To-ra Story : คณะท่องโลกของนายโทระ – ตอนที่ 9 เรื่องสำคัญ

To-ra Story : คณะท่องโลกของนายโทระ

ในขณะที่ผมเดินผ่านประตูกลับเข้ามาในหมู่บ้านโทเดน ผู้คนที่กำลังเดินสัญจรไปมาต่างก็หันมามองที่ผมเป็นตาเดียว…คงเป็นเพราะสภาพของตัวผมในตอนนี้มันดูรุ่งริ่งสุดๆ ล่ะนะ

 

ชุดเกราะหนังมีรอยขาดหลายจุดและยังเปรอะไปด้วยคราบดินผสมกับคราบเลือด เสื้อและกางเกงก็อยู่ในสภาพยับเยิน โดยเฉพาะกางเกงที่เรียกว่าดูไม่ได้

 

“คราวนี้ขาดทุนย่อยยับเลยแฮะ” ผมพูดกับตัวเอง

 

โล่ทั้งสามอันที่พึ่งจะซื้อมาต่างก็อยู่ในสภาพเสียหาย จนตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถซ่อมแซมได้หรือไม่

 

“แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่ดาบไม่ได้เป็นอะไร ไม่งั้นชีวิตคงจะเริ่มลำบากจริงๆ แล้ว…”

 

เดินมาไม่นานผมก็เดินมาถึงหน้าโรงแรมหมูป่า ผมเดินผ่านประตูเข้าไปและไม่นานก็มองเห็นโซโซที่กำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งด้วยท่าทีกระวนกระวาย ผมจึงรีบเดินเข้าไปหาเธอ

 

“รอนานไหม?”

 

“อ๊ะ! คุณโทระ! …เอ่อ คุณโทระไม่เป็นอะไร…ใช่ไหมคะ?”

 

ดวงตาของโซโซเบิกกว้างขึ้นเมื่อเธอมองเห็นสภาพของผม

 

“อา…ไม่เป็นไรหรอก มีคนรักษาให้แล้วน่ะ แค่สภาพอาจจะดูแย่ไปนิดนึง”

 

“…แบบนี้ฉันว่าไม่ใช่แค่นิดนึงแล้วล่ะค่ะ!”

 

“ฮะๆ งั้นเหรอ…ตอนสู้กับบอสจะโดนเล่นงานหนักไปหน่อยล่ะนะ แต่โชคยังดีที่มีคนมาช่วยไว้ซะก่อน”

 

“เอ๊ะ? มีคนมาช่วยไว้อย่างนั้นหรือคะ?”

 

“อือ โซโซก็รู้ใช่ไหมล่ะว่าเจ้าหมานั่นเลเวลเท่าไหร่ ไม่มีทางที่ผมจะสู้ได้อยู่แล้ว จริงไหม?”

 

“นะ นั่นสิคะ ตอนแรกฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน ยังสงสัยอยู่เลยว่าคุณโทระทำยังไงถึงสามารถจัดการเจ้าตัวแบบนั้นได้”

 

ผมตั้งใจที่จะข้ามการพูดถึงถึงคนที่มาช่วย ก็เลยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

 

“แล้วด้านโซโซเป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยดีใช่ไหม?”

 

“ปลอดภัยดีค่ะ ถึงจะเจอมอนสเตอร์บ้าง แต่แมรี่กับซิกนัมก็ช่วยจัดการให้ค่ะ”

 

“งั้นเหรอ แบบนั้นก็ดีแล้ว…จริงสิ! ก่อนหน้านี้ต้องขอโทษด้วยนะที่ขึ้นเสียงใส่ พอดีมันไม่มีเวลาอธิบายน่ะ”

 

ผมพูดถึงตอนที่สั่งให้เธอหนี

 

“เรื่องนั้นไม่เป็นไรเลยค่ะ ฉันเข้าใจสถานการณ์ดีค่ะ”

 

ดูเหมือนว่าโซโซจะไม่ได้คิดมาก

 

“จริงสิคะ เอ่อ…คุณโทระคะ คุณพอจะมีสถานที่เงียบๆ ไหมคะ พอดีฉันมีเรื่องสำคัญที่อยากจะบอก แล้วก็มีเรื่องจะปรึกษากับคุณโทระด้วยค่ะ”

 

“เรื่องสำคัญงั้นเหรอ? เป็นเรื่องที่ไม่ควรให้คนอื่นได้ยินหรือเปล่า?”

 

“ใช่ค่ะ เป็นเรื่องสำคัญมาก”

 

“หืม~ โอเค เข้าใจแล้ว รู้สึกเหมือนว่าที่สมาคมนักผจญภัยจะมีห้องประชุมให้เช่าอยู่นะ งั้นโซโซช่วยรอผมสักแปบได้หรือเปล่า? ผมอยากขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนน่ะ”

 

ตอนแรกก็คิดจะชวนเธอขึ้นไปคุยกันที่ห้องของผมอยู่หรอกนะ แต่คิดอีกทีโซโซเองก็เป็นผู้หญิง แล้วมันก็คงดูไม่ดีเท่าไหร่ อยู่ๆ จะให้ผมไปพูดว่า ‘งั้นไปคุยกันที่ห้องของผมไหมครับ อย่างนี้หรอ? ’ คงได้โดนมองว่าเป็นพวกบ้ากามแหงมๆ

 

“อ๊ะ! ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันรออยู่ที่นี่ได้ค่ะ คุณโทระไม่ต้องรีบนะคะ”

 

“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวผมจะรีบลงมา”

 

พูดจบผมก็รีบขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยความรวดเร็ว ใช้เวลาไปประมาณ 10 นาที ผมก็ลงมาหาโซโซด้วยสภาพที่ดูเหมือนคนปกติ

 

“ไปกันเถอะ”

 

“ค่ะ”

 

พวกเราพากันเดินไปที่สมาคมนักผจญภัย ก่อนที่จะติดต่อขอเช่าห้องประชุมขนาดเล็กที่มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ชั่วโมงละ 2 เหรียญเงิน ถึงราคาอาจจะสูงไปสักหน่อย แต่ภายในห้องประชุมของสมาคมจะมีการลงเวทมนตร์ปิดกั้นเสียงเอาไว้ด้วย ดังนั้นจึงสามารถวางใจเรื่องการเก็บความลับได้เป็นอย่างดี

 

“ว่าแต่โซโซมีเรื่องอะไรจะปรึกษาอย่างนั้นเหรอครับ?”

