เกิดใหม่อยู่นั่นแหละ รำคาญ! – ตอนที่ 6 ระบบเวทมนตร์

เกิดใหม่อยู่นั่นแหละ รำคาญ!

        “ดวงจิตพิสุทธิ์ มันคืออะไร” อินิคาร์ถามต่อประโยคของฮาราฟ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เธอได้ยินคำเรียกนั้น

       สามสาวในห้องล้วนเป็นวิญญาณต่างโลกซึ่งถูกดึงดูดมาเกิดใหม่ในมิตินี้ทั้งสิ้น และสองในสามก็เป็นดวงจิตพิสุทธิ์ ถ้ามันเจอง่ายนักทำไมถึงมีคนต่างโลกถูกสังเวยให้เทพธิดาหลายต่อหลายชีวิต

       ฮาราฟดุนลูกอมไปไว้ที่กระพุ้งแก้มด้านหนึ่งก่อนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ดวงจิตพิสุทธิ์ คือวิญญาณประเภทพิเศษ หายากยิ่งกว่าทองคำหรืออัญมณีชนิดไหน แม้โลกใบนี้จะดึงดูดวิญญาณผู้หลงทางมามากมายด้วยวิธีการต่างๆ แต่ตลอดเวลาหลายร้อยปีก็มีแค่เธอและฉัน”

       แสงอาทิตย์จากนอกหน้าต่างอาบไล้ข้างแก้มของเด็กสาวร่างท้วมผู้นั่งคร่อมพนักพิงหลังเก้าอี้อยู่

       “…แค่สองคน?” ดวงตาสีดำประกายฟ้าสบมองดวงตาสีชมพูอย่างคาดคั้น แต่การไม่หลบเลี่ยงช่วยยืนยันว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง “พวกนั้นต้องการดวงจิตพิสุทธิ์ไปทำอะไร จับขังไว้งั้นเหรอ”

       “เรื่องนั้นมีแต่เทพธิดาที่หยั่งรู้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรคงไม่ดีต่อพวกเราแน่… ฉันเลยซ่อนตัวมาตลอด” ร่างท้วมอ้าปากดันลูกอมซึ่งขนาดเล็กลงไปกว่าครึ่งกลับมาอยู่กลางลิ้นเช่นเดิม “ฉันจะไม่อธิบายอะไรไปมากกว่านี้ตราบที่คนฟังยังเป็นแค่พวกต่างโลกมือใหม่”

       แม้แต่ศาสนาเทพธิดาซึ่งมีหูตาอยู่ทั่วทุกเมืองยังไม่อาจรับรู้ถึงตัวตนของฮาราฟตลอดหลายปี บางทีเจ้าตัวคงหลบหนีและทำตัวกลมกลืนกับฝูงชนจนชำนาญประสบการณ์

       ในเมื่อวิญญาณประเภทพิเศษสามารถเข้ากับเวทมนตร์ได้ หากไม่ทำตัวโดดเด่นจนเกินไปย่อมแฝงตัวไม่ยาก เอาตัวรอดคนเดียวสบายไม่ว่าจะในโรงเรียนเวทมนตร์หรือศาสนาเทพธิดา…

       พอพิจารณาถึงข้อนี้แล้ว ถ้าอินิคาร์ไม่ใช่ดวงจิตพิสุทธิ์เหมือนกันบางทีฮาราฟคงไม่คิดยื่นมือเข้าช่วยหรือเผยข้อมูลใดให้เลยสักนิดเดียว

       อย่างไรก็ไม่ใช่ฝ่ายเดียวกันจริงๆ นั่นแหละ

       นึกย้อนไปแล้วเจ้าตัวก็ยิ้มตอนแทงหอกฆ่าเธอด้วย คงนึกสนุกที่เจอของหายากเหมือนตัวเอง จากนั้นก็ฆ่าตัวตายตามมาเพื่อหนีจากการถูกจับกุมกลางดงศาสนาเทพธิดา

       สยองชะมัด… คนที่ลงมือสังหารได้แบบไม่กะพริบตาต้องอยู่ในนรกนี่มากี่ปีกันนะ ชินชาและตายด้านกับชีวิตของผู้คนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

       “บอกไว้ก่อนนะว่าฉันจะไม่ตอบแทนบุญคุณ” เธอเอ่ยกับฮาราฟ “สิ่งที่เธอทำเป็นการยื่นมือเข้ามาช่วยโดยที่ฉันไม่ได้ร้องขอ”

       ตราบที่ต้องอยู่ในนรกขุมเดียวกันนี้ การติดหนี้ใครย่อมไม่ใช่เรื่องดี อินิคาร์ยินดีหลอกใช้คนอื่นอย่างภาคภูมิใจแต่ไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างใครทั้งนั้นหากไม่มีผลประโยชน์ร่วม

       “ไม่เป็นไร เลี้ยงอาหารฉันก็พอ” ยัยหมูยักไหล่เหมือนไม่ทุกข์ร้อน

       เธออยากถามวิธีกลับโลกเดิม แต่ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าจะไม่ให้ข้อมูลอะไรอีกคงไม่พูดอยู่ดี และการที่ฮาราฟปรากฏตรงหน้าเธอได้อาจหมายความว่ายังไม่พบหนทาง

       “นี่… ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่คุยกันมาตั้งแต่เมื่อกี้เลย…” มือของเด็กสาวผมบลอนด์ซึ่งจับอินิคาร์มาตลอดนั้นสั่นกลัว “ถ้าโลกนี้ไม่ใช่โลกในเกมจีบหนุ่มจริงๆ ฉันพอจะยอมรับได้อยู่บ้าง แต่เรื่องน่ากลัวอย่างการถูกดูดวิญญาณน่ะ ไม่จริงใช่ไหม”

