เกิดใหม่อยู่นั่นแหละ รำคาญ! – ตอนที่ 3 ความเพ้อฝัน

เกิดใหม่อยู่นั่นแหละ รำคาญ!

        คนต่างถิ่นในร่างของเด็กหญิงพยายามเติบโตให้เร็วขึ้นเพื่อสำรวจหาข้อมูลเกี่ยวกับโลกใหม่ ทั้งการฝึกพูด การฝืนเดินด้วยสองขา และการหมั่นหยิบจับสิ่งของ

       ทั้งหมดนี่เธอแค่เคยได้ยินผ่านหูในชาติก่อนเท่านั้นว่ามีผลต่อการกระตุ้นกล้ามเนื้อให้ทำงานได้ดี แต่ก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าทารกน้อยจะมีพัฒนาการจนพอช่วยเหลือตัวเองได้

       “อินิคาร์ ลูกซนเหลือเกิน” คนเป็นแม่หัวเราะเบาๆ เมื่อเจ้าตัวน้อยยกเก้าอี้ขึ้นมาปีนดูการทำอาหาร “เพิ่งสี่ขวบแท้ๆ”

       ผู้ฟังเพียงกะพริบตาปริบๆ ก่อนหันมองรอบบ้าน

       บ้านหลังนี้เหลือสมาชิกแค่สองคน

       แม้จะยังไม่ชัดเจนแต่มารดาเลี้ยงเธอเหมือนเป็นลูกชาย หลักฐานคือการให้เธอสืบทอดชื่อมาจากผู้ล่วงลับ… ผลข้างเคียงจากเหตุการณ์ในโบสถ์นั่นสร้างบาดแผลทางใจจนอีกฝ่ายไม่อาจยอมรับความจริงและใช้ลูกสาวเป็นดั่งตัวแทน

       มันไม่ดีกับเธอแน่ แต่ก็ไม่มีทางเลือกในชีวิตไปมากกว่าพึ่งพามารดาคนนี้เช่นกัน

       ที่นี่คือต่างถิ่น โลกซึ่งเธอไม่เคยรู้จัก รวมถึงไม่อาจทราบอันตรายภายนอกจนกว่าจะได้เรียนหนังสือและเข้าใจสภาพแวดล้อมชัดเจน

       ตอนนี้ใครคือมิตรและใครคือศัตรูนั้นยากแยกแยะ ดังนั้นจนกว่าจะแน่ชัดว่าควรทำอย่างไรมีแต่ต้องฝืนดู

       ก็แค่ละทิ้งความงามที่ตัวเองชื่นชมมาตลอด ละทิ้งศักดิ์ศรีของผู้เคยยืนเหนือใคร ละทิ้งความสะดวกสบายทั้งหมดเพื่ออยู่รอดกลับไป

       เพราะเธอจะไม่ยอมตายที่โลกนี้อีกเป็นอันขาด

       “แม่ อินิคาร์อยากเรียนหนังสือแล้ว” เด็กหญิงกลั้นใจพูดชื่อตัวเองเพื่อยอมรับบทบาทในปัจจุบัน

       เจ้าของบ้านซึ่งต้มซุปเสร็จพอดีนั้นหันมาสนทนาอย่างเศร้าสร้อย “แม่เองก็อยากให้ลูกได้เรียนหนังสือ แต่ด้วยฐานะของพวกเราอย่างมากคงพอจ้างครูพิเศษได้แค่ปีเดียว”

       อินิคาร์ขมวดคิ้วหนัก สมบัติครอบครัวในตอนนี้มีเพียงเงินเก็บจากอดีต ช่วงที่บิดาเคยค้าขายรุ่งเรืองเท่านั้น แถมมีแต่จะร่อยหรอลงไปทุกวัน

       ไม่สิ เดี๋ยวก่อน… ต่อให้โลกนี้มันด้อยพัฒนาแค่ไหนอย่างน้อยก็ควรมีการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เด็กสักหน่อยไม่ใช่รึไง อย่างครูประจำหมู่บ้านหรืออะไรแบบนั้นน่ะ มันล้าหลังยิ่งกว่าที่คิดอีกเหรอ

       “ถ้าอย่างนั้นเราไปขอเรียนพร้อมกับเด็กคนอื่น…”

       “ไม่ได้หรอก” มารดาตัดบททันที “แม่ไม่ยอมให้พวกนั้นมาดูถูกเราอีกแน่… ลูกเป็นผู้ถูกเลือกจากเทพธิดาเชียวนะ อินิคาร์ จะให้ไปเรียนกับเด็กทั่วไปได้ยังไง”

       เด็กหญิงอ้าปากค้าง อยากสบถคำหยาบคายใส่หน้าคนพูดแต่พยายามยั้งตัวเองไว้

       ขนาดเธอที่ติดหรูอยู่สบายมาทั้งชีวิตยังตาสว่างกว่ายัยป้านี่อีกนะ! สถานการณ์ตอนนี้มันใช่เวลามาหยิ่งหรือไง เงินก็ไม่หา เรียนก็ไม่ได้ เดิมทีหายนะของบ้านนี้น่ะมาจากการที่คนแม่อยากได้อะไรเกินตัวจนต้องเสียทั้งพ่อและพี่ชายไปแท้ๆ จะยังตกต่ำยิ่งกว่านี้อีกเหรอ!?

       เธอไม่เอาด้วยแน่ ต่อให้ต้องล้มลุกคลุกคลานก็ต้องกลับไปโลกเดิมให้ได้ เพราะที่นี่มันคือนรก!

       “จริงสิ พวกเราเคยติดต่อค้าขายกับสมาคมการค้ากุนกุน” ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นมาพลางตักซุปใส่ภาชนะ “ถ้าส่งจดหมายไปขอให้ช่วยอาจจะพอมีเมตตาบ้างก็ได้”

       เมื่อได้ยินคำพูดคล้ายเริ่มคลำหาหนทางอินิคาร์จึงยอมกลับไปนั่งกินอาหารบนโต๊ะอย่างสงบ

       ส่วนหนึ่งเธอไม่อยากทะเลาะกับแม่จนแตกหัก ไม่อย่างนั้นคงเสียสถานที่ปลอดภัยในโลกนี้ไปก่อนได้รู้สภาพแวดล้อมแท้จริง

       …ไม่นานการติดต่อกับสมาคมการค้ากุนกุนอะไรนั่นก็สัมฤทธิผล

       พวกเขาเสนอข้อแลกเปลี่ยนหนึ่งให้ครอบครัวเธอ คือการมอบบ้านและสินค้าเก่าที่บิดาเคยสะสมไว้ให้สมาคม แล้วฝั่งสมาคมจะเขียนจดหมายแนะนำบุตรชายให้ขุนนางเมืองหลวงรับไปเลี้ยงดู

       ถึงจะดูขาดทุนด้านการเงินอยู่บ้างแต่ก็คุ้มค่าในการอยู่รอด เพราะพวกเขาจะรับตัวมารดาเข้าช่วยงานในสมาคมด้วย ทำให้สามารถไปมาหาสู่กับอินิคาร์ได้อย่างน้อยเดือนละหน

       ครอบครัวเธอตอบตกลงอย่างไม่ลังเล

       ในใจผู้เป็นแม่ยังคงทะเยอทะยานจนยอมแลกสมบัติที่มีเพื่อให้บุตรชายได้เฉิดฉาย และอีกด้านหนึ่งคงไม่อยากเห็นบ้านหลังนั้นอีกต่อไป…

       ความทรงจำดีๆ นั้นทรงคุณค่า แต่หากเสียดแทงเจียนตายเมื่อรู้ว่าไม่มีวันได้หวนกลับคืนมาเพราะความอยุติธรรม

       ด้วยเหตุนั้นครอบครัวของอินิคาร์จึงใช้เวลาสักระยะเพื่อจัดการทรัพย์สินแลกเปลี่ยนให้เรียบร้อย

       เด็กหญิงเข้าสู่เมืองหลวงและแยกกับมารดา มุ่งสู่คฤหาสน์หลังหนึ่งของขุนนางระดับล่างด้วยความช่วยเหลือของสมาคมการค้ากุนกุน… เธอไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นขุนนางระดับสูงอยู่แล้ว เพราะสิ่งแลกเปลี่ยนไม่ได้สูงค่าสำหรับเศรษฐีอย่างพวกสมาคมการค้า

       การพยายามเอาชีวิตรอดทำให้เด็กหญิงเริ่มคิดละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นเวลาตัดสินใจทำอะไร และหยุดเพ้อฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

       เพราะนี่ไม่ใช่ชาติก่อนในโลกเก่าอันแสนสุขสบายอีกแล้ว…

       รถม้าของสมาคมหมุนล้อมาหยุดหน้ารั้วจนนิ่งสนิท สารถีจึงค่อยเปิดประตูให้เด็กหญิงผู้แต่งกายเป็นเพศชายก้าวลงมา พร้อมกระเป๋าหนังใบเล็กซึ่งดูเก่าเขรอะไปสักหน่อย

       รั้วไม้ถูกดึงเข้าด้านหนึ่ง คนใช้ข้างในเผยเส้นทางเพื่อต้อนรับแขกคนใหม่สู่คฤหาสน์สีขาวสะอาดตา

       “เธอสินะ เด็กที่เทพธิดามอบเวทมนตร์ให้” เด็กผู้หญิงผมบลอนด์ซึ่งดูมีอายุไล่เลี่ยกันกับอินิคาร์เป็นฝ่ายยืนรออยู่หน้าทางเข้าอาคาร ชุดกระโปรงฟูฟ่องขยับพลิ้วตามการวิ่งเข้าใกล้ “หน้าตาน่ารักชะมัด โตไปคงเป็นหนุ่มน้อยหน้าหวานมัดใจสาวๆ ในเกมแน่!”

       “หนุ่มน้อยหน้าหวาน? เกม…?” ผู้มาเยือนถอยหลังก้าวหนึ่งเมื่อถูกประชิดตัว เธอจัดแจงเสื้อกั๊กสีเข้มตัวนอกให้เรียบและรีบเอ่ยแนะนำตัว “ผมชื่ออินิคาร์”

       “เธอเป็นคนขี้อายหรือบุคลิกเย็นชากันนะ… ฉันนึกว่าจะมาแนวหนุ่มน้อยร่าเริงสดใสเหมือนน้องชาย แต่แบบนี้ก็น่ารักเหมือนกัน!” อีกฝ่ายพูดกับตัวเองและจับจีบกระโปรงเนื้อดีอันระบุฐานะชัดเจนไว้ “ฉันชื่อนัฟ ยินดีที่ได้รู้จัก”

       การที่พูดจาฉะฉานเกินวัย แถมยังกล่าวถึงเกมอะไรสักอย่างซึ่งโลกนี้ไม่น่าจะมีอยู่ได้ เด็กหญิงตรงหน้าเธอย่อมเป็นผู้มาจากต่างโลก…

       มันจะเจอง่ายเกินไปหรือเปล่า

       โลกนี้ดึงดูดคนต่างถิ่นมาเยอะแค่ไหนกัน ทั้งจากการอัญเชิญและการเกิดใหม่ ไม่มากเกินไปหน่อยหรือไง

       “นัฟ” อินิคาร์เรียกอีกฝ่ายห้วนๆ แต่เหลือบเห็นสายตาของคนรับใช้ด้านหลังมองไม่ค่อยดีนักเธอจึงชะงัก “ขอบคุณที่รับผมเข้ามาอยู่ที่นี่… ผมจะพยายาม… ทำตัวให้… ฮึ่ม…”

       ความสุภาพอ่อนน้อมขัดกับนิสัยเดิมของเธอเป็นอย่างมาก จะให้เห็นหัวคนอื่นสูงกว่าตัวเองมันยากเหลือเกิน แถมพ่วงด้วยการต้องปลอมเป็นผู้ชายให้แนบเนียนอีกต่างหาก ดังนั้นการพยายามแสดงออกครั้งแรกจึงออกมาสะเปะสะปะจนดูไม่ได้

       “เธอเพิ่งมาที่นี่คงไม่ชินสินะ พี่สาวจะช่วยให้ค่อยๆ ปรับตัวได้เอง” ความสดใสของบุตรีขุนนางสร้างบรรยากาศอันดีขึ้น อย่างน้อยคนรับใช้ก็เริ่มมองเธอเป็นเด็กคนหนึ่งที่ต้องลองพาไปปรับปรุงพฤติกรรมดูก่อน

       ใช่แล้ว จะแสดงท่าทีไม่เหมาะสมบ้างก็เป็นแค่เด็กที่ยังไม่ได้รับการอบรม คงรอดตัวได้ด้วยข้ออ้างนี้ไปอีกสักพัก…

       นัฟพาเด็กหญิงในคราบเด็กชายเข้าคฤหาสน์ไปถึงห้องรับรอง ซึ่งมีผู้ที่ดูเหมือนเจ้าบ้านนั่งรออยู่บนเก้าอี้ข้างเตาผิง

       กระเป๋าเก่าเขรอะถูกสาวใช้รับไปถือไว้ให้ ส่วนผู้มาใหม่ต้องยืนเผชิญหน้ากับความอึมครึมและแสงไฟไหววูบโดยไม่อาจร่วมโต๊ะด้วย

       “เธอชื่ออินิคาร์สินะ” บุรุษวัยกลางคนรูปร่างสมส่วนถือจดหมายค้างไว้ก่อนจะเลื่อนมันออกจากสายตาเพื่อพินิจมองแขกอย่างละเอียด “ได้รับเวทมนตร์จากเทพธิดาตั้งแต่วันตั้งชื่อ คงเป็นสามัญชนที่พิเศษน่าดู”

       น้ำเสียงของเขาเนิบนาบเหมือนกำลังประเมินไปด้วยขณะพูด

       “ผมไม่ได้พิเศษขนาดนั้นหรอกครับ…” อินิคาร์ตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย ครั้งนี้เธอไม่ได้ฝืนทำตัวเป็นผู้น้อย แต่กล่าวจากใจจริง

       หน้าต่างสถานะซึ่งปรากฏขึ้นเมื่อสัมผัสลูกแก้วนั้นหายไปแล้ว แทบจะไม่มีผลอะไรในการใช้ชีวิต กลับกันมันเหมือนคำสาปมากกว่า

       คำสาปที่ทำให้มารดาในชาตินี้คาดหวังและยัดเยียดบทบาทของพี่ชายให้จนกลายเป็นเพียงตัวแทน

       “โต้ตอบได้ฉลาดเกินวัยสมกับเป็นผู้ถูกเลือก… เธอรู้หรือเปล่า ว่านอกจากสาวกระดับสูงแล้ว มีแต่ขุนนางกับเชื้อพระวงศ์ที่จะได้รับเวทมนตร์” ประโยคของเจ้าบ้านสะกิดให้คู่สนทนาหันมองเด็กหญิงผมบลอนด์บนเก้าอี้อีกฝั่ง “ไม่… ยังไม่ใช่อย่างนั้น… เธอคงไม่รู้เรื่องนี้สินะ ขุนนางทุกคนจะได้รับพลังตอนเข้าโรงเรียนเวทมนตร์เท่านั้น”

       ดวงตาสีดำประกายฟ้าของอินิคาร์เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย

       นัฟยังไม่ได้สัมผัสลูกแก้ว… และชะตาของผู้มาจากต่างโลกจะถูกตัดสินในอีกหลายปีข้างหน้า

       “ตอนนี้เธอจึงเป็นคนพิเศษ เพราะถูกเลือกก่อนลูกหลานขุนนางที่มีอายุไล่เลี่ยกันเสียอีก… ดังนั้นตอนสมาคมการค้ากุนกุนส่งจดหมายมาหา ข้าเลยชั่งใจอยู่นานทีเดียวว่าจะขายสิ่งนี้ให้ตระกูลอื่นดีหรือเปล่า” เขาชูกระดาษในมือขึ้นเล็กน้อย “แต่นัฟบอกว่าอยากเจอเธอ อินิคาร์ เธอจึงได้มายืนอยู่ตรงหน้านี้”

       เสียงไม้แตกดังขึ้นเบาๆ ระหว่างที่เตาผิงยังคงส่องสว่างในความมืด

       “ทำไมถึงคิดจะขายจดหมายกันครับ” อินิคาร์เม้มริมฝีปากและกำมือข้างลำตัวแน่นขึ้น

       คำพูดของอีกฝ่ายเหมือนกำหนดชะตาชีวิตเธอได้ทุกเมื่อ เขาจงใจพูดแบบนั้น… จงใจบอกให้รู้ว่านี่คือบุญคุณที่ต้องตอบแทน

       “ข้าไม่ใช่ขุนนางตำแหน่งใหญ่… อิทธิพลปัจจุบันคือการติดต่อค้าขายกับสมาคมการค้าหลายแห่ง อำนาจของข้าคือเงิน… และรู้หรือเปล่าว่ามูลค่าของจดหมายนี่คืออะไร” เขาวางซองกระดาษลงบนโต๊ะ

       “การสานสัมพันธ์กับสมาคมการค้ากุนกุน…?” อินิคาร์สุ่มตอบดู

       “เธอยังอ่อนต่อโลกเกินไป เด็กน้อย…” บุรุษผมบลอนด์ในชุดสูทยิ้มบาง “มูลค่าของมันคือเธอ”

       เมื่อผู้ซึ่งถูกเข้าใจเป็นเด็กชายหน้าหวานเผยสีหน้างุนงงอีกฝ่ายจึงต่อประโยคที่กล่าวค้างไว้

       “สามัญชนที่จะได้เข้าโรงเรียนเวทมนตร์อย่างแน่นอน… แต่เธอในตอนนี้คงจะไม่เข้าใจกระมัง” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะผายมือให้นั่งลง “อย่างไรข้าก็ไม่ได้ขายมันออกไป และเจ้าก็มาอยู่ตรงนี้เพราะนัฟ ต่อจากนี้จงตั้งใจเรียน ช่วยเหลือบุตรสาวของข้าทุกอย่าง รวมถึงระลึกไว้เสมอว่าเจ้าเป็นเพียงผู้ติดตาม”

       อินิคาร์สั่นสะเทือนไปถึงหัวใจ

       นี่คือคนเป็นพ่องั้นสินะ… ทำได้ทุกอย่างเพื่อลูกสาว เหมือนกับพ่อของเธอในชาติที่แล้ว

       มองในมุมนี้เธอก็เริ่มเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายทั้งหมด ไม่มีใครรู้ความจริงเรื่องเพศของเธอ ดังนั้นเขาจึงระแวงและปลูกเมล็ดพันธุ์ไว้ในใจเด็กชายตั้งแต่แรกพบ

       เมล็ดพันธุ์ที่กดให้ต่ำลง ให้สำนึกในพระคุณ ซึ่งมันจะเป็นการห้ามเขาแตะต้องบุตรสาวไปในตัวเพราะไม่อาจคิดเอื้อมถึง

       น่าเสียดายว่าเธอไม่สนใจตั้งแต่แรก

       บทสนทนาจบลงแล้ว คล้ายความมืดถูกปัดเป่าให้สว่าง

       อินิคาร์ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นมากขึ้นหลังผ่านการประเมินของเจ้าบ้าน ทว่าความคิดในหัวเธอวนเวียนอยู่กับประโยคเสียงทุ้มต่ำนั่นมากกว่าจะมองเด็กผู้หญิงข้างๆ

       สมาคมการค้ากุนกุนส่งจดหมายถึงขุนนางคนนี้เพราะทำการค้าด้วยกันมานาน หากผู้รับเลือกจะขายต่อให้กับขุนนางอื่นก็ดูจะไม่ขัดต่อข้อตกลง บางทีอาจรับเงินส่วนแบ่งในการขายจดหมายต่อเสียด้วยซ้ำ

       ที่ร้ายที่สุดคือสมาคมการค้ากุนกุนต่างหาก… ได้ทั้งบ้าน สมบัติเก่าของพ่อ คนงานใหม่ซึ่งไม่อาจทรยศเพราะผูกมัดไว้ด้วยบุตรชาย และเกือบจะได้ขายเธออีกต่อด้วย… ชวนขนลุกชะมัด

       ใช่ว่าเด็กหญิงไม่เข้าใจคำพูดของตาลุงเจ้าของคฤหาสน์ พอลองคิดกลับไปกลับมาดูแล้ว มูลค่าของสามัญชนผู้ได้รับพลังก็คือสิทธิ์การเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ สามารถช่วยโกงคะแนนการสอบของบุตรหลาน ใส่ร้ายตระกูลที่บาดหมางกัน ทำเรื่องชั่วมากมายหรืออาจไปไกลถึงขั้นสามารถฆ่าว่าที่ขุนนางคนต่อไปได้

       และเมื่อถูกจับได้พวกเขาเพียงหาเรื่องบอกปัดว่าไม่มีส่วนรู้เห็นก็จะลดโทษซึ่งต้องได้รับลงไปหลายขั้น เพราะเธอเป็นเพียงสามัญชนเนรคุณที่ไม่ได้มีสายเลือดขุนนางแม้แต่เสี้ยวหนึ่ง

       พูดให้ถูกก็คือ ตำแหน่งตัวเบี้ยอันใช้แล้วทิ้งได้อย่างอิสระ

       การจะอยู่รอดได้ต้องตามเล่ห์เหลี่ยมคนพวกนี้อีกกี่ชั้นกันนะ…

       อย่างน้อยข้อมูลใหม่ที่รู้มาเพิ่มก็คือ โลกนี้มีการเมืองในหมู่ขุนนางมากทีเดียว เธอต้องจับสถานที่ใหม่ไว้ให้มั่นก่อน อย่าให้ความลับรั่วไหลเด็ดขาด ไม่ว่าจะเรื่องที่มาจากต่างโลกหรือเรื่องที่เป็นผู้หญิง

       ยัยเด็กนัฟดูจะถูกใจที่เธอเป็นผู้ชายหน้าหวาน ถ้ารู้ว่าแท้จริงคือเพศเดียวกันไม่แน่อาจถูกขายต่อไปเจอความเลวร้ายกว่าเดิมก็ได้

       “อินิคาร์ อาบน้ำกับพี่สาวคนนี้ไหม” ประโยคของบุตรีขุนนางทำเอาคนพ่อกับสมาชิกใหม่แทบสำลักอากาศ

       “ไม่ได้ครับ! ไม่ได้เด็ดขาด!! ผมเป็นเพียงผู้ติดตามของคุณหนูนะครับ” อินิคาร์รีบวางตัวใหม่เพื่อความอยู่รอดทันที

       เหล่าคนรับใช้รอบๆ และผู้เป็นบิดาดูจะพึงพอใจกับการเรียนรู้เร็วของเธอว่าสิ่งใดควรและไม่ควร

       “งั้นเหรอ…” นัฟเอานิ้วจิ้มคางครุ่นคิด “ก็ได้ ยังไงพวกเราก็จะได้ใช้เวลาด้วยกันอีกนาน ถ้าสนิทเกินไปก็อาจคลาดกับเจ้าชายด้วย”

       คำพูดประหลาดของอีกฝ่ายทำให้คนฟังรู้สึกว่าเธอคงต้องหาเวลาคุยกันตามประสาคนต่างโลกอย่างจริงจัง…

       และช่วงเวลานั้นก็มาถึงอย่างรวดเร็วเมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้นมาว่า “งั้นวันนี้ไปเดินชมคฤหาสน์ด้วยกันก่อน! พี่สาวคนนี้จะแนะนำสถานที่ให้เอง”

       เจ้าตัวตบอกปุๆ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อนำทาง

       ฝั่งเจ้าบ้านคล้ายวางใจในตัวอินิคาร์ระดับหนึ่งแล้วจึงเตรียมไปทำธุระต่อ ปล่อยเด็กสองคนไว้ในสายตาคนรับใช้แทน

       “เอาล่ะ จะเริ่มจากห้องนอนของเธอก่อนนะ” นัฟจูงมือเด็กชายขึ้นไปชั้นสองของอาคารสีขาว

       ห้องเรียบๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่ปรากฏตรงหน้าอินิคาร์ ถึงจะดูธรรมดาแต่ใช้เครื่องเรือนวัสดุดีไม่น้อยหากเทียบกับยุคของโลกนี้… บางทีอาจเป็นเพราะความร่ำรวยจากการติดต่อกับสมาคมการค้าอยู่เสมอ

       เธอมองเจ้าของชุดกระโปรงฟูฟ่องแนะนำวิวหน้าต่างว่าจะเห็นอะไรบ้างแล้วชิงหยุดอีกฝ่ายไว้ “คุณหนูครับ”

       “มีอะไรเหรอ” เด็กหญิงผมบลอนด์ส่งยิ้มสดใสมาให้

       “ที่เคยพูดว่าเกมกับเจ้าชายน่ะ คืออะไรเหรอครับ…”

       หากจะคุยกันก็ต้องเกริ่นจากตรงนั้น ส่วนแปลกปลอมอันไม่มีอยู่ในโลกใหม่แห่งนี้ หยั่งเชิงว่านัฟจะตอบอะไรกลับมา

       “นั่นน่ะเหรอ ถ้าเป็นอินิคาร์พี่สาวจะยอมบอกก็ได้” เจ้าตัวจิ้มคางเหมือนเป็นท่าประจำตัวไปแล้วก่อนเหลือบมองสาวใช้ด้านหลัง “คนอื่นออกไปก่อน พี่สาวคนนี้จะสนทนากับน้องชายสุดน่ารัก อย่าแอบฟังเชียว”

       “แต่ คุณหนู…” คนรับใช้จ้องเด็กชายเหมือนพิจารณาสถานการณ์แล้วค่อยผ่อนลมหายใจออก “ก็ได้ค่ะ”

       จะระแวงอะไรกับเด็กห้าขวบหกขวบกัน หน้าตาเธอออกจะใสซื่อไร้พิษภัยขนาดนี้คงทำให้ผู้ใหญ่ในคฤหาสน์วางใจลงบ้างแหละ

       …เมื่อทั้งห้องเหลือเพียงสองชีวิตพวกเธอจึงเริ่มการพูดคุยกัน

       “พี่จะบอกความลับสำคัญให้อินิคาร์ฟัง” นัฟยื่นหน้าเข้ามากระซิบ “พี่สาวน่ะมาจากโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกนี้”

       คนฟังอ้าปากค้าง… ไม่ใช่เพราะตกใจกับเรื่องที่พูด แต่อึ้งกับการปล่อยข้อมูลง่ายแสนจะง่ายของยัยเด็กนี่… พวกเธอเพิ่งเจอหน้ากันวันเดียวกลับพูดหมดเปลือกเลยงั้นเหรอ หากสาวกเทพธิดาอยู่แถวนี้คงโดนจับยัดห้องเดียวกับลูกแก้วแน่!

       ลูกแก้วที่สูบชีวิตคนต่างโลกน่ะ!!

       “โลกที่พี่เคยอยู่มีเกมจีบหนุ่มหลายเกมคล้ายๆ โลกนี้เลย พี่คงมาเกิดใหม่เป็นนางเอกของเกมไหนสักเกม” เด็กหญิงเพ้อฝันอย่างจริงจัง “อินิคาร์เป็นหนุ่มน้อยหน้าหวานขนาดนี้ ต้องใช่ตัวละครหลักแน่”

       ให้ตายเถอะ! อินิคาร์ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเพราะไม่รู้จะคุยยังไงให้รู้เรื่อง อีหรอบนี้ต่อให้พูดอย่างจริงจังไปก็คงไม่เชื่อแน่

       “คุณหนู…”

       “อยู่กันสองคนเรียกพี่นัฟก็ได้” ผู้สวมชุดกระโปรงยื่นมือมาวางบนศีรษะเด็กชาย “ถึงพี่จะมาจากต่างโลกแต่พี่ก็คือพี่สาวของอินิคาร์ พี่จะดูแลน้องชายอย่างดี เพราะฉะนั้นอย่าบอกความลับนี้กับใครล่ะ”

       สมาชิกใหม่ในคฤหาสน์ยกแขนอีกข้างขึ้นมาลูบหน้าตัวเองต่อ

       พอเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่ายัยเด็กนี่มองโลกนี้เป็นเกมที่ต้องพิชิตหัวใจผู้ชายหน้าตาดี สรุปก็คือพวกคลั่งหนุ่มหล่อ ถึงได้พยายามเอาเธอมาอยู่ด้วยและเพิ่มความสัมพันธ์ใกล้ชิด

       “ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่… บอกเรื่องนี้กับผมจะดีเหรอครับ พี่นัฟ”

       “พี่เชื่อใจอินิคาร์ และอยากให้อินิคาร์เชื่อใจพี่” สองมือเล็กของบุตรีขุนนางกุมแขนเด็กชายเอาไว้ “เป้าหมายการจีบคือเจ้าชาย และพี่จะคอยดูแลอินิคาร์ที่น่ารักไปตลอดชีวิตด้วยเหมือนกัน”

       ตามสบายเลยจ้า…

       ถ้าพูดปฏิเสธความเพ้อฝันตั้งแต่ตอนนี้คงไม่แคล้วจะถูกขายต่อให้ตระกูลอื่นที่อาจเลวร้ายกว่า มาถึงขั้นนี้มีแต่ต้องคล้อยตามและหาช่องว่างเตือนทีหลัง… ยังมีเวลาอีกหลายปีกว่านัฟจะเข้าโรงเรียนเวทมนตร์และเจอกับลูกแก้วเทพธิดา

       “ผมจะรีบปรับตัวให้ชินและเข้าเรียนพร้อมพี่นัฟ” อินิคาร์ตั้งใจว่าตนเองต้องรู้เรื่องราวของโลกให้มากกว่านี้เสียก่อน

       “น่ารักที่สุดเลย!” บุตรสาวตระกูลขุนนางสวมกอดเธอทันที

       และการใช้ชีวิตใต้ชายคาคฤหาสน์คนอื่นก็เริ่มต้นขึ้น

       แม่ของเธอไม่ได้โผล่มาในช่วงเดือนแรกเพราะกำลังเรียนรู้งานในสมาคมการค้าอย่างหนัก แม้จะเคยช่วยพ่อทำธุรกิจมาบ้างแต่ก็มีความต่างหลายส่วน… เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางบ้างแล้วจึงค่อยพบกันเดือนละหนสองหนตามโอกาส

       เธอยังคงภาพลักษณ์เด็กชายเอาไว้ทุกครั้งเพื่อการเอาชีวิตรอดและผลประโยชน์ในหลายๆ ด้าน

       ปิดม่านสนิทยามเปลี่ยนชุด ตัดผมสั้นตลอด อาบน้ำคนเดียวเสมอ รักษาความสัมพันธ์กับพวกคนรับใช้ให้ดี และระวังท่าทีไม่ให้แสดงความเป็นตัวเองในชาติก่อนออกมา

       คิดแล้วก็เศร้าใจว่าทำไมคนอย่างเธอต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยนะ

       อยู่อย่างหลบซ่อนจนไม่เหลือเค้าเดิมของตัวเองคนเก่า…

       “พ่อ แม่… เล็บสวยๆ ของฉัน” ยามค่ำคืนน้ำตาของเด็กหญิงไหลชโลมจิตใจอันเศร้าหมองจนซึมลงบนหมอนนุ่ม แต่เพียงไม่นานอินิคาร์ก็สะกดกลั้นได้สำเร็จ “อดทนไว้สิ… ฉันจะต้องกลับไป จะต้องกลับไปให้ได้!”

 

       +++++

 

       …วันและคืนผ่านไป ร่างกายอันเติบโตตามวัยทำให้สะโพกผายและเอวคอดเล็กลงทีละนิด แต่สิ่งที่ซ่อนใต้เนื้อผ้าไม่ค่อยได้คือหน้าอกของเพศหญิงซึ่งเริ่มนูนขึ้นแล้ว

       การรัดผ้ารอบตัวยังพอกลบเกลื่อนไหวอยู่บ้าง ทำให้อินิคาร์หยุดพะวงชั่วคราวและหันกลับมาจดจ่อเป้าหมายเดิมอย่างการหาข้อมูลต่อ

       เพื่อเข้าใกล้ทางออกจากขุมนรกนี่…

       แม้ตระกูลขุนนางที่เธอมาอยู่ด้วยจะร่ำรวยมากจนสร้างห้องสมุดส่วนตัวได้ แต่กลับไม่มีหนังสือเกี่ยวกับศาสนา อย่างมากคือประวัติศาสตร์และแผนที่โลก ณ ปัจจุบัน

       จากการศึกษาและทบทวนหลายสิ่งประกอบกัน ดูเหมือนที่นี่จะเป็นโลกแฟนตาซีแบบในภาพยนตร์ซึ่งเคยมีเผ่าอื่นแบ่งเขตอาศัยอยู่ด้วย

       ตามบันทึกมนุษย์เคยเปิดสงครามกับพวกต่างเผ่า สังหารหมู่จนเกือบเหี้ยน จากนั้นก็หันมาตีกันเองจนแยกเป็นสามอาณาจักร ดูวุ่นวายไม่แพ้ชาติก่อนของอินิคาร์

       …ด้านข้อมูลเกี่ยวกับศาสนาเทพธิดาส่วนใหญ่ถามได้จากครูพิเศษที่มาสอนนัฟกับเธอ

       เทพธิดาเป็นผู้นำชัยชนะมาสู่มวลมนุษย์เมื่อครั้งสงครามต่างเผ่า จากนั้นมนุษย์จึงนับถือเทพธิดามาเสมอ สร้างโบสถ์ในทุกเมือง ยกอำนาจศาสนาเหนือกว่าราชวงศ์ หนำซ้ำยังครอบคลุมสามอาณาจักรจนรากฐานมั่นคงมาหลายร้อยปี

       ยิ่งใหญ่ปานนั้นเชียวนะ แทบจะแตะต้องไม่ได้เลย

       เธอกำลังสู้กับอะไรอยู่เนี่ย?

       ถ้าอยากรู้วิธีกลับไปโลกเดิมคงต้องมีพลังมากกว่านี้ ไม่ก็เข้าร่วมสืบจากภายในของมัน

       ไม่สิ… การแฝงตัวในโบสถ์ที่มีแต่สาวกของเทพธิดาคงอันตรายเกินไป อินิคาร์ยังไม่รู้ว่าพวกนั้นต้องการชีวิตคนต่างโลกไปทำไม และอะไรคือดวงจิตพิสุทธิ์ที่เทพธิดาเคยเรียกเธอ

       ดังนั้นหนทางใหม่ก็คือการใกล้ชิดเชื้อพระวงศ์

       ต่อให้อำนาจจะได้เพียงเกือบเทียบเคียงศาสนา แต่การเป็นถึงผู้ปกครองแผ่นดินย่อมล่วงรู้ความลับมาบ้างเพื่อคานอำนาจทางการเมือง

       เธอต้องทำให้นัฟได้เข้าเรียนและสนิทกับเจ้าชายอย่างที่ต้องการ

       ก่อนอื่นเริ่มจากเลี่ยงไม่ให้เจ้าตัวสัมผัสลูกแก้วโดยตรง…

       ระหว่างที่เรียบเรียงข้อมูลสองคิ้วสีดำก็ขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม

       “อินิคาร์…” เด็กสาวในวัยแรกแย้มกะพริบตาปริบๆ มองผู้เป็นน้องชายบุญธรรมขณะดื่มชายามบ่าย “ทำไมเก้าอี้ที่เธอนั่งถึงมีสีแดง”

       …อะไรนะ?

       ประโยคทักของนัฟทำให้เธอสะดุ้งสุดตัว สติอันครุ่นคิดแผนการอยู่แตกกระเจิงมารับมือกับหายนะปัจจุบันก่อนจะมองการณ์ไกลไปกว่านั้น

       ปิดบังมาเกือบสิบปีจนเกือบหลอกได้กระทั่งตัวเอง แต่เธอดันลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดไปได้…

       ประจำเดือนครั้งแรกของอินิคาร์ได้มาถึงแล้ว

เกิดใหม่อยู่นั่นแหละ รำคาญ!

เกิดใหม่อยู่นั่นแหละ รำคาญ!

Status: Ongoing
ถูกอัญเชิญ โดนสังหาร และเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ… ดูเหมือนเธอจะต้องติดอยู่ในมิตินี้ไปตลอดกาล? ใครหน้าไหนกล้าพูดว่าอยากมาต่างโลกก็ตบกันเลยดีกว่า เฮงซวย! (#เกิดใหม่รำคาญ)

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท