเกียรติและชายผมหยิกเข้าไปด้านในด้วยความเคารพ
เด็กหนุ่มคนหนึ่งจ้องเขม็งไปทางเจี่ยชิ่งหลานและหัวหน้าคนงานหูอย่างไร้ความปรานีทันทีที่เขาเข้าไปด้านใน ก่อนถามเสียงแข็ง “ฉันได้ยินมาว่ามีคนรังแกพี่สะใภ้ของเรา บอกมาว่าเจ้าคนขี้ขลาดคนนั้นเป็นใคร?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ทำเป็นใหญ่ เจอของจริงเข้าไปยังจะกล้ากร่างอีกไหม?
ไหหม่า(海馬)