ตอนที่ 838 ไล่หัวหน้าผู้รับเหมาออก
หัวหน้าผู้รับเหมาหูเห็นว่าผู้มาเยือนไม่เป็นมิตร เขาจึงรีบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจี่ยชิ่งหลายทันที ขณะที่พยายามหลอกตัวเองในใจ ‘พวกเขาไม่เห็นฉัน พวกเขาไม่เห็นฉัน’
เจี่ยชิ่งหลายละทิ้งความหยิ่งผยองทั้งหมด ทรุดตัวลงคุกเข่าพร้อมโขกศีรษะตัวเองลงพื้นครั้งแล้วครั้งเล่าขณะร้องขอการอภัย
เขาพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ทั้งหมดเป็นเพราะผมตามืดบอดไม่รู้สถานการณ์ จึงทำให้ประธานหลินขุ่นเคือง โปรดไว้ชีวิตผมด้วยเถอะ~”
ชายหนุ่มคนหนึ่งถีบเขากระเด็นลงพื้น “ปล่อยคนแบบแกไปเพื่อทำให้เราอับอายอีกน่ะเหรอ!”
เจี่ยชิ่งหลายลุกขึ้นมาคุกเข่าบนพื้นอีกครั้ง “ท่านชายครับ คุณอยากให้ผมทำอะไร?”
ชายหนุ่มพยักพเยิดไปทางหลินม่าย “ไม่เห็นหรือไงว่าพี่สะใภ้ของเรากำลังท้องอยู่ แล้วยังกล้ามาข่มขู่หล่อนอีก อย่างน้อยแกควรขอโทษและชดเชยเงิน 10,000 หยวนแก่หล่อน เพื่อให้พี่สะใภ้นำไปซื้ออาหารเสริมมาบรรเทาอาการตกใจ”
เจี่ยชิ่งหลายพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าว “ผมจะทำทันทีครับ”
จากนั้นเขาตบหน้าตัวเองต่อหน้าหลินม่ายและกล่าวคำขอโทษเธอไม่หยุด
เมื่อเห็นเลือดสีแดงก่ำไหลออกจากมุมปาก หลินม่ายจึงโบกมือ “เอาล่ะ ออกไปได้แล้ว”
จากนั้นเจี่ยชิ่งหลายก็ออกจากสำนักงานด้วยท่าทางกระวนกระวาย ก่อนที่ชายผมหยิกจะตามเขาออกไปเช่นกัน
ชายผมหยิกต่อว่าเจี่ยชิ่งหลายอย่างรุนแรง บอกว่าเขาไม่ควรสร้างปัญหาและกล่าวอ้างชื่อแวดวงศิลปะปักกิ่งเพื่อข่มเหงคนอื่น
เขาถูกเหยียดหยามและปฏิบัติเหมือนสุนัข ถูกเรียกตัวและออกคำสั่งโดยทายาทตระกูลใหญ่ เขาสูญเสียศักดิ์ศรีและหน้าตาทั้งหมด จากนี้ไปเจี่ยชิ่งหลายควรเลิกติดตามพวกเขาและหาอาชีพใหม่ทำ
เจี่ยชิ่งหลายเผยสีหน้าทุกข์ระทมเมื่อรู้ว่าตัวเองถูกไล่ออกจากแวดวงศิลปะปักกิ่ง ขณะที่กำลังด่าทอบรรพบุรุษเจ็ดชั่วโคตรของหัวหน้าผู้รับเหมาหูอยู่ในใจ
หลินม่ายยืนขึ้นและกล่าวคำขอบคุณกับผู้คนจากแวดวงศิลปะปักกิ่งเหล่านั้น
พวกเขาโบกมือกล่าว “ด้วยความยินดีครับพี่สะใภ้ หากมีสิ่งใดที่พี่สะใภ้ไม่สามารถตกลงกันได้อีกในอนาคต ก็ต่อสายหาเราได้โดยตรง”
หลังจากนั้นพวกเขาก็มอบนามบัตรให้เธอ
หลังจากที่พวกเขาขึ้นรถจี๊ปและขับออกไป หลินม่ายเหลือบมองหัวหน้าผู้รับเหมาหูเล็กน้อย ซึ่งทำให้อีกฝ่ายสั่นสะท้านไปทั้งร่างกาย
หลินม่ายถอนสายตาออกและหันไปพูดกับเจียวอิงจวิ้นว่า “ในเมื่อชายคนนั้นละเมิดสัญญา ก็ต้องได้รับโทษตามสัญญา ไล่เขาออกไปและยึดเงินมัดจำทั้งหมด”
หัวหน้าผู้รับเหมาหูได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความกังวล หากรู้ว่าเงินมัดจำทั้งหมดจะถูกยึดไป มันคงดีกว่าที่ปล่อยให้เจี่ยชิ่งหลายปรับปรุงส่วนที่ต่ำกว่ามาตรฐานของการก่อสร้างเพื่อลดการสูญเสียให้น้อยที่สุด ด้วยวิธีนี้ พวกเขายังสามารถหารายได้จากงานที่รับมา
เขาคร่ำครวญทันทีและขอร้องหลินให้อภัย โดยบอกว่าเห็นแก่ที่พวกเขาเป็นคนจากหูเป่ยเหมือนกัน
มีภาษาถิ่นหลากหลายในหูเป่ย ซึ่งหลินม่ายไม่ได้คุ้นเคยกับพวกมันทั้งหมด
เธอยืนฟังเป็นเวลานาน ก่อนจะตระหนักได้ถึงภาษาถิ่นที่หัวหน้าผู้รับเหมาหูพูด
ดูเหมือนว่าเธอจะเคยได้ยินคนพูดภาษาถิ่นแบบนี้มาก่อน เพียงแต่จำไม่ได้เท่านั้น
หากจำไม่ได้ นั่นแสดงว่ามันไม่สำคัญ หลินม่ายจึงได้ลืมเลือนไป
เธอตะคอกใส่หัวหน้าผู้รับเหมาหูอย่างเย็นชา “ในเมื่อคุณรู้ว่าเราเป็นคนบ้านเดียวกัน แล้วยังคิดจะโกงฉันอีกเหรอ?”
หัวหน้าผู้รับเหมาหูตัวสั่นเทาและตอบกลับไปว่า “มันไม่ใช่ว่าผมจะโกงคุณ แต่ประธานหลินซื่อตรงเกินไป แม้จะเปลี่ยนเหล็กเส้นหนาเป็นเหล็กเส้นบาง แต่มันก็แค่บางลงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพของบ้านเลย ผมรับเหมาไซต์ก่อสร้างมาหลายแห่ง และไม่มีอาคารที่ไหนถล่มลงมา ไม่อย่างนั้นผมจะทำเงินได้มากมายได้อย่างไร? ประธานหลินเป็นคนตรงไปตรงมาและยืนกรานที่จะทำตามกฎไม่ประนีประนอมกับหลักการ ตราบใดที่วัสดุมีขนาดลดลงไม่มากจนเกินไป มันจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตัวอาคารครับ”
หลินม่ายหัวเราะเยาะ “ฉันเชื่อแล้วว่าคุณมันเลว เลวแบบไม่มีที่ติ ตราบใดที่ลดขนาดวัสดุลง มันจะต้องส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย คุณคิดว่าฉันโง่มากหรือยังไง! แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีปัญหา แต่หากอีกเจ็ดถึงแปดปีข้างหน้ามันเริ่มมีปัญหาขึ้นมาล่ะ!”
ในชีวิตก่อนของเธอ หลินม่ายเห็นข่าวบนอินเทอร์เน็ตที่อาคารอายุราวแปดปีหรือมากกว่าสิบปี จู่ๆ ก็ถล่มลงมา ซึ่งเป็นการถล่มลงมาด้วยตัวเอง
หากไม่ใช่เพราะลดขนาดวัสดุในระหว่างการก่อสร้าง แล้วปัญหาด้านความปลอดภัยจะเกิดขึ้นในภายหลังเหรอ?
หัวหน้าผู้รับเหมาหูพูดคำเฉยเมย “มันเป็นความจริงที่อาจมีปัญหาหลังจากผ่านไปราวเจ็ดถึงแปดปี แต่มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณแล้ว”
หลินม่ายตอบกลับเสียงเย็นชา “แต่มันเกี่ยวกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของฉัน คุณออกไปซะ เรื่องนี้ได้รับการตัดสินแล้ว”
หัวหน้าผู้รับเหมาหูรีบพูดด้วยท่าทางร้อนรน “ผมจะแก้ไขส่วนของโครงการที่มีการลดขนาดวัสดุ”
หลินม่ายพูดอย่างเย็นชา “มันสายไปแล้ว ฉันเคยให้โอกาสคุณ แต่คุณไม่คิดรักษาไว้ ดังนั้นมันจะไม่มีอีกเป็นครั้งที่สอง”
หัวหน้าผู้รับเหมาหูเห็นว่าหลินม่ายเด็ดขาดยิ่งกว่าเจียวอิงจวิ้น เขาพลันนึกเสียใจขึ้นมา
ถ้ารู้ว่าจะลงเอยแบบนี้ เขาคงฟังผู้อำนวยการเจียตั้งแต่แรกและสั่งแก้ไขส่วนที่ไม่เหมาะสมของอาคาร เพื่อทำให้ความสูญเสียลดน้อยลง
เขาไม่ควรคิดฉวยโอกาสเลย โดยคิดว่าประธานเป็นหญิงสาวและจะสามารถข่มเหงเธอได้
จึงได้พาเพื่อนที่มาจากแวดวงศิลปะปักกิ่งมาทำให้เธอกลัว จากนั้นเธอจะได้ไม่กล้าเรียกร้องความรับผิดชอบจากเขา
โดยไม่คาดคิด เจี่ยชิ่งหลายที่เชิญมาจากแวดวงศิลปะปักกิ่งกลับถูกลูกน้องของหลินม่ายไล่ออกจากแวดวงศิลปะปักกิ่งทันที
ท้ายที่สุด หัวหน้าผู้รับเหมาหูไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องจากไปด้วยความโกรธแค้น
หลินม่ายนึกสงสัยและถามเจียวอิงจวิ้นว่า “ฉันจำได้ว่าตอนที่คุณจ้างวานผู้รับเหมา คุณไม่ได้จ้างแซ่หู แล้วเขาเข้ามาควบคุมงานได้ยังไง?”
เจียวอิงจวิ้นกล่าว “ปรากฏว่าผู้รับเหมารายใหญ่ที่ผมคัดเลือกมารับเหมาช่วงโครงการมาจากเขาครับ”
หลินม่ายกล่าวคำเด็ดขาด “ไล่ผู้รับเหมารายใหญ่ออก โครงการของเราไม่อนุญาตให้รับเหมาช่วง”
เมื่อฟางจั๋วหรานกลับจากเลิกงาน เขาพบว่าหลินม่ายกลับบ้านแล้ว
ทันทีที่กลับมาถึง เขาถามหลินม่ายทันทีว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้วใช่หรือไม่ หลินม่ายจึงชูมือขึ้นทำท่า OK ให้เขา
ฟางจั๋วหรานสวมกอดเธอและพูดว่า “ภรรยา ในอนาคตอย่าไปไซต์ก่อสร้างอีก ไซต์ก่อสร้างมีฝุ่นละอองมากมาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้”
หลินม่ายพยักหน้ารับ “ฉันจะทำตามที่คุณพูดค่ะ ฉันไม่รู้ว่าโทสะทั้งหมดมาจากไหน แต่ทันทีที่ฉันได้ยินข่าว ฉันรีบไปที่นั่นทันที อาจเป็นเพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่ ฉันจึงควบคุมอารมณ์ไม่ได้”
ฟางจั๋วหรานลูบศีรษะภรรยาด้วยความเป็นห่วง “มันเป็นงานหนักสำหรับคุณจริงๆ”
หลังจากครอบครัวกินข้าวเย็นด้วยกันเสร็จ น้าถูเข้ามาบอกกับหลินม่ายว่า “ม่ายจื่อ มีคนมารอพบอยู่ด้านนอก ฉันไม่รู้จัก เลยไม่กล้าให้พวกเขาเข้ามา”
หลินม่ายถาม “น้าถูได้ถามไหมคะว่าพวกเขาเป็นใคร?”
