”ครั้งนี้ตระกูลจูเก่อทำพลาดไปแล้วจริงๆ”
”นางเอาชีวิตของทุกคนในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมาเสี่ยงเพื่อปกป้องบุตรชายของตัวเอง การกระทำนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่มีประวัติยาวนานนับร้อยปีสมควรทำ”
”โชคดีที่คุณหนูหนีรู้ทัน ไม่อย่างนั้นสถานการณ์จะต้องรุนแรงกว่านี้แน่!”
ผลเป็นอย่างที่หนีเฟิ่งคิดเอาไว้ นางเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินจูเก่อ ”ท่านป้า เมื่อสถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ ข้าย่อมไม่มีทางเลือกเจ้าค่ะ ท่านผู้อาวุโส พวกเราต้องจับฮูหยินจูเก่อมัดไว้เพื่อล่อให้จูเก่ออวิ๋นที่ซ่อนตัวอยู่ในตระกูลจูเก่อเผยตัวออกมา ถึงตอนนี้เขาจะถูกวิญญาณร้ายสิงอยู่ แต่เขาน่าจะยังรู้สึกเป็นกังวลเมื่อคนที่เขารักตกอยู่ในอันตราย พวกท่านเห็นด้วยกับแผนการนี้หรือไม่เจ้าคะ”
สาเหตุที่หนีเฟิ่งถามเช่นนี้ออกมาเป็นเพราะนางมั่นใจว่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเหล่านี้จะเห็นด้วย
เป็นอย่างที่นางคิด แทบทุกคนรู้สึกว่าวิธีการนี้เป็นวิธีการที่ปลอดภัยที่สุด
หนีเฟิ่งไม่ชักช้าเสียเวลา นางมองไปที่ฮูหยินจูเก่ออีกครั้ง
นางไม่ชอบทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ
แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะลงมือฆ่าใคร
อีกอย่าง หากดูจากสีหน้าของหญิงสูงวัยผู้นี้แล้ว นางน่าจะยังไม่รู้ถึงความลับของนาง
ดังนั้นเก็บนางไว้ก็คงไม่เสียหาย
เมื่อคิดได้ดังนั้น ความกังวลใจที่หนีเฟิ่งเคยมีเมื่อก่อนหน้านี้จึงค่อยๆ จางหายไปขณะที่รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง ตอนนี้ทั้งหมดที่นางต้องทำก็คือการกำจัดผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ปลอมตัวเข้ามาพวกนั้นเสียก่อน จากนั้นนางถึงจะได้เป็นหงส์เพลิงตัวจริงได้อย่างถูกต้อง และเอาชีวิตหงส์เพลิงได้สำเร็จ!
ฮูหยินจูเก่อไม่ได้ขัดขืน หรือประกาศความลับที่นางรู้ออกมาเหมือนอย่างที่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายสองคนก่อนหน้านี้ทำตอนเข้ามาในเมือง
หากไม่ใช่เพราะว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยกำชับกับนางเอาไว้ก่อนเริ่มแผนการนี้ละก็ นางอาจจะทำเช่นเดียวกันลงไปแล้ว
คนคนนั้นบอกนางว่า ถึงหนีเฟิ่งจะรู้เรื่องนี้ แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด อีกทั้งการเก็บความลับเอาไว้ก็ยังเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พวกนางมีเวลาเพิ่มมากขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้บอกเหตุผลที่แท้จริงว่าสาเหตุที่นางบอกให้ฮูหยินจูเก่อเงียบเอาไว้ก็เพื่อรักษาชีวิตของนางเอง
หากมีใครล่วงรู้ความลับของหนีเฟิ่ง นางจะต้องรีบพยายามกำจัดคนคนนั้นให้เร็วที่สุดอย่างแน่นอน
เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องการปกป้องทุกคนให้ปลอดภัย
แต่บรรดาลูกศิษย์ของตระกูลจูเก่อกลับร้อนใจยิ่งนักเมื่อพวกเขาเห็นว่าฮูหยินจูเก่อถูกจับกุมตัว เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพวกเฮ่อเหลียนเวยเวยจะกลับมาเมื่อใด
พวกเขาต้องช่วยฮูหยินจูเก่อ!