       “เสียใจด้วย นัฟ ฉันเองก็รู้แค่ว่าลูกแก้วนั่นอันตรายเลยไม่อยากให้เธอแตะต้องมัน” อินิคาร์ไม่ได้โกหก เพียงแต่พูดไม่หมด

       เธอจงใจทำให้คุณหนูประจำคฤหาสน์รอดเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ต่อเท่านั้น ทางเลือกอย่างการบอกให้หนีไปตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียนหรือปกป้องเพราะห่วงใยนั้นไม่มีอยู่ในความคิดแม้แต่น้อย

       ทั้งหมดเพื่อตัวเธอเอง หาใช่ใครอื่น

       “อินิคาร์… ขอบคุณมากนะ” นัฟกลับแสดงความปลาบปลื้มยิ่งกว่าเดิม หน้ามืดตามัวจนไม่สังเกตวิธีพูดที่ดูจะวางตัวขึ้นมาทัดเทียมตน “แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็เท่ากับว่าฉันไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้… ใช่ไหม”

       “ถ้าไม่ใช่วิญญาณดั้งเดิมในโลกนี้ก็มีแค่ดวงจิตพิสุทธิ์ที่เชื่อมต่อระบบเวทมนตร์ได้” ฮาราฟยืนยันอีกครั้งเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาพูดคุย จากนั้นก็ลุกไปแกะห่อขนมที่ผูกไว้กับสัมภาระของตัวเอง

       “ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าดวงจิตพิสุทธิ์ใช้เวทมนตร์ได้ฉันจะช่วยตบตาให้เอง…” อินิคาร์รับปากอย่างไม่มั่นใจนัก เพราะเธอเองก็ยังไม่เคยใช้พลังลึกลับอันไม่มีอยู่ในโลกเดิม

       เด็กสาวผมบลอนด์เม้มริมฝีปาก ดวงตารื้นหยาดน้ำสะท้อนแสงวาววับ “ถึงเธอจะห่วงฉันแบบนี้ แต่ทำไม… ทำไมถึงไม่บอกกันตั้งแต่แรกว่าเธอเป็นคนจากต่างโลกเหมือนกัน”

       เอาแล้วสิ เธอต้องหาคำแก้ตัวดีๆ สักหน่อยเพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์แตกหัก เพราะต่อให้นัฟจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดก็ไม่รับประกันว่าการกระทำต่อจากนี้จะพากันรอด

       สิ่งที่เธอต้องทำคือการควบคุมอีกฝ่ายให้อยู่ในคาดการณ์ เหมือนกับใช้เงินจูงจมูกล่อพวกลิ่วล้อชาติที่แล้ว

       “อย่างที่ฮาราฟบอก ฉันเองก็เพิ่งมาถึงโลกนี้… ไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย และกลัวว่าจะถูกไล่ออกจากคฤหาสน์จนไม่มีหนทางรอด” ใบหน้าสวยหลุบตาลงต่ำคล้ายเศร้าสร้อยเหลือประมาณ “ขอโทษที่ทำให้มาอยู่ในอันตรายด้วยกันนะ ฉันไม่ดีเอง ไม่ควรลากเธอมายุ่งเกี่ยวด้วย…”

       “ม… ไม่หรอก! เธอช่วยฉันไว้ต่างหาก อินิคาร์เองก็ไม่แน่ใจหลายเรื่องใช่ไหม เธอดีกับฉันขนาดนี้ ยอมเจ็บตัวช่วยชีวิตฉันไว้ ฉัน… ฉันไม่โทษเธอหรอก” คนลนลานกลับเป็นผู้ถามเสียเอง

       ด้วยข้อมูลใหม่ที่รับรู้ หากแยกกันตอนนี้คนเสียเปรียบเต็มประตูคือนัฟ เพราะไม่สามารถเรียนรู้เวทมนตร์ได้… แน่นอนว่าถ้าไม่มีคนคอยช่วยกลบเกลื่อนศาสนาเทพธิดาจะรับรู้และถูกส่งไปหาลูกแก้วอีกครั้ง ทางเลือกที่ฉลาดคือการเกาะติดเธอเอาไว้ เพราะเด็กสาวผู้งดงามตรงหน้านั้นช่างแสนดีและพึ่งพาได้ไงล่ะ

       ดวงตาสีฟ้าของนัฟมองอินิคาร์เหมือนคาดหวังทางรอด ไม่ต่างจากสุนัขมองเจ้านาย… สถานะของพวกเธอสลับกันแล้ว ดั่งสวมปลอกคอให้เด็กสาวผมบลอนด์

       ขาเรียวยาวยกขึ้นไขว่ห้าง จากเธอนี้แค่ต้องบริหารสายจูงให้ดีไม่ให้หลุดมือไปสร้างเรื่อง และเตรียมเก็บเกี่ยวประโยชน์ได้เท่าที่ต้องการ “ขอบคุณที่เข้าใจฉันเสมอเลยนะ นัฟ”

       รอยยิ้มมุมปากประดับใบหน้าเรียวงาม มันสะท้อนผ่านนัยน์ตาของบุตรีขุนนางผู้เคยอยู่เหนือกว่า ทว่าปฏิกิริยาโต้ตอบไม่ใช่การขัดขืน กลับเป็นแววหลงใหลยิ่งกว่าเดิม

       “พยายามเข้าแล้วกันนะ” ร่างท้วมกล่าวอวยพรทั้งที่มีขนมเต็มปาก

       ขัดบรรยากาศสุดๆ แถมครู่เดียวที่พวกเธอคุยอยู่ยังซัดอาหารจนพร่องไปหลายส่วนแล้ว อินิคาร์กับนัฟมองหน้ากันพลางคิดในใจว่าเสบียงที่ฮาราฟขนมาล้นกระเป๋าคงหมดในวันสองวันนี้แน่

       ค่าอาหารตลอดหลักสูตรการศึกษาโรงเรียนเวทมนตร์อาจแพงเกินกว่าที่พวกเธอจะรับไหว ถึงได้ข้อมูลคุ้มค่าแค่ไหนก็อดโอดครวญไม่ได้ว่าบิดาของนัฟคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่ ยัยหมูนี่ตายอดตายอยากมากี่ชาติกัน

       …วันแรกของการเข้าหอพักปล่อยนักเรียนใหม่ปรับตัวตามสบาย เดิมสองสาวจากคฤหาสน์หลังเดียวกันนึกว่าจะได้ฟังเสียงเคี้ยวขนมตลอดทั้งคืน ทว่าเพียงแบ่งเตียงนอนและจัดข้าวของเรียบร้อยร่างท้วมดันหายหัวไปเลย ไม่เห็นแม้แต่เงา

       อินิคาร์กับนัฟได้แต่ทอดถอนใจและคิดเสียว่าเพื่อนร่วมห้องอีกคนเป็นตัวตนพิศวงอันยากจะควบคุมหรือรับมือได้เท่านั้น

       “อรุณสวัสดิ์” เสียงโทนเรียบของฮาราฟเอ่ยทักในยามเช้าพร้อมดึงม่านไล่ความมืดออกไป

       ไม่รู้อีกฝ่ายไปไหนทั้งคืนและกลับมาเมื่อไร เพราะหลังพวกเธอจัดกระเป๋าก็เดินสำรวจรอบหอจนเหนื่อยและหลับสนิทแบบไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น

       “อรุณสวัสดิ์อะไร…” อินิคาร์หรี่ตาสู้แสงสว่างอันเจิดจ้า พอมองไปรอบห้องใบหน้าก็เปลี่ยนสี “นี่ฉันฝันอยู่หรือไง”

       “เกิดอะไรขึ้น…” น้ำเสียงงัวเงียของนัฟว่าตามมา ร่างเล็กยันตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเบิกตาโตเท่าไข่ห่านมองสภาพรอบตัวไม่ต่างกัน “เทพธิดาช่วย! ฮาราฟ เธอจะกินยันชาติหน้าเลยเหรอ!?”

       ทุกซอกทุกมุมแม้แต่พื้นของห้องพักแสนกว้างขวางเต็มไปด้วยขนมสารพัดรูปแบบ ทั้งสิ่งที่ควรกินในวันสองวันนี้ และประเภทอบแห้งถนอมอาหาร จะเรียกว่าโชคยังดีที่กรุยทางเดินให้ก็พูดได้ไม่เต็มปาก

       ตัวต้นเหตุในชุดนักเรียนหญิงก้าวมายืนอยู่ปลายเตียงของสองสาว

       “เธอบอกว่าจะเลี้ยงขนม เพราะงั้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดเลยส่งไปให้ที่ตระกูลเธอ” สีหน้าของฮาราฟดูจริงจังกับเรื่องกินเป็นอย่างมาก “จะออกไปซื้อบ่อยๆ คงยาก ฉันเลยตั้งใจจะซื้อสัปดาห์ละครั้ง ไม่อยากรบกวนคนรับใช้ตระกูลเธอ”

       “หมดนี่คือปริมาณกินแค่สัปดาห์เดียว…?” เจ้าของเรือนผมสั้นสีดำตะลึงค้าง ยัยหมูนี่ต้องอดอยากมาเป็นสิบชาติแน่

       ส่วนที่น่าตกใจกว่าคือยัดอาหารมหาศาลขนาดนี้แล้วรูปร่างของฮาราฟควรอ้วนกลมยิ่งกว่าเจ้าชายอริเคฟอะไรนั่นเสียอีก แต่ความจริงกลับแค่ดูท้วมใหญ่กว่าเด็กสาวทั่วไปเท่านั้น น่าเหลือเชื่อจนยกเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกใหม่ได้เลยกระมัง

       ขณะดวงตาสีชมพูสะท้อนกล่องขนมหวานซึ่งกำลังถูกแกะออก เจ้าตัวก็เอ่ยถามว่า “จะไม่เตรียมตัวเข้าเรียนเหรอ”

       อินิคาร์มองแสงแดดนอกหน้าต่างแล้วรีบลุกไปคว้าชุดเครื่องแบบทันที ความคิดจะลองแต่งหน้าปลิวหายไปจนหมดเมื่อรู้ว่าอาจเข้าห้องเรียนสายตั้งแต่วันแรก …มันคงไม่เป็นไรหากนี่คือโลกเก่า แต่ศาสนาเทพธิดามีอิทธิพลในโรงเรียนเวทมนตร์อย่างไม่ต้องสงสัย และเธอจะไม่ยอมถูกเพ่งเล็งมากกว่านี้แน่

       ใช้เวลาสักพักกว่านัฟกับอินิคาร์จะแต่งตัวเรียบร้อย พวกเธอสามคนตรงไปชั้นล่างและตามเพื่อนใหม่คนอื่นสู่อาคารเรียน

       ระยะทางเดินจากหอพักไม่นับว่าไกล แต่การขึ้นลงบันไดหลายชั้นทำให้ใบหน้างามแทบจะยับยู่ด้วยความเหนื่อยหอบ ในบรรดาลูกคุณหนูคุณชายทั้งหลายที่มาบรรจบกันหน้าห้องล้วนสภาพดูไม่ได้

       คงมีแต่ฮาราฟที่เหงื่อไม่ออกสักหยด

       “ฉันคิดว่าฉันฝึกใช้แรงมาเยอะแล้วนะ…” ขาเรียวยาวพยายามทรงตัวยืนให้มั่นคง อย่างน้อยสภาพเธอก็ดูดีกว่านัฟและคนส่วนใหญ่

       “ฮ่าฮ่า! ดูสีหน้าพวกเธอสิ” เสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากด้านนอกอาคาร เหล่าหนุ่มสาวจึงหันมองผู้บังอาจดูหมิ่นตน

       ชายหนุ่มหน้าจืดในชุดคลุมประดับสัญลักษณ์วงกลมเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นนอกหน้าต่าง เขาลอยอยู่บนฟ้าดุจย่างเหยียบอากาศก่อนจะเหินผ่านช่องหินมาอยู่กลางวงนักเรียนใหม่

       “พวกปีหนึ่งก็สู้กันหน่อยนะ ถ้าไม่ฝึกเวทมนตร์ให้ชำนาญเร็วๆ ก็เหนื่อยแบบนี้ทุกวันแหละ เพราะห้องเรียนของปีแรกจะอยู่ชั้นบนสุด” เจ้าคนไร้มารยาทสวมเครื่องแบบศาสนาเทพธิดานั้นยังคงแต้มยิ้มมุมปาก

       เหล่าผู้ฟังบ้างก็ตะลึงบ้างก็มีไฟจะฝึกวิชาทั้งที่ยังไม่เริ่มเรียน

       นี่มันเป็นการรับน้องของพวกขุนนางในโลกนี้หรือไง… นับว่าเป็นวิธีผลักดันแบบเห็นผล เพราะถ้าไม่อยากเหนื่อยก็ต้องขยันเรียนจะได้สบายเร็วกว่าเพื่อน

       “มาเรียนได้แล้ว” ชายหนุ่มนำพวกเธอเข้าห้องและเริ่มคุยแทบจะในทันที “ผมจะไม่ย้ำกฎหรือข้อห้ามในโรงเรียนนี้เพราะพวกเธออ่านเอาเองได้ในคู่มือ… จะกินอาหารในห้องเรียนก็ไม่เป็นไรแต่อย่าส่งเสียงรบกวนสมาธิเป็นอันขาด”

       นักเรียนใหม่ยังไม่ทันจับจองที่นั่งกันครบเขาก็ยืนประจำจุดเหมือนไม่อยากปล่อยให้เวลาสูญเปล่าเลยสักนิด

       นัฟ อินิคาร์ และฮาราฟ นั่งเรียงกันแถวหลังซึ่งอยู่ในระนาบสูงสุดของห้องและมองผู้สอนอ้าปากพูดไม่หยุด

       “ห้องเรียนนี้ไม่ต้องแนะนำตัวอะไรทั้งนั้นเพราะผมไม่อยากจำชื่อพวกเธอและพวกเธอก็ไม่ต้องมารู้ชื่อผมด้วย เท่าเทียมกันสุดๆ เลยใช่ไหม… เอาเป็นว่าถ้าได้ดิบได้ดีแล้วค่อยมาคุยกัน อาจารย์จะได้เอาไปโม้ทีหลังว่ารู้จักคนใหญ่คนโต”

       ยัยหมูโยนลูกอมเม็ดใหม่เข้าปากแบบไม่ทุกข์ร้อน

       “เขามีสามัญสำนึกในการเป็นอาจารย์ที่ดีบ้างไหมนะ” ฝั่งนัฟรู้สึกผิดหวังจนมองด้วยสายตาว่างเปล่า

       ยังไม่ทันที่พวกเธอจะคุยตอบ อาจารย์หนุ่มก็ชี้ขึ้นมาที่แถวหลังสุด “เอ้า คุยกันระหว่างคาบเรียน หักยัยเตี้ยผมบลอนด์หนึ่งคะแนน”

       ผู้ถูกวิจารณ์รูปร่างคิ้วกระตุกถี่รัว “แบบนี้จำชื่อกันยังจะดีกว่า!”

       “หักยัยเตี้ยผมบลอนด์อีกหนึ่งคะแนน!”

       “…” นัฟกำมือแน่น

       หลังจากที่มีประเด็นกับกลุ่มเธอไปทุกคนก็ปิดปากสนิทไม่กล้าพูดอะไรอีกเลย แม้จะสงสัยว่าเขาดูไม่อยากจำชื่อนักเรียนขนาดนั้นแล้วจะหักคะแนนถูกคนได้ยังไงก็ตาม

       “โลกนี้มีโรงเรียนเวทมนตร์อยู่สามแห่งกระจายไปตามเมืองหลวงแต่ละอาณาจักร และเช่นเดียวกันก็มีลูกแก้วเทพธิดาอยู่สามลูกด้วย ท่านเทพธิดาองค์เดียวของพวกเรามอบความเจริญรุ่งเรืองอย่างเท่าเทียมเมื่อจบสงครามแบ่งเขตแดนระหว่างเผ่ามนุษย์” พอไม่มีใครส่งเสียงอาจารย์หนุ่มจึงเข้าบทเรียนทันที “รู้หรือไม่ว่าทำไมจึงต้องออกกฎให้มีแค่สาวกระดับสูงและลูกหลานขุนนางอย่างพวกเธอได้รับพลังเวทมนตร์”

       เมื่อเปิดช่องว่างคำถาม เจ้าชายอริเคฟก็ยกมือขึ้น

       “ยกมือทำไม ผมคุยกับตัวเอง คิดตามไปสิ”

       เอ้า หมอนี่มันกวนประสาทเกินใครจริงๆ ขนาดเชื้อพระวงศ์ยังไม่เว้น เจ้าชายตัวกลมนั่นหน้าหงิกไปเลย

       “การมอบเวทมนตร์ให้เพียงชนชั้นสูงแต่ละอาณาจักรมีเหตุผลใหญ่อยู่สองข้อ” เจ้าหน้าจืดชูนิ้วขึ้นมาตามการบรรยาย “ข้อแรก เพื่อควบคุมลำดับชั้นการปกครอง… หากมอบพลังให้สามัญชนทั่วไปแล้วย่อมมีโอกาสก่อจลาจล พวกเขาจะต่อต้านอำนาจผู้อยู่เหนือกว่าด้วยพลังที่ทัดเทียมกัน การคงอยู่ของเวทมนตร์จึงเป็นการแบ่งแยกอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อรักษาความสงบในดินแดน”

       อินิคาร์จดข้อมูลสำคัญลงสมุดและขบคิดตามไปด้วย

       “ข้อสอง แหล่งพลังเวทมนตร์ไม่ได้ไร้ขีดจำกัด… ถึงกระแสธรรมชาติจะสร้างพลังเวทมนตร์ใหม่ทุกวันแต่หากมนุษย์ทั้งหมดใช้พร้อมกันก็จะแห้งเหือดเร็วกว่าปริมาณที่ถูกสร้างขึ้น ดังนั้นจึงจำกัดจำนวนผู้ใช้ให้สอดคล้องกับข้อแรกไปด้วย”

       เวทมนตร์เกิดจากกระแสธรรมชาติ เด็กสาวผมสั้นเท้าคางมองลายมือตัวเองซึ่งเขียนเป็นภาษาโลกของนี้ รู้สึกเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ

       เธอไม่ใช่คนฉลาด ถึงจะเพิ่งมาตั้งใจเรียนเอาในชาตินี้ก็ไม่ได้มีสมองมากกว่าแต่เดิมเท่าไรนัก ส่วนที่พอจะโดดเด่นขึ้นมาบ้างคือการไล่ตามความคิดผู้อื่น คอยเปรียบเทียบผลประโยชน์และคาดเดาเป้าหมายของคนรอบตัว ดังนั้นด้านวิชาการคงต้องใช้ความพยายามสักหน่อย โดยเฉพาะกับสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสในชาติก่อนอย่างพวกเวทมนตร์

       “แน่นอนว่าคนที่ไม่เข้ากับเวทมนตร์เองก็มีเหมือนกัน ถึงในหมู่ชนชั้นสูงจะมีไม่เยอะนักก็เถอะ ดังนั้นพวกเธอที่อุตส่าห์ได้เข้ามาถึงห้องเรียนนี้แล้วก็จงภูมิใจและคอยฟังผมสอนดีๆ แล้วกัน” สาวกของเทพธิดาคล้ายโอ้อวดตนเองว่าอยู่เหนือกว่าเหล่าลูกหลานขุนนางทั้งหมด

       ไม่รู้ว่าคำสอนในศาสนาพูดความจริงไปถึงขั้นไหน แต่เห็นได้ชัดว่าข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณชนหรือแม้แต่พวกขุนนางเองก็ไม่มีการเอ่ยถึงผู้มาจากต่างโลก

       การอัญเชิญหรือดึงดูดวิญญาณจากโลกอื่นมาที่นี่เป็นข้อมูลลับซึ่งอาจมีคนเพียงหยิบมือรับรู้ และฉาบบังฉากหน้าด้วยการบอกว่าไม่เข้ากับเวทมนตร์…

       “เกริ่นเอาไว้เท่านี้ก่อน เรื่องประวัติศาสตร์เวทหรืออื่นๆ ค่อยให้อาจารย์ประจำวิชามารับช่วงต่อ คาบนี้คือคาบเรียนระบบเวทมนตร์ ดังนั้นส่วนที่จะสอนพวกเธอคือการทำความเข้าใจกลไกเวทและหน้าต่างสถานะ” ชายหนุ่มผายมือมาด้านหน้า จากนั้นกล่องข้อความโปร่งใสก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ หน้าตามันเหมือนกรอบที่เคยเห็นตอนสัมผัสลูกแก้วไม่มีผิด “หน้าต่างสถานะเป็นวิธีตรวจสอบสมรรถภาพด้านเวทมนตร์ในร่างกาย จะปรากฏขึ้นเมื่อได้สัมผัสกับเทพธิดาแล้วเท่านั้น วิธีเรียกคือการเพ่งจิตทั้งหมดมาที่ตัวเอง ถ้าทำไม่ได้ในคาบแรกก็เป็นขยะที่ไม่มีค่าพอจะเสวนาด้วย”

       ปากจัดชะมัด อินิคาร์ลอบบ่นในใจก่อนจะหันมาจดจ่อกับบทเรียน

       ระบบเวทมนตร์ที่เพื่อนร่วมชั้นในชาติก่อนเคยพูดถึง มีเพียงวิญญาณดั้งเดิมของโลกนี้กับดวงจิตพิสุทธิ์ซึ่งเป็นข้อยกเว้นเท่านั้นถึงจะสามารถใช้ได้ มันจะเชื่อมต่อทุกอณูร่างกายไปถึงขุมพลังพิเศษและแสดงอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติอย่างการเสกไฟและลอยกลางอากาศ…

       ฟังดูเหมือนภาพยนตร์แฟนตาซีอย่างไรชอบกล

       ถ้าแค่เพ่งจิตมาที่ตัวเองเฉยๆ ก็ปรากฏหน้าต่างสถานะ ตัวเธอที่สัมผัสลูกแก้วนั่นมาตั้งนานทำไมถึงไม่เคยเห็น

       พอสำรวจรอบตัวแล้วก็ยังไม่เห็นมีใครทำได้สักคน ฝั่งฮาราฟผู้มีประสบการณ์มากล้นยังเอาแต่กลิ้งลูกอมในปาก ส่วนนัฟเครียดกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัวว่าควรทำอย่างไรดี เพราะหากอินิคาร์ทำไม่ได้ก็สวมรอยไม่ได้

       เพ่งจิต… ทำยังไงถึงจะเป็นการเพ่งจิตกันล่ะ

       ฮาราฟกัดลูกอมส่วนที่เหลือให้แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วหันมองคนข้างกาย “นั่นเธอทำอะไร”

       “…นั่งฝึกจิต?” อินิคาร์นึกคำที่ใกล้เคียงกับโลกเก่ามากที่สุด ขาเรียวยาวยกขึ้นมาขัดสมาธิ สองตาหลับเพื่อจดจ่อกับร่างกายของตัวเอง

       ยัยหมูหัวเราะในลำคอ “ไม่ใช่แบบนั้น ส่วนที่เธอต้องทำคือการรับรู้ถึงกระแสพลังในตัวเอง เหมือนเวลากำหมัดแล้วรวมพลังไปที่มือ… ค่อยๆ สัมผัสทีละส่วนของร่างกายดู ตั้งแต่หัวจรดเท้า”

       อธิบายเหมือนง่ายแต่พอลองทำแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

       คนเสียเวลาทำตามลืมตาขึ้นมามองความว่างเปล่าอย่างหงุดหงิด

       “อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ พอสัมผัสครบแล้วก็ลองกระจายความรู้สึกให้ผ่อนคลายดู” ฮาราฟเท้าคางกับโต๊ะแล้วมองคนผมสั้นคล้อยตาม

       หน้าต่างสถานะเด้งขึ้นมาตรงหน้าอินิคาร์ชั่วขณะ แต่เพียงครู่เดียวมันก็หายไปเหมือนกับตอนสัมผัสลูกแก้ว

       “สิ่งที่เธอต้องทำคือการคงสภาพความรู้สึกตรงกลางระหว่างความตึงเครียดและการผ่อนคลายร่างกาย อย่าลืมตั้งสมาธิไว้กับตัวเองให้ดี” เจ้าของร่างท้วมในชุดเครื่องแบบกลายเป็นครูสอนวิชาเธอไปแทน

       ทว่ามันก็ได้ผล… ครั้งนี้กรอบโปร่งใสปรากฏชัดขึ้นมาให้อ่าน มันแสดงตัวเลขกับข้อความเป็นภาษาของโลกใบนี้ ทั้งค่าพลังเวทมนตร์ในร่าง ความเข้ากันของแต่ละธาตุ และรายการทักษะพิเศษซึ่งไม่มีอะไรเรียงอยู่เลย

       “ดูเหมือนจะเริ่มทำได้กันบ้างแล้วสินะ” อาจารย์หน้าจืดมองรอบห้องบรรยาย สัดส่วนนักเรียนที่ทำให้ค่าสถานะปรากฏขึ้นมาได้ยังไม่ถึงหนึ่งในสิบด้วยซ้ำ “หมดชั่วโมงนี้คนไหนที่ยังเรียกหน้าต่างสถานะเองไม่ได้ก็เตรียมโดนหักคะแนนเลย”

       เสียงเซ็งแซ่ของเพื่อนร่วมชั้นดังขึ้นทันที พวกเขาโวยวายเรื่องความยากและระยะเวลาที่มอบให้ซึ่งไม่สัมพันธ์กันเท่าไรนัก ฝั่งนัฟได้ยินแบบนั้นก็รีบเข้ามาเกาะชายเสื้ออินิคาร์ด้วยอีกคน

       เด็กสาวผมบลอนด์ขมวดคิ้วมุ่นและตระหนักถึงวิกฤตร้ายแรง

       ส่วนหนึ่งในใจพาลคิดว่าหากแตะลูกแก้วไปตัวเองอาจเป็นคนพิเศษอย่างพวกดวงจิตพิสุทธิ์ก็ได้ เธออาจมีเวทมนตร์เหมือนอินิคาร์กับฮาราฟ… แต่อีกใจก็หวาดกลัว ภาพคนที่ล้มลงระหว่างเรียงแถวสัมผัสเทพธิดายังคงติดตาอย่างไม่อาจลบเลือนโดยง่าย

       “กรอบสถานะสามารถเลื่อนตำแหน่งได้รึเปล่า” สามัญชนในกลุ่มหันมองผู้มีประสบการณ์หลายชาติ “ฉันขยับซ้ายขวานิดหน่อยมันก็ตามมาอยู่ตรงหน้า แบบนี้จะให้มันแช่อยู่กับที่หรือย้ายไปตรงอื่นก็น่าจะได้ใช่ไหม”

       ร่างท้วมหยิบลูกอมเข้าปากอีกเม็ดและยักไหล่ คราวนี้ดูจะไม่ช่วยต่อแล้ว เหมือนผลักให้เธอคลำทางด้วยตัวเองไปพร้อมกับนัฟ

       อินิคาร์ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว ในใจบ่นยัยหมูซ้ำไปซ้ำมาว่าช่างเป็นตัวตนที่อยู่เหนือเหตุผลและการควบคุมจริงๆ ถ้าไม่ใช่แหล่งข้อมูลที่มีประโยชน์เธอคงไม่อยากอยู่ใกล้คนประเภทเอาใจยากแบบนี้

       ครั้นจะใช้ขนมล่อทั้งที่อีกฝ่ายมีครบถ้วนแล้วก็เปล่าประโยชน์

       “ฉันจะพยายามนะ นัฟ” เธอหันมาให้กำลังใจเพื่อนสาวซึ่งมีฐานะฉากหน้าเป็นเจ้านาย

       ใบหน้างามเพ่งมองหน้าต่างสถานะอยู่นาน ลองเอียงคอแล้วมันก็เอียงในองศาเดียวกันให้อ่านได้ถนัด พอก้าวถอยมันก็ลอยตามมาในระยะเดิม เด็กสาวผมสั้นหรี่ตาพิจารณาและยกมือขึ้นจับคาง ทว่าพอนิ้วบังเอิญบังการมองเห็นชั่วขณะ ตำแหน่งของกล่องข้อความก็ขยับ

       “…” แผ่นหลังของเธอเหยียดตรง ลำคอระหงเชิดขึ้นเล็กน้อยก่อนทดลองทำนิ้วเป็นวงมามองลอดเหมือนรูเข็ม “มันปรับตามระยะรับรู้ที่เหมาะสมเองเลยนี่”