“ถามแล้วค่ะ ตอนแรกพวกเขาไม่ยอมพูด แต่พอเห็นว่าฉันกำลังจะปิดประตู พวกเขาบอกว่าเป็นแม่ลูกกัน เพราะคุณช่วยเหลือลูกสาวเธอไว้ พวกเขาจึงรู้สึกขอบคุณอย่างมาก แล้ววันนี้พวกเขาได้เตรียมของขวัญพิเศษมาด้วยมากมายเพื่อขอบคุณ”
หลินม่ายเดาได้ทันทีว่า สองคนนั้นคงจะเป็นป้าฝูและลูกสาวของนาง
เธอกำชับกับหัวหน้าพยาบาลไว้ว่าอย่าบอกฮุ่ยฮุ่ยและสามีของเธอว่าหลินม่ายเป็นคนออกเงินให้ แต่ดูเหมือนว่าหัวหน้าพยาบาลจะไม่ได้เก็บความลับนั้นไว้
หลินม่ายถามน้าถูถึงรูปพรรณสัณฐานของผู้มาเยือน ว่าแม่ลูกคู่นั้นมีหน้าตาแบบนี้หรือไม่
น้าถูพยักหน้ารับ “ใช่ค่ะ”
ตอนนั้นหลินม่ายช่วยเหลือฮุ่ยฮุ่ยโดยไม่ได้คาดหวังสิ่งใดตอบแทน เธอเพียงแค่เห็นใจอีกฝ่ายและไม่อยากให้ฮุ่ยฮุ่ยต้องทนทุกข์ทรมาน
ตอนนี้หลินม่ายไม่ต้องการได้ยินคำขอบคุณหรือรับของขวัญตอบแทนจากแม่ลูกทั้งสอง
เธอบอกน้าถูไปว่า “คุณน้าออกไปบอกแม่ลูกสองคนนั้นนะคะว่า ฉันไม่อยากเจอพวกหล่อน เรื่องราวจบลงไปแล้ว อย่าเก็บมาใส่ใจอีก และขออย่ามาที่บ้านฉันอีกเลย”
น้าถูกลับออกไปถ่ายทอดคำพูดหลินม่าย แต่ใช้เวลาเกือบแปดนาทีกว่าจะกลับเข้ามา
บอกหลินม่ายว่า หลังจากที่ส่งแม่ลูกคู่นั้นไปแล้ว พลันมีคนอื่นมาหาหลินม่ายอีกครั้ง
คราวนี้เป็นเจี่ยชิ่งหลายที่ตามหาหลินม่าย เขามอบซองจดหมายสีแดงที่ใส่เงินจำนวน 10,000 หยวนฝากให้เธอ
หลินม่ายรับมันมาด้วยความยินดีและตั้งใจนำเงินส่วนนี้ไปบริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในวันรุ่งขึ้น
โต้วโต้วอายุหกขวบกว่าแล้ว เธอจะอายุครบเจ็ดขวบในเดือนมกรา และถึงเวลาที่ต้องเข้าโรงเรียน
หลินม่ายใช้เวลาทั้งวันในการพาเด็กน้อยไปลงทะเบียนที่โรงเรียนประถมที่อยู่ละแวกบ้าน จากนั้นจึงไปห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อเครื่องเขียน
ในยุคนี้ ผู้ที่มีสำเนาทะเบียนบ้านนอกพื้นที่ต้องจ่ายเงินค่าธรรมเนียมการกู้ยืมเพื่อศึกษาในเมืองหลวง
ค่าธรรมเนียมการกู้ยืมไม่ถูกเลย แต่โชคดีที่หลินม่ายร่ำรวยและไม่สนใจเงินทองเล็กน้อยแค่นี้
หลังจากลงทะเบียนให้โต้วโต้วแล้ว หลินม่ายก็วางแผนที่จะกลับไปนอนพักผ่อน
มหาวิทยาลัยจะเปิดในอีกสิบวัน จากนั้นเธอต้องมุ่งความสนใจไปที่กิจการและการเรียนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามหลินม่ายรู้สึกไม่สบายใจหลังจากเอนกายลง เธอรู้สึกเหมือนว่ามีสิ่งสำคัญบางประการ แต่เธอกลับจำไม่ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
โชคดีที่เธอจดบันทึกสิ่งสำคัญลงในสมุดเสมอ เผื่อว่าตัวเองจะหลงลืม
เธอหยิบสมุดบันทึกออกมาจากโต๊ะข้างเตียงแล้วพลิกดู และแน่นอนว่าเธอลืมสิ่งสำคัญไปจริงด้วย
เรื่องสำคัญนั้นก็คือ เธอให้สัญญากับผู้จัดการเซี่ยว่าจะมอบสร้อยคอทองให้ลูกสาวฝาแฝดของเขา หากพวกเธอสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัยในปีนี้ได้
หลินม่ายต่อสายตาผู้จัดการเซี่ยทันที และผู้ที่รับสายคือเซี่ยหยวนแฝดคนเล็ก
หล่อนบอกหลินม่ายอย่างตื่นเต้นผ่านทางโทรศัพท์ว่า หล่อนและเซี่ยฟางผู้เป็นพี่สาวสอบเข้าเรียนในวิทยาลัยเดียวกันได้
เป็นความจริงที่หลินม่ายลืมถามพี่น้องฝาแฝดว่าพวกเธอสอบเข้าที่ไหนได้ แต่หลินม่ายไม่ยอมรับออกไปโดยตรงว่าตัวเองเป็นคนขี้ลืมมากเพียงใด
เธอตอบกลับไปด้วยความโกรธเล็กน้อย “เธอและพี่สาวเก่งมาก ทั้งคู่สอบเข้าวิทยาลัยได้ แต่กลับไม่แจ้งให้ฉันรู้เลย ฉันน้อยใจจริงๆ”
เซี่ยหยวนรู้สึกผิดและรีบพูดว่า “ไม่ใช่ว่าหนูไม่อยากนะคะ พี่สาวกับหนูต่างก็อยากบอก แต่พ่อไม่ยอมให้พวกเราทำแบบนั้น~”
หลินม่ายชำเลืองมองดูนาฬิกา มันเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว ผู้จัดการเซี่ยคงกำลังกลับจากเลิกงาน
แต่ผู้จัดการเซี่ยเป็นผู้บริหารธนาคารและมีตำแหน่งสูงกว่าพ่อไป๋
มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเลิกงานตรงเวลาเหมือนกับพนักงานทั่วไป และบางครั้งก็ต้องมีการสังสรรค์ต่อ
แต่หลินม่ายก็ลองถาม “พ่อของพวกเธอกลับมาหรือยัง ฉันอยากคุยกับเขา”
ขณะที่เซี่ยหยวนกำลังบอกว่าพ่อของหล่อนยังไม่กลับมา หล่อนพลันได้ยินเสียงเปิดประตู ก่อนตามมาด้วยเสียงของพ่อที่ทักทายแม่
เซี่ยหยวนชะเง้อมองและพูดกับพ่อว่า “คุณพ่อ พี่ม่ายจื่ออยากคุยด้วยค่ะ”
ผู้จัดการเซี่ยส่งกระเป๋าเอกสารให้ภรรยา เขารีบสาวท้าวไปที่โซฟาเพื่อนั่งลงและรับโทรศัพท์จากลูกสาว
หลินม่ายกล่าว “ฉันเพิ่งคุยกับน้องเซี่ยหยวนผ่านโทรศัพท์เมื่อครู่ ได้ยินว่าหล่อนและพี่สาวสอบเข้าวิทยาลัยได้แล้วทั้งคู่ ฉันขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ!”
การเป็นผู้นำระดับสูงจำเป็นต้องเข้าใจผู้คนและสถานการณ์เป็นอย่างดี
แม้ว่าถ้อยคำของหลินม่ายจะไม่ได้มีเจตนาตำหนิผู้จัดการเซี่ย และเธอก็ไม่มีความกล้าที่จะตำหนิเขาด้วย
เพียงแต่น้ำเสียงแฝงไปด้วยความน้อยใจ ลูกสาวฝาแฝดของเขาสอบเข้าวิทยาลัยได้ แต่เขาไม่ได้บอกกล่าวเธอ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกว่าเขาไม่ได้ถือว่าหลินม่ายเป็นหนึ่งในคนที่สนิทชิดเชื้อ
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สมควรโดนไล่ออกแล้ว โกงวัสดุทำงานชุ่ยไม่รับผิดชอบชีวิตผู้อาศัยแบบนี้
ไหหม่า(海馬)