แต่ทันใดนั้น เปลวไฟอันร้อนแรงพลันถูกจุดขึ้นบนพื้นดินที่ถูกบรรดาสัตว์อสูรของตระกูลหนีล้อมเอาไว้
ท่ามกลางกองเพลิงที่กำลังลุกโชติช่วงนั้น ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ปิดอยู่ก็เปิดขึ้นมาอีกครั้ง ตาคู่นั้นจ้องตรงไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนาง
นางเดินเข้าไปหาเขา
นางดูเหมือนเทพธิดากรีกที่เพิ่งเดินออกมาจากสนามรบ ขายาวของนางและริมฝีปากที่เชิดขึ้นเล็กน้อยนั้นดูหยิ่งผยองและน่าดึงดูดแม้กระทั่งในเวลาเช่นนี้
นางได้ความทรงจำจากเมื่ออดีตชาติกลับมาแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้เป็นแค่เฮ่อเหลียนเวยเวย แต่ยังเป็นหงส์เพลิงที่เคยต้องเจ็บปวดเพราะเขามาก่อน
ในเวลานั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้สึกเหมือนหัวใจถูกอะไรบางอย่างบิดจนกลายเป็นเกลียว
ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอันใด แต่จู่ๆ เขาก็นึกถึงตอนที่เขาใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการงมหากระจกวิเศษในทะเลสาบสวรรค์ แต่หลังจากนั้นถึงได้รู้ว่านางยอมถูกกักบริเวณเพื่อต้นโพธิ์
ในเวลานั้นเขาคิดว่าเขาควรกอดนางไว้ให้แน่นๆ ตอนที่นางขอเลิกกับเขา ไม่ว่าคนที่นางชอบจะเป็นใครก็ตาม!
แม้กระทั่งตอนนี้ ความคิดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ยังไม่เคยเปลี่ยนไป
หากนางประทับใจในตัวต้นโพธิ์จริงๆ เช่นนั้นเขาก็จะจับนางมัดไว้ทันที และทำให้นางได้รู้ว่านางเป็นของใครไปตลอดชีวิต
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นเพื่อมองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม ดวงตาดอกท้ออันลึกล้ำของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย ทั้งยังแฝงไปด้วยพลังปีศาจที่มองเห็นได้อย่างเลือนรางและเทวจิตที่นางคุ้นเคย
”สาเหตุที่ท่านกังวลกับการที่ข้าจะฟื้นความทรงจำตอนอยู่ในพระพุทธศาสนาขึ้นมานั้นเป็นเพราะต้นโพธิ์หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว
ทันทีที่คำพูดนั้นจบลง ชายหนุ่มก็คว้านางเข้าสู่อ้อมแขนของตัวเองอย่างรวดเร็ว เขากอดนางแน่นด้วยแรงทั้งหมดที่ตัวเองมี ชายหนุ่มดูหวาดกลัวว่านางจะหันหลังกลับไปได้ในทุกเมื่อ แต่เขาก็ยังชั่วร้ายและอวดดีอย่างมาก ”ข้ากังวลตั้งแต่เมื่อใด ต้นโพธิ์ธรรมดาต้นเดียวกล้าฝันหวานว่าจะพรากเจ้าไปจากข้าหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงียบไปครู่หนึ่ง นางสังเกตเห็นอาการเกร็งที่นิ้วมือของชายหนุ่ม มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย ”ถ้าไม่ใช่เพราะต้นโพธิ์ เช่นนั้นหมายความว่าท่านกลัวว่าข้าจะรู้ถึงจุดประสงค์แรกที่ท่านเข้ามาตีสนิทกับข้าหรือ ท่านอยากแก้แค้นที่ข้าไม่เห็นถึงความสำคัญของท่านในเวลานั้น ดังนั้น ท่านก็เลยพยายามชักนำข้าสินะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนาง พื้นหินอ่อนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกเป็นเสี่ยงในทันที
บรรดาสัตว์อสูรที่อยู่ด้านข้างถึงกับตัวสั่นเมื่อเห็นภาพนั้น พวกมันรีบรวมตัวกันกลายเป็นปลาทองทันที
แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจพวกมัน เขาโน้มตัวลงแล้วแนบริมฝีปากบางของตัวเองเข้ากับใบหูของเฮ่อเหลียนเวยเวย ”ชักนำหรือ ข้าทำเช่นนั้นด้วยหรือ ทั้งหมดที่ข้าทำก็แค่ใช้กลอุบายบางอย่างเพื่อให้ได้เจ้ามาต่างหาก เจ้าเองก็น่าจะรู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดีนี่”
”แน่นอนว่าข้ารู้ดี เพราะอย่างนั้นข้าถึงได้ตัดสินใจที่จะเก็บท่านไว้ใกล้ๆ ตัวเพื่อกันไม่ให้ท่านไปทำร้ายคนอื่นอย่างไรเล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วยกแขนขึ้นโอบรอบคอของเขา ”แต่ท่านก็ควรอธิบายให้ข้าฟังมิใช่หรือว่าผู้หญิงที่ห้อมล้อมอยู่รอบตัวในเวลานั้นหมายความว่าอย่างไร”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไปครู่หนึ่ง กลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายที่ปกคลุมอยู่รอบตัวเขาจางหายไป เขาอุ้มนางขึ้นพร้อมกับยิ้มออกมาน้อยๆ ”ถ้าข้าไม่ทำเช่นนั้น เจ้าจะหันมามองข้าอีกหรือ”
ในเวลานั้น พวกเขาคนหนึ่งเป็นตี้จวินผู้ยิ่งใหญ่และยโสโอหังของภพสวรรค์ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นหงส์เพลิงแห่งพระพุทธศาสนาที่มีความคิดเป็นของตัวเอง
ในตอนแรกพวกเขาเกลียดกัน และมักคิดที่จะเอาชนะกันและกันอยู่เสมอ
แต่หลังจากนั้น พวกเขาจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาตกหลุมรักกันและกันมาตั้งแต่แรกพบ
แต่ตอนนั้นทั้งสองคนยังเยาว์วัยและหยิ่งผยองเกินไป พวกเขาชินกับการอยู่เหนือทุกคน ดังนั้นจึงซุกซ่อนทุกอย่างเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ
”สรุปว่าท่านไม่ใช่คนมอบกระจกวิเศษนั้นให้กับดอกบัวทองคำใช่หรือเปล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยปล่อยให้ชายหนุ่มอุ้มนาง ในดวงตาของนางมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มหน้าลงมองนาง ”ข้าไม่ได้ตาบอด ทำไมข้าจะต้องมอบกระจกวิเศษให้นางด้วย หากดูจากความทรงจำที่สะท้อนอยู่ในกระจกวิเศษ เจ้าก็น่าจะรู้แล้วนี่”
”ข้าเพียงแค่ถามเท่านั้น อย่างไรข้าก็ไม่ใช่คนที่จะโยนของแทนใจทิ้งๆ ขว้างๆ อยู่แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้ว ”ข้าก็คงไม่คุกเข่าอยู่ในเขตหวงห้ามนั่นเป็นเวลาร้อยปีเพื่อคนอื่นนอกจากเจ้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงียบ …ประโยคนี้รุนแรงถึงชีวิตจนทำให้นางถึงกับพูดไม่ออก
”ท่านควรทำตัวให้เป็นสุภาพบุรุษกว่านี้เวลาที่อยู่กับข้ามิใช่หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยบ่นเบาๆ ”ท่านยังปากคอเราะร้ายไม่เปลี่ยนเลย”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองไปที่ศีรษะฟูฟ่องในอ้อมแขน แล้วโน้มตัวเข้าไปกอดนางพร้อมกับพูดเสียงเบาว่า ”เจ้าคงไม่รู้ว่าข้ากำลังคิดอะไรอยู่ตอนที่เจ้าออกมาเมื่อครู่นี้ ข้าคิดว่าถ้าเจ้าทำตัวเกเรอีกสักนิดละก็ ข้าจะหักกรงเล็บของเจ้าเสีย เจ้าจะได้ไม่ต้องคิดถึงต้นโพธิ์นั่นอีก”
”ท่านคงจำอดีตได้นานแล้วล่ะสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ถามจริงจังนัก มันฟังดูคล้ายประโยคบอกเล่ามากกว่า
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะเบาๆ ”ก็ไม่ได้นานถึงเพียงนั้น หลังจากเข้าไปในสุสานหลวง ข้าก็นึกถึงเศษชิ้นส่วนวิญญาณบางชิ้นขึ้นมา เศษชิ้นส่วนวิญญาณพวกนั้นทุกชิ้นล้วนแต่กระจัดกระจายอยู่ในภพสวรรค์ แต่มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว สิ่งสำคัญก็คือวิธีการที่คนของพระพุทธศาสนาทำกับเจ้าเมื่อตอนนั้นต่างหาก ข้าจะต้องแก้แค้นพวกมันแต่ละคนให้จงได้!”