 

เมื่อพวกเรานั่งลงที่โต๊ะประชุมตัวเล็กๆ ผมก็หันไปถามโซโซ

 

“เรื่องนั้น…มันเกี่ยวข้องกับจักรพรรดินีหมาป่าโทเดนตัวนั้นน่ะค่ะ”

 

“เกี่ยวกับเจ้านั่นงั้นเหรอครับ?”

 

“ใช่ค่ะ…”

 

“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากค่ะ…แต่ว่าเมื่อตอนที่อยู่ที่โรงแรม ฉันได้ยินคุณโทระบอกว่ามีคนมาช่วยไว้ใช่ไหมคะ?”

 

“อืม ใช่แล้วล่ะ”

 

“คุณโทระจำได้ไหมคะว่าคนๆนั้นเป็๋นใคร หรือว่าสามารถติดต่อได้หรือไม่ค่ะ?”

 

“อืม เป็นคนรู้จักน่ะ ถ้ามีอะไรก็สามารถติดต่อได้”

 

“คนรู้จักงั้นหรือคะ…เอ่อ อาจจะฟังดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่ว่าคนๆนั้นสามารถไว้ใจได้ไหมคะ”

 

ผมมองโซโซอย่างสงสัย ก่อนจะตอบกลับไป

 

“ไว้ใจได้ครับ เรื่องนี้ผมสามารถรับประกันได้ แล้วอีกอย่างเธอก็เป็นเพื่อนในปาร์ตี้เก่าของผมด้วย ถ้าต้องการจะให้โทรหาตอนนี้เลยก็ได้อยู่นะครับ”

 

ได้ยินดังนั้นโซโซก็ถอนหายใจออกมาด้วยท่าทางโล่งใจ

 

“ไม่ต้องถึงขั้นนั้นก็ได้ค่ะ ฉันแค่อยากถามไว้ก่อนเพราะเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับคนๆนั้นเหมือนกันค่ะ…แต่เอาไว้หลังจากที่เราคุยกันเรียบร้อยแล้วค่อยติดต่อไปหาก็ได้ค่ะ”

 

“งั้นเรากลับเข้าเรื่องกันต่อนะคะ”

 

โซโซทำท่าทางลังเลอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ

 

“…แต่ก่อนจะคุยกันถึงเรื่องนั้น เพื่อที่คุณโทระจะได้เชื่อเรื่องที่ฉันจะพูดต่อไป…ฉันคงต้องเล่าย้อนไปถึงที่มาของตัวเองก่อนค่ะ…ความจริงแล้ว…”

 

“โซโซ หยุดก่อนครับ”

 

ผมเอ่ยขัดโซโซขึ้นมาซะก่อนจนเธอสะดุ้งตกใจ

 

“อะ เอ๋!? ค่ะ คะ?”

 

“เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอกครับ โซโซเข้าเรื่องได้เลยครับ…อ๊ะ! อย่าเข้าใจผิดนะครับ มันไม่ใช่ว่าผมรังเกียจหรือไม่อยากที่จะได้ยินเรื่องตัวตนของโซโซหรอกนะครับ เพียงแต่ผมคิดว่าบางทีโซโซอาจจะลำบากใจที่จะต้องเล่าถึงเรื่องนั้นแค่นั้นเองครับ”

 

“ตะ แต่ถ้าฉันไม่เล่า…ถ้าเป็นแบบนั้น…”

 

ดวงตาของเธอสั่นไหวน้อยๆ ดูเหมือนว่าคราวนี้ผมจะคิดถูก…เรื่องตัวตนในอดีตของเธอน่าจะสร้างความเจ็บปวดและสะเทือนใจให้เธออยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

“ไม่เป็นไรครับ ผมเชื่อเรื่องที่โซโซจะบอกให้ผมฟังครับ แล้วอีกอย่างพวกเราก็เป็นเพื่อนกัน ดังนั้นโซโซคงไม่ตั้งใจแต่งเรื่องมาหลอกผมอยู่แล้ว จริงไหมครับ? …เพราะฉะนั้นโซโซเล่ามาให้ผมฟังได้เลยครับ”

 

“…ค่ะ ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะคุณโทระ”

 

สายตาของเธอดูเหมือนจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย

 

“เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเรื่องในอดีตหลังจากที่สงครามครั้งสุดท้ายสิ้นสุดลงค่ะ…หลังจากเทพมารพ่ายแพ้ไป ไม่กี่ปีต่อมาก็ได้มีคนๆหนึ่งได้กล่าวคำทำนายเอาไว้ค่ะ…ซึ่งมันเป็นคำทำนายที่เกี่ยวข้องกับเทพมารค่ะ”

 

“เทพมาร? หมายถึงเทพองค์ก่อนใช่ไหมครับ?”

 

“ใช่ค่ะ…ส่วนหนึ่งของคำทำนายได้กล่าวไว้ว่า ‘เมื่อเหล่าจักรพรรดิลืมตาตื่น วันแห่งการกลับมาของเทพมารจะมาถึง’ น่ะค่ะ…ถึงจะยังไม่แน่ใจว่าคำว่า [จักรพรรดินี] จะเกี่ยวข้องกับคำทำนายนี้ด้วยหรือไม่ แต่ตั้งแต่อดีตย้อนกลับไปสมัยเมื่อเกือบ 2000 ปีที่ผ่านมาตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยมีการบันทึกถึงมอนสเตอร์ที่มีคำว่าจักรพรรดิหรือจักรพรรดินีอยู่ในชื่อมาก่อนเลยค่ะ…”

 

โซโซเว้นช่วงก่อนที่จะเริ่มเล่าต่อ

 

“…ทางราชวงศ์รุ่นแรกเคยมีการนำเรื่องคำทำนายนี้ไปถามกับท่านเทพไคโตะว่ามันเป็นความจริงหรือไม่อยู่ค่ะ…แล้วท่านก็ได้บอกว่าคำทำนายนี้เป็นเรื่องจริงค่ะ”

 

(หืม? เทพไคโตะ? หมายถึงเทพเจ้าองค์ปัจจุบันงั้นเหรอ?)

 

ถึงผมจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดขัดอะไร

 

“และตั้งแต่นั้นมาคำทำนายนี้ก็ได้ถูกบันทึกไว้ในจารึกประวัติศาสตร์และได้รับการสืบทอดต่อๆ กันมาในราชสำนักจนมาถึงปัจจุบันค่ะ”

 

พูดจบโซโซก็มองหน้าผมด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“…คุณโทระคะ เรื่องที่จะเล่าต่อจากนี้ ถือเป็นความลับสูงสุดของอาณาจักรค่ะ มันเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของทั้งอาณาจักร ไม่สิ ความมั่นคงของโลกใบนี้ค่ะ…ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะให้คุณโทระช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับและอย่านำไปบอกต่อกับคนอื่นจะได้ไหมคะ?”

 

“เอ๊ะ!? เดี๋ยวนะครับ ถ้าเรื่องมันใหญ่ขนาดนั้น ผมว่ามันคงไม่ดีมั้งที่จะเอามาเล่าให้กับคนธรรมดาๆ แบบผมฟังน่ะ”

 

ผมรีบขัดขึ้นมา ดูท่าเรื่องนี้จะไม่ธรรมดาอย่างที่คิด

 

“ไม่ได้ค่ะ…เพราะตั้งแต่ที่พวกเรามีความเกี่ยวข้องกับคำว่าจักรพรรดินี ชีวิตของพวกเราก็โดนดึงเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วค่ะ เพราะฉะนั้น…ฉันเลยต้องให้คุณโทระทราบเรื่องราวเอาไว้ค่ะ”

 

“เอ่อ…งั้นเหรอครับ ก็ได้ครับ ผมสัญญา” ทำไมยิ่งฟังผมยิ่งรู้สึกอยากจะเป็นลมเข้าไปทุกที

 

ผมได้แต่ทำใจยอมรับเท่านั้น โซโซพยักหน้าตอบรับ ก่อนที่เธอจะเริ่มเล่าต่อ

 

“…ความจริงแล้วเทพมารยังมีชีวิตอยู่ค่ะ”

 

“…ว่ายังไงนะครับ?”

 

“เทพมารยังมีชีวิตอยู่ค่ะ”

 

นี่มันเรื่องใหญ่ของจริงเลยนี่!? เดี๋ยวนะๆ ตั้งสติเอาไว้ก่อน

 

“ระ เรื่องจริงงั้นเหรอครับ? แต่ตามประวัติศาสตร์เทพองค์ปัจจุบันเอาชนะเทพมารไปเรียบร้อยแล้วไม่ใช่หรือครับ? …หรือว่าตำนานเป็นเรื่องโกหก?”

 

“ตำนานไม่ได้โกหกค่ะ เทพไคโตะ [เอาชนะ] เทพมารได้จริงๆ ค่ะ”

 

โซโซเน้นเสียงตรงคำว่า ‘เอาชนะ’ เป็นพิเศษ

 

“อย่าบอกนะว่า…”

 

“ใช่ค่ะ เทพไคโตะไม่ได้สังหารเทพมารค่ะ ท่านแค่ ‘เอาชนะ’ เท่านั้นค่ะ”

 

เอิ่ม…แบบนี้ก็ได้เหรอครับ?? ใช้การเล่นคำเพื่อบิดเบือนประวัติศาสตร์แบบนี้ก็ได้เหรอครับ?? ไม่ได้โกหก แค่คนเข้าใจผิดกันไปเองแบบนี้น่ะเหรอครับ??

 

ถึงจะดูน่าตกใจ แต่น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกแค่ว่า ‘เอ้า! เทพมารยังไม่ตายงั้นเรอะ! แย่จังเลยนะ!…’

 

“ถ้าอย่างนั้น…ตอนนี้เทพมารไปอยู่ที่ไหนกันล่ะครับ…หรือว่าโดนผนึกไว้อะไรแบบนั้นไว้?”

 

โซโซส่ายหน้าเป็นคำตอบ

 

“ไม่มีใครทราบค่ะ…เทพไคโตะบอกแค่ว่าเทพมารยังไม่ตาย…บางทีในโลกนี้ คนที่ทราบว่าเทพมารอยู่ที่ไหนอาจจะมีแค่เทพไคโตะแค่คนเดียวก็ได้ค่ะ”

 

“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ไปถามเทพไคโตะเอาล่ะครับ?”

 

“เอ่อ…เรื่องนั้นเอาจริงๆ คงไม่มีใครกล้าไปถามมากกว่าค่ะ…ถึงทุกคนจะอยากรุ้คำตอบขนาดไหน…แต่คงไม่มีใครสามารถไปบังคับเทพเจ้าให้ตอบคำถามได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ?”

 

“…”

 

เอ่อ…ก็จริงของเธอล่ะนะ

 

“นั่นสินะครับ ขอโทษนะครับที่ถามอะไรแปลกๆ ฮะๆ”

 

ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ ออกมา ใครมันจะไปกล้าง้างคำตอบออกมาจากปากคนที่ทรงพลังที่สุดในโลกกันล่ะจริงไหม?

 

“โอเคครับ เข้าใจแล้ว…งั้นกลับเข้าเรื่องกันดีกว่าครับ…ผมยังไม่เข้าใจว่าพวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไงกันแน่ครับ?”

 

โซโซทำท่าทางคิดเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มตอบคำถามของผม

 

“…ก่อนหน้านี้ฉันพูดว่า ‘ส่วนหนึ่งของคำทำนาย’ ใช่ไหมล่ะคะ?”

 

ผมคิดตามก่อนที่จะพยักหน้า

 

“ความจริงแล้วยังมีคำทำนายส่วนอื่นๆ อยู่อีกค่ะ”

 

“ขอโทษนะโซโซ แต่ขอขัดจังหวะนิดนึง? …ว่าแต่ใครเป็นคนทิ้งคำทำนายพวกนี้เอาไว้อย่างนั้นเหรอ?”

 

ผมยกมือขึ้นเพื่อถามเธอ

 

“ถ้าตามที่บันทึกบอกไว้ คนที่เป็นคนกล่าวคำทำนายอันนี้ไว้ก็คือสหายคนหนึ่งของเทพไคโตะในสมัยที่ยังเป็นผู้กล้าอยู่น่ะค่ะ”

 

“เข้าใจแล้วครับ ขอโทษที่ขัดจังหวะนะ เชิญต่อได้เลยครับ”

 

“ค่ะ…เอ ฉันเล่าถึงไหนแล้วนะคะ? อ๋อ ถึงเรื่องคำทำนายส่วนอื่นๆ สินะคะ”

 

“ตามที่ในตำราประวัติศาสตร์ที่ฉันเคยอ่านมา คำทำนายนั้นมีทั้งหมดห้าส่วนค่ะ โดยส่วนแรกคุณโทระก็ได้ทราบไปแล้ว…แต่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับพวกเราจะอยู่ในส่วนที่สองค่ะ”

 

ผมพยักหน้าแสดงการรับรู้ โซโซจึงเล่าต่อ

 

“ส่วนที่สองของคำทำนายกล่าวไว้ว่า ‘เหล่าผู้พิชิตจะได้รับพลังในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา สาวกเทพมารจะออกตามล่าแย่งชิง’ ค่ะ”

 

“เหล่าผู้พิชิต กับสาวกเทพมาร…งั้นเหรอครับ?”

 

ผมพยายามคิดตีความคำทำนาย

 

“…หรือว่าผู้พิชิตจะหมายถึงคนที่สามารถจัดการเหล่าจักรพรรดิได้? งั้นโซโซคิดว่าพลังพิเศษตามคำทำนายนั่นก็คือระบบการ์ดงั้นเหรอครับ?”

 

โซโซพยักหน้า

 

“ใช่ค่ะ ฉันคิดว่าระบบการ์ดก็คือพลังตามที่คำทำนายบอกเอาไว้ค่ะ”

 

“อืม…ก็เป็นไปได้นะ แต่ว่าระบบการ์ดพวกเราได้มาตอนที่จัดการราชาหมาป่าโทเดนนะครับ ไม่ใช่ตอนที่จัดการจักรพรรดินีหมาป่าโทเดนสักหน่อย?”

 

“นั่นก็จริงค่ะ แต่ว่าฉันสงสัยในความหมายของคำว่า [ผู้พิชิต] ค่ะ…ในคำทำนายนั้นระบุแค่ว่า [ผู้พิชิต] ค่ะ ไม่ใช่ผู้พิชิตจักรพรรดิ…ดังนั้นฉันก็เลยคิดว่า…บางทีอาจจะไม่ใช่แค่การพิชิตจักรพรรดิเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการพิชิตราชาด้วยหรือเปล่าน่ะสิคะ”

 

ผมคิดตามที่โซโซบอกและก็พบว่ามันค่อนข้างเป็นไปได้ทีเดียว และยิ่งเอาไปรวมกับการระบุในประวัติศาสตร์ว่า เทพพระเจ้าได้ [เอาชนะ] เทพมาร นั่นด้วยแล้วมันก็ยิ่งเป็นไปได้มากขึ้นไปอีก

 

“ก็ฟังดูมีเหตุผลนะ…ถ้าอย่างงั้น ปัญหาที่โซโซกำลังกังวลก็คือเรื่องของสาวกเทพมารใช่ไหมครับ?”

 

โซโซพยักหน้า

 

“ใช่ค่ะ ถ้าพวกเราโดนสาวกเทพมารตามล่าจริงๆ มันคงไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ค่ะ”

 

“สาวกเทพมารอันตรายขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

 

คราวนี้โซโซส่ายหน้า

 

“เรื่องนั้นฉันเองก็ไม่ทราบค่ะ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวกของเทพมารได้ ก็คงจะแข็งแกร่งสุดๆ อยู่แล้วไม่ใช่หรอคะ?”

 

“อืม…ผมยังไม่ค่อยเข้าใจแฮะ ว่าทำไมถึงต้องกลัวพวกสาวกของเทพมารด้วย อย่างมากพวกเราก็แค่ตายเฉยๆ นี่ครับ?”

 

“เรื่องนั่นคือประเด็นหลักเลยค่ะ…พอดีว่าฉันเคยอ่านเจอเรื่องของสาวกเทพมารจากบันทึกเล่มหนึ่งค่ะ ในบันทึกเล่มนั้นมีข้อมูลของสาวกเทพมารบางส่วนถูกระบุเอาไว้ค่ะ…มันเป็นในส่วนที่ระบุถึงความสามารถพิเศษของสาวกเทพมารค่ะ”

 

“ความสามารถพิเศษงั้นเหรอครับ?”

 

“ใช่ค่ะ…ความสามารถพิเศษในการดูดกลืนดวงวิญญาณค่ะ”

 

“เอ๊ะ? แบบนั้นฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะครับ”

 

“…คุณโทระน่าจะทราบดีอยู่แล้วว่าในตอนที่มนุษย์ตายลง…ร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นร่างวิญญาณ เพื่อที่จะสามารถกลับไปเกิดใหม่ใช่ไหมล่ะคะ?”

 

“แน่นอนอยู่แล้วครับ”

 

“ถ้าอย่างนั้นคุณโทระก็น่าจะเข้าใจอยู่แล้วว่าถ้าเกิดสาวกเทพมารสามารถดูดกลืนดวงวิญญาณได้จริงๆ …นั้นมันก็หมายความว่าเราจะไม่สามารถเกิดใหม่ได้ไม่ใช่หรือคะ?”

 

นั่นคือสิ่งที่ผมคิดเช่นเดียวกัน

 

“อืม…มันก็น่ากังวลจริงๆ นั่นแหละนะครับ…”

 

“ว่าแต่มันยังเหลือคำทำนายอีกสามส่วนใช่ไหมครับ?”

 

“ใช่ค่ะ…แต่ว่า..ส่วนที่เหลือฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ในบันทึกที่ฉันเคยอ่านมาแค่บอกว่ามันมีทั้งหมด 5 ส่วน แต่ในบันทึกมีแค่ 2 ส่วนค่ะ…ขอโทษด้วยนะคะ”

 

“เอ๊ะ? ไม่เป็นอะไรเลยครับ โซโซไม่ต้องขอโทษหรอกครับ แค่เรื่องที่โซโซเล่าให้ผมฟัง จริงๆ ต้องเป็นผมต่างหากที่ต้องขอบคุณโซโซถึงจะถูก”

 

“เอ๊ะ!? ไม่เป็นไรค่ะ คุณโทระไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกค่ะ…ความจริงแล้วฉันเองก็ลังเลอยู่เหมือนกันค่ะ…ว่าฉันควรจะบอกเรื่องนี้กับคุณโทระหรือเปล่า…เพราะนอกจากข้อมูลพวกนี้จะเป็นความลับของอาณาจักรแล้ว พวกเราเองก็พึ่งจะรู้จักกันวันนี้เป็นวันแรกด้วย”

 

“นะ นั่นสินะครับ…ถ้าอย่างนั้น ทำไมโซโซถึงเลือกที่จะบอกผมล่ะครับ?”

 

“เอ่อ…นั่นก็เพราะฉันเชื่อว่าคุณโทระเป็นคนดีค่ะ แล้วอีกอย่าง…เพราะเราเป็น..เพื่อนกัน.ด้วยค่ะ”

 

แก้มของเธอแดงเล็กน้อยในขณะที่เธอตอบคำถาม

 

ผมยิ้มออกมาเมื่อได้ฟังคำตอบของเธอ เธอยังใส่ซื่อเกินไปจริงๆ ข้อมูลที่ผมได้มาในวันนี้ เอาจริงๆ สามารถสั่นคลอนความมั่นคงของอาณาจักรได้เลยด้วยซ้ำ

 

“ถึงผมพูดเองจะฟังดูแปลกไปสักหน่อย แต่ผมไม่อยากให้โซโซไว้ใจผมไวขนาดนี้นะครับ ถึงเราจะเป็นเพื่อนกันก็จริง…แต่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเพื่อนที่ดีนะครับ”

 

โซโซได้ฟังดังนั้นเธอก็ยิ้มออกมา

 

“ฉันเข้าใจเรื่องที่คุณโทระกังวลค่ะ…บางที่…ฉันอาจจะดูใส่ซื่อเกินไปในสายตาของคุณโทระสินะคะ”

 

“เอ่อ…นั่นก็ใช่ครับ ขอโทษด้วยนะครับที่ต้องพูดออกมาตรงๆ”

 

โซโซส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนที่จะยิ้มให้กับผม

 

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณโทระไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ จริงๆ มันก็เป็นตัวฉันเองที่แสดงท่าทีเด็กๆ แบบนั้นออกไป ไม่แปลกที่คุณโทระจะเข้าใจผิด แต่ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ …ความจริงแล้วฉันเองก็ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้นหรอกนะคะ”

 

ผมไม่รู้ว่าจะต้องตอบกลับไปยังไง แต่ยังไม่ทันทำอะไร โซโซก็พูดต่อ

 

“ฉันเติบโตมาในเขตวังหลวงค่ะ ถึงเรื่องการต่อสู้อาจจะไม่ได้เรื่องก็จริง แต่เรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา มารยาทการเข้าสังคม การวางตัว หรือแม้แต่เรื่องการมองคน ฉันเองก็ถูกสั่งสอนมาอย่างเข้มงวดค่ะ…ถึงจะมีผิดพลาดบ้างแต่ฉันก็ยังค่อนข้างมีความมั่นใจอยู่เหมือนกันนะคะ”

 

โซโซสบตากับผม ก่อนที่เธอจะพูดประโยคต่อมา

 

“และฉันก็เชื่อว่าฉันสามารถเชื่อใจคุณโทระได้ค่ะ”

 

“งะ งั้นเหรอครับ…นั่นสินะครับ คราวนี้เป็นผมเองที่เสียมารยาทที่คิดว่าโซโซเป็นแค่เด็กสาวไร้เดียงสา ยังไงก็ขอให้ผมได้ขอโทษจากใจจริงด้วยเถอะนะครับ…ขอโทษด้วยนะครับโซโซ”

 

ผมก้มหัวขอโทษเธออย่างจริงใจ โซโซจึงยิ้มออกมา

 

“เงยหน้าขึ้นเถอะค่ะคุณโทระ ฉันไม่ได้โกรธอะไรคุณเลย ที่ฉันพูดเรื่องนี้ในคราวนี้ ฉันแค่อยากจะให้ความเข้าใจของเราตรงกันน่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นในอนาคตพวกเราอาจจะเกิดการเข้าใจผิดอะไรกันได้ ฉันไม่อยากให้มันเกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นค่ะ”

 

ผมเงยหน้าขึ้นมา ก่อนที่โซโซจะเริ่มพูดต่อ

 

“ฉันอาจจะยังเด็กอยู่ ยังขาดประสบการณ์ แล้วก็ยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกมากก็จริง แต่ไม่ว่ายังไง…ฉันก็อยากให้เราอยู่ในฐานะเพื่อนที่เท่าเทียมกันค่ะ…และในอนาคตฉันก็อยากให้เราทั้งคู่สามารถพึ่งพาซึ่งกันและกันได้ค่ะ”

 

ดูเหมือนว่าคราวนี้จะเป็นผมเองที่ไร้เดียงสา ถึงบุคลิกของเธอจะดูเหมือนขัดแย้งกันไปบ้าง และในบางครั้งท่าทางอากัปกิริยาของเธอจะดูไร้เดียงสาเหมือนเด็กสาวทั่วไป แต่พอนึกถึงตั้งแต่ตอนที่เจอกันครั้งแรก ไม่ว่าจะเรื่องของการพูดจา มุมมองความคิด การตัดสินใจเธอก็สามารถทำได้อย่างดีเยี่ยมมาโดยตลอด

 

“เข้าใจแล้วครับ” ผมพยักหน้าให้เธออย่างจริงจัง

 

“ขอบคุณที่เข้าใจนะคะคุณโทระ”

 

“ไม่เป็นไรเลยครับ เอาจริงๆ ผมชอบที่เราเปิดใจคุยกันแบบนี้มากกว่าซะด้วยซ้ำนะครับ เพราะบางที่ผมก็ชอบคิดเองเออเองไปเองคนเดียว คุยกันตรงๆ แบบนี้ช่วยได้เยอะเลยครับ”

 

“เอ่อ พูดถึงการพูดกันตรงๆ คือพอดีฉันมีเรื่องสงสัยมาสักพักแล้วค่ะ ฉันขอถามคุณโทระหน่อยได้ไหมคะ?”

 

“เซิญเลยครับ ถ้าสามารถตอบได้ผมก็จะตอบให้ครับ”

 

“คือฉันรู้สึกสงสัยว่าทำไมคุณโทระดูเหมือนจะไม่ค่อยตกใจเลยล่ะคะ?”

 

“เอ่อ…หมายถึงเรื่องเทพมารหรือเปล่าครับ?”

 

“ใช่ค่ะ” โซโซพยักหน้า สายตาของเธอดูไม่เข้าใจเล็กน้อย

 

ผมนึกเรียบเรียงคำพูดเล็กน้อยก่อนจะเริ่มอธิบาย

 

“เอ่อ…ไม่ใช่ไม่ตกใจนะครับ แต่มันรู้สึกแบบ…จะว่ายังไงดี…จะบอกว่ามันรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องไกลตัวไปหน่อย ก็เลยรู้สึกแบบว่า ตกใจนะแต่ก็เฉยๆ น่ะครับ”

 

“เอ๋? มันยังไงกันล่ะคะนั่นน่ะ…”

 

“อืม…ผมกำลังคิดว่า พอลองเรื่องนี้ในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่ง เรื่องเทพมารมันก็เลยดูเป็นเรื่องไกลตัวไปจนรู้สึกว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเอง ถ้าให้อธิบายก็คงประมาณว่า อืม…เทพมารจะกลับมา? แล้วมันยังไงล่ะ? น่าจะประมาณนี้น่ะครับ”

 

โซโซเมื่อได้ฟัง เธอก็พยายามนึกภาพตาม

 

“…นั่นสินะคะ พอมาคิดๆ ดูฉันเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกขึ้นมาบ้างแล้วล่ะค่ะ…ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนสมัยอยู่ในวัง ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็คงจะเครียดมากๆ เลยล่ะค่ะ…แต่พอมาคิดว่าตัวเองเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ แบบตอนนี้ กลับรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้ช่างอยู่ไกลตัวเหลือเกินจริงๆ นั่นแหละค่ะ”

 

“ใช่ไหมล่ะครับ”

 

“…ว่าแต่โซโซมีแผนว่าพวกเราควรจะทำอะไรในเรื่องนี้หรือเปล่าครับ?”

 

ผมถามเพื่อให้พวกเรากลับเข้าเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่ต่อ โซโซหันกลับมามองที่ผมก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ

 

“นั่นเป็นเรื่องที่ฉันอยากจะปรึกษาคุณโทระค่ะ ตอนแรกฉันอยากจะเดินทางกลับเมืองหลวงเพื่อไปแจ้งท่านพ่อทันที…แต่พอใจเย็นลงแล้วกลับมาคิดอีกที ฉันก็เริ่มลังเลค่ะว่าควรจะบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อจริงๆ หรือเปล่า…ฉันเลยอยากจะมาปรึกษากับคุณโทระก่อนน่ะค่ะ”

 

พอได้ฟังแล้วผมก็อดรู้สึกหนักใจไม่ได้ การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัวของคนอื่นมันก็ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ ถึงคนๆนั้นจะเป็นเพื่อนก็ตาม

 

“จริงๆ เรื่องนี้มันพูดยากอยู่นะครับเพราะผมไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องทางบ้านของโซโซเลย…”

 

พอได้ยินแบบนั้นโซโซก็มีสีหน้าลำบากใจอยู่ไม่น้อย แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ผมก็ชิงพูดต่อซะก่อน

 

“แต่ถ้าจะให้แนะนำ ผมว่าขั้นแรกโซโซช่วยลองประเมินให้ผมฟังก่อนได้ไหมครับว่า ถ้าเกิดโซโซเอาเรื่องนี้ไปแจ้งคุณพ่อของโซโซแล้วหลังจากนั้นมันมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? “

 

“จะเกิดอะไรขึ้นบ้างงั้นเหรอคะ?”

 

เธอทำท่าครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนที่จะตอบออกมา

 

“ตอบยากอยู่เหมือนกันนะคะ…แต่เบื้องต้นพวกเราคงจะถูกกักตัวเพื่อความปลอดภัยก่อนค่ะ…แล้วหลังจากนั้น…บางทีอาจจะโดนสอบสวนด้วย…ล่ะมั้งค่ะ?”

 

“เอ่อ ฟังดูน่ากลัวนะครับ”

 

“ฉันประเมินเหตุการณ์ที่แย่ที่สุดค่ะ…แล้วอีกอย่างที่ประเมินแบบนั้นสาเหตุก็เป็นเพราะตัวฉันเองด้วยค่ะ”

 

“เอ๊ะ? เพราะตัวเองงั้นเหรอครับ?”

 

สีหน้าของเธอดูลำบากใจในตอนแรก แต่ต่อมาก็ดูเหมือนว่าเธอได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว ถึงสีหน้าจะยังดูมีความลำบากใจอยู่ แต่เธอก็ยังเล่าต่อ

 

“ใช่ค่ะ เอ่อ..คือ…ฉันเคยทำความผิดร้ายแรงมาก่อนค่ะ…หลังจากนั้นฉันก็โดนปลดจากสถานะขุนนางแล้วก็โดนเนรเทศออกมาค่ะ…แล้วทีนี้ถ้าเกิดฉันกลับไปเมืองหลวงในตอนนี้ล่ะก็…”

 

“อย่างนี้เองสินะครับ เข้าใจแล้วครับ” ผมตอบกลับไปนิ่งๆ แต่โซโซทำท่าเหมือนกับกำลังรอให้ผมพูดอะไรบางอย่างอยู่

 

“โซโซเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

 

“เอ๊ะ? มะ ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” โซโซส่ายหน้า ก่อนที่สายตาของเธอจะมองมาที่ผมด้วยแววตาดูงุนงงเล็กน้อย

 

“เอ่อ…คะ..คุณไคโตะไม่สงสัยหรือคะว่าฉันไปทำความผิดร้ายแรงอะไรมา?”

 

ผมถึงเข้าใจว่าเธอกำลังกังวลเรื่องอะไร ผมหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะตอบเธอ

 

“ฮะๆ ไม่นะครับ ไม่ว่าโซโซจะโดนลงโทษด้วยเรื่องหรือความผิดอะไร ยังไงมันก็เป็นแค่อดีต เท่าที่ดูโซโซเองก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ดังนั้นผมจะไม่สงสัยในเรื่องนั้นครับ เอาไว้ถ้าโซโซรู้สึกอยากจะเล่าให้ผมฟังเมื่อไหร่ ผมค่อยไปรอฟังตอนนั้นน่าจะดีกว่า”

 

“งั้นหรือคะ ช่วยได้มากจริงๆ ขอบคุณนะคะคุณโทระ” ในที่สุดเธอก็ยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย ร่องรอยความกังวลบนสีหน้าของเธอก็หายไป

 

“ถ้าอย่างนั้นคุณโทระคิดว่าพวกเราควรที่จะบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อของฉันไหมคะ?”

 

“ไม่ครับ”

 

“เอ๊ะ? ถ้าอย่างนั้นพวกเราควรจะทำยังไงกันดีล่ะคะ?”

 

“เราก็มาช่างมันกันเถอะครับ”

 

“เอ๊ะ? ช่างมันงั้นเหรอคะ?”

 

“ใช่ครับ จริงๆ เรื่องนี้คนที่รู้เรื่องว่ามีมอนสเตอร์ระดับจักรพรรดิเกิดขึ้นก็มีแค่พวกเราอยู่แล้วด้วย ดังนั้นถ้าเราไม่ทำอะไรที่จะไปกระตุ้นความสนใจ มันก็ไม่มีทางที่จะมีใครคนอื่นทราบเรื่องนี้อย่างแน่นอนไม่ใช่หรือครับ?”

 

“นะ นั่นก็จริงนะคะ”

 

“แล้วอีกอย่าง…ที่ผมออกเดินทางก็เพื่อที่จะได้ออกไปดูโลกกว้างครับ ถ้าเกิดต้องไปถูกกักบริเวณอะไรแบบนั้นผมไม่เอาด้วยหรอกนะครับ ฮะๆ”

 

“ตะ แต่ว่า…เรื่องเทพมารกับสาวกเทพมารล่ะค่ะ?”

 

“เรื่องนั้นถึงจะฟังดูน่ากังวลที่สุดก็จริง แต่ผมกลับคิดว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่น่ากังวลน้อยที่สุดแล้วล่ะครับ”

 

“เอ๊ะ!? ทำไมล่ะคะ?” โซโซท่าทางจะตกใจจริงๆ

 

“อืม…บางทีโซโซอาจจะคิดมากเกินไปจนอาจจะไม่ทันสังเกต งั้นเดี๋ยวผมจะค่อยๆ อธิบายให้ฟังนะครับ”

 

“ค่ะ รบกวนด้วยค่ะ”

 

“เราจะข้ามเรื่องคำทำนายพวกนั้นไปก่อนนะครับ” ผมบอกกับโซโซ

 

“เข้าใจแล้วค่ะ”

 

“ตามประวัติศาสตร์แล้วเทพไคโตะเป็นคนเอาชนะเทพมารได้ใช่ไหมครับ?”

 

“ใช่ค่ะ…เอ๊ะ? หรือคุณโทระจะบอกว่า เพราะมีเทพไคโตะอยู่ก็เลยไม่ต้องกลัวพวกเทพมารงั้นหรือคะ?”

 

“อืม…ถ้ายึดตามหลักการแล้วก็สามารถตอบแบบนั้นได้อยู่เหมือนกันครับ แต่เหตุผลของผมต่างไปนิดหน่อยน่ะครับ”

 

โซโซทำท่าตั้งใจฟัง ผมจึงเริ่มอธิบายต่อ

 

“โซโซอาจจะไม่ทราบ แต่จริงๆ แล้วผมเคยเข้าไปพบกับเทพพระเจ้า…เคยเข้าไปพบกับเทพไคโตะมาครับ แล้วถึงจะไม่ได้คุยกันก็จริง แต่เทพไคโตะก็ได้พูดกับผมอยู่หลายคำอยู่ครับ แล้วก็มีคำพูดอยู่ประโยคนึงที่ฟังดูน่าสนใจและน่าจะเอามาใช้อ้างอิงในกรณีนี้ได้อยู่ครับ…เทพไคโตะเคยพูดกับผมว่า ‘โลกกว้างที่ข้าสร้างใบนี้’…ถ้าเราลองตีความดูดีๆ มันไม่ได้หมายความว่าเทพไคโตะมีพลังมากพอที่จะใช้ในการสร้างโลกหรือกำหนดความเป็นไปของโลกนี้งั้นหรือครับ?”

 

โซโซค่อยๆ คิดตามเรื่องที่ผมพูดก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย

 

“นั่นเป็นไปได้ค่ะ เพราะตามที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ ได้มีส่วนที่ระบุไว้ว่าโลกใบเดิมได้ถูกชำระล้าง และถูกสร้างขึ้นใหม่โดยเทพไคโตะอยู่ด้วยค่ะ ดังนั้นเรื่องที่ท่านไคโตะมีพลังในการสร้างโลกก็น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ค่ะ”

 

ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเริ่มอธิบายต่อ

 

“แล้วโซโซก็เคยบอกเอาไว้ด้วยสินะครับว่า…เทพไคโตะเป็นคนเดียวที่น่าจะรู้ว่าเทพมารอยู่ที่ไหน…ใช่ไหมครับ?”

 

“ใช่ค่ะ เพราะนอกจากเทพไคโตะแล้วก็ไม่น่าจะมีใครในโลกนี้อีกแล้วที่ทราบเรื่องที่อยู่ของเทพมาร”

 

“โอเค งั้นคราวนี้เรากลับมาที่คำทำนายกันต่อนะครับ…คำทำนายบอกไว้ว่า ‘เมื่อเหล่าจักรพรรดิลืมตาตื่น วันแห่งการกลับมาของเทพมารจะมาถึง’ สินะครับ”

 

โซโซพยักหน้าตอบ

 

“แต่ถ้าเราเอา 3 เรื่องที่เราคุยกันข้างต้นมารวมกันเป็น [เทพไคโตะมีพลังมากพอในการสร้างโลก] [เทพไคโตะทราบว่าเทพมารอยู่ที่ไหน] และ [เหล่าจักรพรรดิลืมตาตื่นและการกลับมาของเทพมาร] …โซโซไม่คิดว่ามันฟังดูขัดแย้งกันแบบแปลกๆ หรือครับ?”

 

เมื่อตามทันดวงตาของโซโซก็เบิกกว้างขึ้น

 

“เดี๋ยวนะคะ!? เรื่องแบบนี้…มันไม่น่าจะเป็นไปได้ไม่ใช่หรือคะ!?”

 

“ถึงจะเป็นแค่การคาดคะเน แต่ว่าบางที…เรื่องทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้…เทพไคโตะนั่นแหละครับที่เป็นตัวการที่ทำให้มันเกิดขึ้น…ไม่ว่าจะมอนสเตอร์ระดับจักรพรรดิ ระบบการ์ด สาวกของเทพมาร หรือแม้กระทั่งการกลับมาของเทพมารเองก็ตาม…”

 

“…” โซโซยังคงไร้คำพูด ดูท่าว่าในหัวของเธอตอนนี้คงจะยุ่งเหยิงอยู่พอสมควรเลยล่ะนะ

 

ผมยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวปิดท้าย

 

“บางทีนะครับ…บางทีตอนนี้ เทพไคโตะกับเทพมารอาจจะกำลังนั่งดื่มชาคุยกันอยู่ที่ไหนสักที่ แล้วก็กำลังสนุกไปกับการสร้างบทละครให้เหล่ามนุษย์ได้เต้นไปตามจังหวะที่ตัวเองต้องการให้เป็นอยู่ก็ได้นะครับ…”

 

☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆

 

ในบ้านไม้หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางป่าในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองหลวงไปหลายหมื่นกิโลเมตร

 

“โอ๊ะ! เจ้านี่เดาแม่นแฮะ ไม่เสียทีจริงๆ ที่ข้าอยากให้กลายมาเป็นตัวละครหลัก” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาในขณะที่กำลังจ้องมองไปที่ภาพเบื้องหน้าที่ภายในภาพนั้นมีร่างของชายกับหญิงคู่หนึ่งที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ในห้องประชุม

 

“แบบนั้นไม่เรียกว่าเดานะ เขาเรียกว่าฉลาด” เสียงของชายอีกคนดังขัดขึ้นมา ชายคนนี้อยู่ในชุดคลุมสีดำทำให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้

 

“แตะต้องหน่อยไม่ได้เลยนะ ท่านเทพมารที่เคารพ” ชายคนแรกที่อยู่ในชุดคลุมสีขาวหันกลับมาจิกกัดเล็กน้อยให้กับเทพมารที่ตอนนี้กำลังยกแก้วชาขึ้นจิบอย่างสบายใจ

 

“แล้วเจ้าจะทำยังไงต่อดีล่ะ ท่านเทพไคโตะ? ดูเหมือนพวกเด็กๆ จะไม่อยากเล่นตามบทของเจ้านะ” เทพมารถามกลับ

 

“นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าควรจะบอกข้าไม่ใช่หรือไง?”

 

“ไม่ล่ะ เรื่องนั้นไม่เห็นจำเป็นต้องคอยให้ข้าบอกสักหน่อย เจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ…เพราะไม่ว่ายังไงโชคชะตาก็ได้กำหนดเส้นทางของพวกเด็กๆ เอาไว้ทั้งหมดอยู่แล้ว อย่างเจ้าน่ะ…เปลี่ยนแปลงมันไม่ได้หรอกนะ”

 

พูดจบเทพมารก็ยกแก้วชาและดื่มจนหมด

 

“น่าเบื่อชะมัดเลยแฮะ…ว่าแต่เจ้าจะรีบไปไหนงั้นเรอะ? พึ่งกินชาไปแค่ถ้วยเดียวเองแท้ๆ” เทพไคโตะถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเทพมารกำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้

 

“จะไปที่ไหนได้ล่ะ ในเมื่อข้ามีเหล่าภรรยาสุดที่รักกำลังรอข้าอยู่ที่บ้าน ข้าก็ต้องกลับบ้านอยู่แล้วไม่ใช่รึไง ถามอะไรแปลกๆ”

 

เทพมารตอบกลับมาจนเทพไคโตะอดมองด้วยสายตาเอือมระอาไม่ได้

 

“ไอบ้านี่กล้าอวดภรรยาต่อหน้าชายโสดแบบข้างั้นเรอะ เดี๋ยวก็เสกให้กลายเป็นขันทีซะเลยนี่!!”

 

“ช่างกล้าพูดว่าชายโสดนะ เอาไว้ข้าจะเอาเรื่องที่เจ้าพูดไปบอกอัครสาวกของเจ้าให้หมดทุกคนเลยว่าเจ้ากำลังจะหาอัครสาวกคนใหม่เพิ่ม…เตรียมใจไว้ซะด้วยล่ะ”

 

“เฮ้ย!? เดี๋ยวก๊อน!! ใจเย็นๆ ไอเพื่อนยาก มีอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันก่อนก็ได้!!”

 

“ฮึ! คุยกับเจ้านี่เสียเวลาจริงๆ ข้าไปก่อนล่ะ เอาไว้ว่างๆ จะแวะมาหาใหม่”

 

กล่าวจบเทพมารก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งเทพไคโตะไว้เพียงลำพัง

 

“ไม่ใช่ว่างๆ จะแวะเข้ามาโว้ย! แต่เอ็งต้องหัดรู้จักแบ่งเวลามาทำงานด้วยโว้ย!!” เทพไคโตะตะโกนไล่หลังเทพมารไป

 

เทพไคโตะหันกลับไปมองที่ภาพที่ลอยอยู่กลางอากาศอีกครั้ง พลางทำสีหน้าครุ่นคิด

 

“อืม…แพ็ตช์เนื้อเรื่องบทผู้พิชิต มอนสเตอร์ระดับจักรพรรดิ แล้วก็ระบบการ์ดก็อัปเดตไปแล้วด้วยสิ ถึงตัวละครที่อยากจะให้เป็นพระเอกนางเอกจะไม่สนใจ แต่เดี๋ยวอีกสักพักก็คงมีคนอื่นเข้ามารับบทแทนอยู่ดี งั้นปล่อยๆ ไปก็แล้วกัน” เทพไคโตะพูดขึ้นก่อนที่จะโบกมือเล็กน้อย ภาพที่ลอยอยู่กลางอากาศก็หายไป

 

“อีกเดี๋ยวก็ต้องเริ่มเตรียมเนื้อเรื่องส่วนต่อไปกับคิดระบบใหม่อีกแล้วสินะ…ไอเจ้าเทพมารนั่นก็เอาแต่อู้งานไปจู๋จี๋กับภรรยา…ส่วนพวกอัครสาวกก็เอาแต่เที่ยวเล่นผลาญเงินทองไปวันๆ ไม่มีใครสนใจมาช่วยกันทำงานเลยสักคน…เฮ้อ~~ ทำไมฉันต้องเป็นพระเจ้าที่ต้องมาเหนื่อยใจขนาดนี้ด้วยนะ…”

To-ra Story : คณะท่องโลกของนายโทระ

To-ra Story : คณะท่องโลกของนายโทระ

Status: Ongoing
ตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ที่โลกนี้ เวลาก็ผ่านไป 6 ปีแล้ว แล้วก็…ทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ยังดื้อดึง สุดท้ายก็พ่ายแพ้กลับมา แต่ในเมื่อไม่มีอะไรคาใจแล้ว…ก็ขอออกไปท่องโลกกว้างดูสักครั้งแล้วกัน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท