“ลองท่อนเวิร์สใหม่อีกครั้ง”
“ไม่ต้องใช้ลูกคอครับ เป็นธรรมชาติสักหน่อย”
“ครึ่งแรกคือการบ่มเพาะอารมณ์”
“ส่วนของคอรัสไม่จำเป็นต้องพยายามสร้างความรู้สึกขมขื่น”
“จังหวะกลองในที่นี้สามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างเหมาะสม ควรทำให้เกิดความรู้สึกถึงการปลดปล่อยและระเบิดอารมณ์ ไม่ใช่การระเบิดอารมณ์แบบตีโพยตีพาย เก็บเสียงสงสักหน่อย เหมือนตอนที่พี่ร้องรอบแรก”
“…”
หลังจากวันหยุดประจำปีสิ้นสุดลง ผู้คนเริ่มกลับมาทำงาน
ช่วงกลางเดือนนี้
สตูดิโอบันทึกเพลงสักแห่งหนึ่งในสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์
หลินเยวียนเริ่มอัดเพลง ‘จูบลา’ ร่วมกับซุนเย่าหั่ว
เนื่องจากก่อนหน้านี้ ซุนเย่าหั่วฝึกฝนมาก่อน เพราะฉะนั้นการอัดเพลงจึงนับว่าราบรื่น หลินเยวียนเพียงแค่แก้ไขจุดที่ขาดตกบกพร่องเท่านั้น
แตกต่างจากเมื่อก่อน
เมื่อก่อนหลินเยวียนอัดเพลง ทั้งการประพันธ์ทำนองและเรียบเรียงเพลง เขาจะใช้รูปแบบดั้งเดิมทั้งหมด
ทว่าปัจจุบันนี้
ในการอัดเพลง หลินเยวียนเริ่มเรียนรู้การปรับแต่งองค์ประกอบและการเรียบเรียงตามลักษณะของนักร้อง
ไม่ใช่ว่าเวอร์ชันดั้งเดิมนั้นไม่ดี
เหตุผลหลักคือดนตรีของเวอร์ชันดั้งเดิมล้วนสร้างขึ้นจากเสียงร้องของเพลงต้นฉบับทั้งหมด
ยกตัวอย่างเช่นเพลง ‘จูบลา’ ในมิติของการเรียบเรียงเพลงนั้นมีองค์ประกอบอันเป็นลักษณะจำเพาะของเพลงพ็อปจากฮ่องกงในยุคหนึ่งบนโลก และการออกแบบการร้องเพลงเล็กๆ น้อยๆ บางส่วนก็ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษสำหรับนักร้องระดับตำนานอย่างจางเสวียโหย่ว
ถึงอย่างไรผู้ขับร้องคือจางเสวียโหย่ว
แต่ทว่าซุนเย่าหั่วไม่ใช่จางเสวียโหยว ดังนั้นหลินเยวียนจึงเริ่มทดลองออกแบบท่อนเล็กๆ ในการเรียบเรียงเพลงสำหรับซุนเย่าหั่ว
การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ไม่มากเกินไป
ผู้ฟังทั่วไปฟังไม่ออกถึงความแตกต่าง แต่นี่คือบททดสอบความสามารถของหลินเยวียน
โชคดีที่หลินเยวียนเรียนการประพันธ์เพลงมาโดยตลอด ทั้งยังสัมผัสกับการเรียบเรียงเพลง ถึงอย่างไรดนตรีต้องตามทันยุคสมัย
ง่วนอยู่กับเรื่องนี้อยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดการอัดเพลงจูบลาเวอร์ชันซุนเย่าหั่วก็เสร็จสมบูรณ์ สิ่งที่เหลืออยู่ในภายหลังคือการจัดการทางเทคนิค
เมื่องานเหล่านี้เสร็จสมบูรณ์ ก็สามารถเข้าสู่การโปรโมตได้
ช่วงบ่าย
หลินเยวียนไปยังกองถ่ายทำซีรีส์บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศอีกครั้ง
ความคืบหน้าในการถ่ายทำของทางนั้นไม่เลว ผู้กำกับแจ้งว่าซีซันแรกจะถ่ายทำเสร็จในช่วงปลายเดือนนี้ แต่โพสต์โพรดักชันจำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักพัก
ใช่แล้ว
หลินเยวียนไม่คิดจะถ่ายทำบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศออกมารวดเดียว
นี่เป็นโปรเจกต์ใหญ่ คงจะดีกว่าหากแบ่งถ่ายทำหลายซีซัน
ส่วนเนื้อหาในบทซีรีส์บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศของหลินเยวียนนั้นคือการกำเนิดพญาวานร ไปจนถึงการรวมกลุ่มของอาจารย์และลูกศิษย์
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เนื้อหาในซีซันหนึ่งนั้นสร้างถึงซัวเจ๋งเข้าร่วมคณะเดินทางก็เพียงพอแล้ว
ในนั้น จุดสำคัญของเรื่องราวนั้นอยู่ที่ซุนหงอคงอาละวาดวังสวรรค์
เงินทุนในการถ่ายทำซีซันแรก โดยพื้นฐานแล้วไปรวมกันอยู่ตรงนี้ นี่คือพล็อตเรื่องที่อลังการที่สุดในช่วงเปิดเรื่องบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ทั้งหมดจำเป็นต้องตื่นเต้นเร้าใจ!
สิ่งที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงคือ ซีรีส์บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเวอร์ชันของหลินเยวียนนั้นแตกต่างจากเวอร์ชันของช่องซีซีทีวีบนโลก
บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศช่องซีซีทีวีนั้นมีการดัดแปลงผลงานต้นฉบับมากมาย
บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเวอร์ชันของหลินเยวียน ถึงแม้จะมีการดัดแปลงจากต้นฉบับบางส่วน ทว่าทิศทางของการดัดแปลงนั้นไม่ได้เหมือนกับเวอร์ชันของซีซีทีวีทุกประการ
แน่นอน
กล่าวโดยสรุป คือยังต้องปรับแต่งโดยอ้างอิงจากเวอร์ชันช่องซีซีทีวี ไม่สามารถทำให้มืดมนเกินไป ต่อให้เรื่องราวของบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศจะมีบางจุดที่มืดมนมากก็ตามแต่
ถ้าหากข้อจำกัดของการถ่ายทำผ่อนปรนกว่านี้ ไม่แน่ว่าในนิยายอาจมีฉากซูมปีศาจกำลังกินคนก็ได้
หลินเยวียนไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
หากต้องการสร้างให้บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเป็นซีรีส์ซึ่งเหมาะกับทุกเพศทุกวัย จะเดินเส้นทางนั้นไม่ได้
ฉากเลือดสาดแบบนั้น เด็กๆ ยังดูไม่ไหวหรอก…
ประเด็นสำคัญคือการลงแรงในพล็อตเรื่องและสเปเชียลเอฟเฟ็กต์
บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเวอร์ชันช่องซีซีทีวี สเปเชียลเอฟเฟ็กต์บนโลกไม่นับว่าอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะแดนมังกรซึ่งมีเทคโนโลยีที่จำกัดในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น แม้จะกล่าวว่าฉากสงครามมีความแฟนตาซี แต่อันที่จริงฉากสงครามนั้นเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกของศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง
บนบลูสตาร์ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องสเปเชียลเอฟเฟ็กต์
บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเวอร์ชันที่หลินเยวียนถ่ายทำบนบลูสตาร์ มีสไตล์ของภาพที่ตรงกับต้นฉบับอย่างแท้จริง
หลินเยวียนและบริษัทต่างก็ใจกว้างมากในแง่ของงบประมาณการลงทุน!
หากงบประมาณในการลงทุนกับซีรีส์บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศของสตาร์ไลท์ถูกเปิดเผยออกไป ทั้งวงการจะต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน!
วิชาตาไฟเนตรทองคำ…
จำเป็นต้องทำให้ดวงตาลุกเป็นไฟจริงๆ !
การต่อสู้ของเหล่าเทพเซียน หากไร้ซึ่งปรากฏการณ์บนท้องฟ้า คงจะเป็นการทรยศเทคโนโลยีสเปเชียงเอฟเฟ็กต์ของบลูสตาร์อย่างแน่นอน!
ด้วยเหตุนี้ หลินเยวียนจึงเต็มใจที่จะเสี่ยง
จำเป็นต้องยอมจ่ายเงินโดยที่ไม่นึกเสียดาย!
อันที่จริงการลงทุนที่มากเกินไปในซีรีส์สักเรื่องหนึ่งนั้นไม่คุ้มค่าหรอก
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความสามารถในการทำกำไรของซีรีส์ก็มีขีดจำกัด
รายได้ซึ่งได้จากสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ระดับแปดเต็มสิบ กับรายได้จากการพัฒนาสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ไปถึงระดับเก้าเต็มสิบนั้นไม่ได้ต่างกันมากนัก
นี่จึงเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมการลงทุนในละครโทรทัศน์ในระดับเดียวกันจึงไม่เคยสูงกว่าภาพยนตร์ในระดับเดียวกันเลย
เพราะขีดจำกัดของภาพยนตร์นั้นสูงมาก
ตอนนี้หลินเยวียนผลิตซีรีส์ด้วยมาตรฐานของภาพยนตร์ระดับบล็อกบัสเตอร์
ตราบใดที่โด่งดัง ต่อให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ขาดทุนในท้ายที่สุด หลินเยวียนก็ทำได้เพียงยอมรับ
ไม่ผิดหรอก
หลินเยวียนเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการขาดทุนแล้ว
เพราะเขามั่นใจว่าเขาจะได้รับเงินทั้งหมดที่ขาดทุนไปจากการพัฒนาบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศคืนในภายหลัง!
เงื่อนไขคือซีรีส์บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศจะต้องสร้างชื่อเสียงและอิทธิพลมาก่อน!
แนวคิดของเขาเรียบง่าย
บนโลกมีจักรวาลมาร์เวลไม่ใช่หรือ?
งั้นเขาก็สามารถสร้างจักรวาลบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศได้เช่นกัน!
ในอนาคต หลินเยวียนยังสามารสร้างภาพยนตร์และซีรีส์เกี่ยวกับตัวละครในจักรวาลบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศได้อีก
เช่นเดียวกับ ‘มหากาพย์การเดินทางสู่ประจิมทิศ[1]’
หรือแม้แต่ ‘โคมวิเศษ[2]’ อะไรทำนองนั้น
มาร์เวลมีสไปเดอร์แมน ไอรอนแมน ธอร์…
เมื่อมารวมกันจะร่วมมือกัน เมื่อแยกจากกันต่างคนต่างมีซีรีส์ของตนเอง
ในบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศมีตัวละครอย่างซุนหงอจง หยางเจี่ยน นาจา ฯลฯ
รวมกันเป็นบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ เมื่อแยกกันย่อมนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และซีรีส์ของแต่ละคนได้
ใครๆ ก็มีเส้นเรื่องของตัวเอง
ถ้าหากบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศได้รับการบุกเบิกเป็นอย่างดี แม่ทัพเทียนเผิงก็สามารถนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และซีรีส์จำพวก ‘ตือโป๊ยก่ายแสนสดใส[3]’ ได้เช่นกัน
หยิบยืมกระแสของบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ ก็โด่งดังได้เช่นกัน
ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพล็อตเรื่องของผลงานประเภทนี้จะออกแบบมาชนกับบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ
ผู้เขียนบทอาวุโสจากมาร์เวลและเอ็กซ์เมนเคยสอนทุกคนมาแล้วว่าจะเล่นลูกเล่นนี้ได้อย่างไร
เมื่อเผชิญความสงสัย กลศาสตร์ควอนตัม เมื่อไร้เหตุผลอธิบาย การเดินทางข้ามเวลา เมื่อไร้ซึ่งจินตนาการ จักรวาลคู่ขนาน เมื่อคิดก้าวข้ามรูปแบบเดิม โลกเสมือนจริง เมื่อไม่เข้าใจทฤษฎีสี ไซเบอร์พังค์ เมื่อภาพล้าสมัย แสวงหาเรโทร เมื่อไม่ชัดเจน ยึดถือคธูลู!
กล่าวโดยสรุปคือ
หลินเยวียนมีแผนการใหญ่สำหรับบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ
สำหรับบท หลินเยวียนนั้นไม่ได้เข้มงวด
หากมีระบบ เขาก็สามารถใช้ระบบได้
หากไม่มีระบบ เขาก็หานักเขียนบทมาจัดการได้
ตราบใดที่เขาเสนอแนวคิด การหานักเขียนบทฝีมือดีบนบลูสตาร์สักสามสี่คนมาช่วยเขาขัดเกลาบทและเติมเต็มเนื้อหาจึงไม่ใช่เรื่องยากเลย
ยกตัวอย่างเช่น…
หลินเยวียนอยากถ่ายทำสปินออฟของหยางเจี่ยน เขาก็สามารถจ่ายเงินซื้อบทของโคมวิเศษได้ทันที
หากต้องการเล่นให้อลังการสักหน่อย ‘ความทุกข์ตรมแห่งชีวิตรินไหลสู่แดนบูรพา’
การผสมผสานกันระหว่างทั้งสองเรื่อง จะต้องให้ผลลัพธ์ซึ่งชวนตกตะลึงอย่างแน่นอน
หากต้องการเล่นใหญ่กว่านั้นอีก หลินเยวียนก็กล้าถ่ายทำตำนานหงอคงให้ทุกคนดู
เอาเถอะ
นี่เป็นความคิดบางส่วนของหลินเยวียนที่ยังไม่ได้ตกผลึก รายละเอียดว่าควรเล่นอย่างไรหลังจากนี้ ยังคงต้องได้รับการปรับปรุงให้สมบูรณ์แบบ
ถ้าหากล้มเหลวในการถ่ายทำซีรีส์ จะเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ดี การพัฒนาบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศในอนาคตอาจลำบาก
นี่คือเหตุผลที่วันนี้หลินเยวียนไม่ได้ไปกองถ่าย ภาพยนตร์อีกสองเรื่อง แต่กลับมาเยี่ยมเยียนเพียงกองถ่ายซีรีส์บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ
ซีรีส์เรื่องนี้คือโปรเจกต์ใหญ่ที่สุดของเขาในขณะนี้!
เพราะเรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงปัญหาที่ว่าเขาจะสามารถขยายพิมพ์เขียวอันยิ่งใหญ่ของโลกบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศในอนาคตได้สำเร็จหรือไม่!
————————
ปล.หลังจากนี้น่าจะมีผลงานเกี่ยวกับบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศตามมาอีกหลายเรื่อง ถึงขั้นที่กำลังคิดเกี่ยวกับการดัดแปลงตัวละครบางตัวหรือสร้างบทขึ้นมาใหม่ แต่เมื่อพิจารณาถึงความเข้าถึงเรื่องราว นิยายเพื่อความบันเทิงน่าจะหลีกเลี่ยงการสร้างงานต้นฉบับขึ้นมาใหม่ นอกเสียจากว่าอูไป๋จะรู้สึกว่าการสร้างสรรค์ผลงานต้นฉบับนั้นคุ้มค่าแก่การเขียน
[1] มหากาพย์การเดินทางสู่ประจิมทิศ (The Chinese Odyssey) หรือในชื่อภาษาไทยคือไซอิ๋ว เดี๋ยวลิงเดี๋ยวคน
[2] โคมวิเศษ (The Magic Lotus Lantern) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับซานเซิ่งหมู่ตกหลุมรักกับปุถุชน ความรักของนางถูกคัดค้านจากเทพหยางเจี่ยนซึ่งเป็นพี่ชายและคนรอบตัว จนนางถูกยึดโคมวิเศษและถูกจองจำใต้เขาหวาซาน ภายหลังให้กำเนิดบุตรชายซึ่งเป็นมนุษย์กึ่งเทพ นามว่าหลิวเฉินเซียง และในที่สุดหลิวเฉินเซียงก็ช่วยมารดาออกมาจากการจองจำได้สำเร็จ
[3] ตือโป๊ยก่ายแสนสดใส (Sunny Piggy) ไม่พบชื่อเรื่องในภาษาไทย