       ดวงตาของนัฟเปล่งประกายความหวัง จากนั้นพวกเธอก็หาจังหวะที่อาจารย์ประจำคาบหันหลังและปรับตำแหน่งให้ดูเหมือนนัฟสามารถเรียกหน้าต่างสถานะได้แล้ว พร้อมกันนั้นฮาราฟก็เริ่มแสดงฝีมือไปด้วย

       ไม่มีใครคอยสังเกตพวกเธอโดยละเอียดเพราะแต่ละคนก้มหน้าตั้งสมาธิ พวกที่ทำได้แล้วก็ถูกนักเรียนใกล้ๆ ถามจนไม่ว่างมามองรอบห้อง โดยรวมนัฟจึงรอดมาได้อย่างไม่ติดขัดอะไรนัก

       “เฮ้อ…” อินิคาร์ถอนหายใจยาวเหยียด พอจบการบรรยายแรกแล้วก็จะต้องเข้าสู่การเปลี่ยนสถานที่ไปคาบปฏิบัติ

       หลายคนอาจตื่นเต้นกับการจะได้ใช้พลังและสัมผัสกับเวทมนตร์ของเหล่าชนชั้นสูง แต่เธอเหนื่อยและปวดล้าตาไปหมด จนวิชาต่อๆ มา แทบจะไม่เข้าหัวเลยสักนิด โชคดีเพียงอย่างเดียวคืออาจารย์ผู้สอนไม่ได้กวนประสาทเร่งเร้าโดยการหักคะแนน การเรียนจึงเริ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไปแบบที่ควร

       สามสาวพากันกลับหอหญิงหลังรับประทานอาหารเย็นใต้อาคารเรียนเสร็จ สภาพของอินิคาร์แทบจะกลิ้งลงไปกองกับพื้นทันทีที่ก้าวผ่านธรณีประตูห้องพัก

       “ดิน น้ำ ลม ไฟ บ้าบออะไรก็ไม่รู้” เด็กสาวผมสั้นฟุบลงกับเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน พอเห็นฮาราฟไม่ทุกข์ร้อนก็พาลใส่ไปด้วย “ฉันแค่อยากหาวิธีกลับโลกเดิม ถึงรู้เรื่องเวทมนตร์ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรสักหน่อย!”

       เดิมทีเด็กสาวนึกว่าการเรียนเวทมนตร์จะไม่สาหัสมากนัก แค่ฝึกให้เนียนตามคนในโลกนี้ก็พอ ระหว่างนั้นค่อยสอดส่องหาข้อมูลไปด้วย… แต่นี่มันมากกว่าที่คิด

       “นั่นสินะคะ” นัฟมีความคิดเห็นเอนเอียงไปในทางเดียวกัน “ถ้าที่นี่ไม่ใช่โลกในเกมจีบหนุ่ม แถมยังต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ให้ศาสนาเทพธิดารู้ ฉันก็อยากกลับไปโลกเดิมมากกว่า”

       “กลับไปด้วยร่างนี้น่ะเหรอ” ฮาราฟหยิบขนมในห้องมากินต่อด้วยใบหน้าเรียบเฉย

       คำถามนั้นทำให้ผู้มาจากต่างโลกอีกสองคนชะงักไปหลายอึดใจ

       อินิคาร์ไม่สามารถกลับไปใช้ร่างกายเดิมได้อีกแล้ว มันผ่านมาเป็นสิบปีนับตั้งแต่ถูกฆ่า ศพคงเหลือแค่กระดูก และถ้ากลับโลกเดิมในสภาพนี้ก็ไม่สามารถไปหาพ่อแม่ได้อีกอยู่ดี

       ครอบครัวจะสามารถยอมรับเธอได้หรือเปล่า จะเชื่อสิ่งที่บอกงั้นเหรอ จากใครก็ไม่รู้ที่อ้างตัวว่าเป็นลูกสาว… และหลังจากผ่านเวลามานานขนาดนี้พ่อแม่เธอจะอายุมากเกินกว่าจะอยู่ให้เห็นแล้วใช่ไหม

       แล้วก็จะไม่เหลือใครที่นั่น

       ไม่เหลืออะไรในโลกเดิมให้ห่วงหาอีก…

       พอคิดเช่นนั้นหยาดน้ำตาก็พรั่งพรู

       “ใช่…” กระนั้นริมฝีปากเธอยังกล้ำกลืนตอบ “ถึงฉันจะกลายเป็นศพหรืออะไรก็ตาม ต่อให้พ่อแม่จะไม่อยู่ต้อนรับฉันที่โลกเดิมอีกต่อไป ฉันก็จะไม่ยอมอยู่ในโลกนี้เด็ดขาด! ฉันจะไม่ยอม… ไม่ยอมรับชะตากรรมที่โลกสารเลวใบนี้ยัดเยียดให้พวกเรา ต่อให้ต้องตายแล้วเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนอย่างที่เธอบอกอีกกี่หนก็ตาม”

       เธอและเพื่อนร่วมชั้นถูกอัญเชิญมาโดยไม่ได้รับความยินยอม ทุกคนถูกดูดวิญญาณไปอย่างอยุติธรรมโดยไม่อาจเรียกร้องอะไรได้ ในเมื่อเธอเป็นดวงจิตพิสุทธิ์ที่รอดพ้นมาแล้วถ้าจะก้มหน้าหนีให้อยู่รอดไปวันๆ โดยไม่ทำอะไรเลยคงเป็นพวกขี้แพ้ชัดๆ!

       “อินิคาร์…” นัฟเหม่อมองคล้ายเทิดทูนในความเข้มแข็ง

       ฮาราฟเบิกดวงตาสีชมพูกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะแต้มยิ้มมุมปาก “สวยกว่าเดิมอีกนะ”

       “แน่นอน ฉันสวยอยู่แล้ว ไม่ว่าจะชาติไหนก็ต้องสวย เพราะเบ้าหน้าดีฝังลึกถึงวิญญาณไงล่ะ” อินิคาร์เชิดหน้าอย่างมั่นใจ

       “ฉันหมายถึงดวงตาของเธอต่างหาก”

       แม้ร่างท้วมจะพูดอะไรมาคนฟังกลับไม่สนใจจะคุยต่อและมุ่งคิดเรื่องอื่นแทน

       หากอิงจากข้อมูลที่ฮาราฟบอกคราวก่อน ถ้าพวกเธอไม่สามารถหาวิธีกลับโลกเดิมได้สำเร็จในชาตินี้ก็จะไปเริ่มใหม่ในร่างอื่นหลังตายลง ตราบเท่าที่ศาสนาเทพธิดาไม่รับรู้นั้นสามารถทดลองหาข้อมูลได้หลายวิธี ทว่าหนนี้เป็นครั้งแรกที่เธอมาเกิดใหม่ และเป็นโอกาสอันดีในการเข้าถึงโรงเรียนเวทมนตร์ซึ่งสามัญชนไม่อาจเอื้อม หากยอมแพ้ไปก่อนก็อาจพลาดข้อมูลสำคัญได้

       “เดี๋ยวก่อนนะ” อินิคาร์ขมวดคิ้วเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมา “ถ้าต้องสัมผัสเทพธิดาถึงจะใช้เวทมนตร์ได้ ต่อให้ฉันตั้งใจเรียนในชาตินี้ก็ไร้ประโยชน์ในชาติถัดไปไม่ใช่เหรอ”

       แบบนี้แค่ศึกษาให้พอผ่านเกณฑ์ก็พอนี่ กลับไปเป็นเด็กหลังห้องแบบเมื่อก่อนแล้วช่างหัวการถูกหักคะแนนไปเลยน่ะ

       “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก” ฮาราฟยกนิ้วชี้ขึ้นมาแล้วเรียกหน้าต่างสถานะให้พวกเธอมองเห็นชัดทุกอักษร

       “ตัวเลขพวกนี้มันอะไรกันคะ…” นัฟหน้าซีดเผือดเมื่อนึกเปรียบกับอินิคาร์ “ต่างกันเป็นหมื่นเท่าเลยไม่ใช่เหรอ”

       ค่าพลังมหาศาลตรงหน้าราวกับเรื่องโกหกเมื่อเทียบกับตัวเธอในตอนนี้ที่สมรรถภาพเวทมนตร์ภายในร่างมีเพียงหลักสิบ และการเข้ากันของแต่ละธาตุยังอยู่เพียงหลักหน่วย

       “ใช่… เวทมนตร์ในโลกนี้สัมพันธ์กับจิตวิญญาณแล้วค่อยแสดงผลผ่านการเชื่อมโยงด้วยร่างของเราอีกที ตราบที่ความทรงจำของพวกเราไม่ถูกลบล้างเหมือนวิญญาณดั้งเดิม พลังเวทมนตร์ก็จะสะสมต่อไป” ตัวอักษรตรงหน้าค่อยๆ เลือนรางลงจนอ่านไม่ออก แต่กลับไม่สลายไป “ดังนั้นดวงจิตพิสุทธิ์จึงห้ามเปิดเผยค่าสถานะให้ใครรู้เด็ดขาด”

       เวทมนตร์จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีการถูกลบล้าง… มันไม่เหมือนกายหยาบที่ต้องไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ทารก

       และด้วยสิ่งนี้ จะทำให้เธอสามารถเอาตัวรอดในโลกใหม่ได้ไม่ว่าต้องเจอกับสถานการณ์แบบไหน…!

       ไฟในตัวเด็กสาวเริ่มลุกโชนขึ้นมา ในเมื่อดวงจิตพิสุทธิ์ได้เข้าโรงเรียนเวทมนตร์ตั้งแต่ชาติแรกก็ควรกอบโกยให้ได้มากที่สุด

       …ต่อให้เธอจะไม่อยากคิดเผื่อชาติต่อไปก็เถอะ เพราะนั่นหมายความว่าจะต้องตายก่อนและทรมานมากแน่ๆ

       “ขอบคุณนะ ฮาราฟ ฉันเริ่มเครื่องติดแล้วสิ” อินิคาร์รวบกำมืออย่างฮึกเหิม

       ก่อนจะหาหนทางกลับโลกเดิมเธอต้องฝึกเวทมนตร์ให้แข็งแกร่งพอเสียก่อน นี่คือบันไดขั้นสำคัญที่จะทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น…

       เจ้าของชื่อผู้ถูกเรียกเลียนิ้วที่เปื้อนผงขนมแล้วหันมาพูดต่อ “อืม… แต่ก่อนอื่นเธอต้องฝึกพิเศษกับฉันเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นอ่านค่าสถานะได้ ไม่งั้นนัฟก็จะถูกเปิดโปงตอนอาจารย์เห็นตัวเลขซ้ำๆ ทันที”

       “ฝึกพิเศษ…?”

       “ใช่ เรียนตามชั่วโมงแต่ละคาบและมาฝึกพิเศษทุกค่ำ… เธอดวงกุดมาเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ในชาติแรกขนาดนี้ถ้าไม่ฝึกหนักจนตายก็ไปไม่รอดหรอก” ใบหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่ายแสดงถึงความเอาจริง

       อินิคาร์อยากร้องไห้ซ้ำสอง “…ไม่เอาน่า!!”

เกิดใหม่อยู่นั่นแหละ รำคาญ!

เกิดใหม่อยู่นั่นแหละ รำคาญ!

Status: Ongoing
ถูกอัญเชิญ โดนสังหาร และเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ… ดูเหมือนเธอจะต้องติดอยู่ในมิตินี้ไปตลอดกาล? ใครหน้าไหนกล้าพูดว่าอยากมาต่างโลกก็ตบกันเลยดีกว่า เฮงซวย! (#เกิดใหม่รำคาญ)

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท