“อรุณสวัสดิ์ อินิคาร์!” เสียงสดใสของนัฟช่วยให้เช้าวันใหม่ดูมีความหวังขึ้นมาอีกนิด
เมื่อคืนเธอฝึกจนร่างกายสลบไปเองแต่ก็ยังทำให้หน้าต่างสถานะปิดกั้นการแสดงค่ากับคนนอกไม่ได้
ฮาราฟเอาแต่กินและสั่งอยู่ไม่กี่คำ จากนั้นก็กินต่อแล้วค่อยดุตอนเธอทำไม่ถูกต้อง… ถึงจะซาบซึ้งใจที่ช่วยสอนให้ก็เถอะ แต่มันจะทรมานกันมากเกินไปแล้ว! หากเป็นชาติก่อนเธอต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายกลั่นแกล้งยัยหมูร่างท้วมจอมวางมาดนั่น!!
“วันนี้ก็พยายามเข้านะ” เจ้าของเรือนผมดำทรงหางม้าต่ำเหลือบมองอินิคาร์ด้วยหางตา จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำไปเตรียมแต่งตัว
อย่างน้อยผลการฝึกเมื่อคืนก็ทำให้เธอเรียกหน้าต่างสถานะได้ตามใจนึกง่ายๆ แล้ว
ฮาราฟบอกว่าการปิดบังข้อมูลนับเป็นเรื่องทั่วไปของคนที่ฝึกเวทมนตร์จนชำนาญ ชนชั้นสูงมักเย่อหยิ่งและไม่ยอมให้ใครเอาข้อมูลของตัวเองไปเทียบกับคนอื่น พวกเขาจึงแสดงให้เห็นว่าสามารถใช้เวทมนตร์ได้แต่ไม่อนุญาตให้ล้วงลึกนัก
กระนั้นการเบลอค่าสถานะของเหล่าขุนนางเทียบไม่ได้กับผลลัพธ์ที่ยัยหมูต้องการ มันไม่ใช่แค่การซ่อนชั่วคราว แต่เป็นทุกชั่วขณะยามเรียกหน้าต่างออกมา ต้องทำให้มีแค่ตัวเองเห็นชัดส่วนคนอื่นจะไม่สามารถอ่านค่าได้ มันคือการตัดการรับรู้ของคนรอบตัวซึ่งไม่อยู่แค่สัมผัสในร่างตัวเองแล้ว
เธอไม่สามารถทำความเข้าใจคำอธิบายของฮาราฟในรอบนี้ได้ ดังนั้นมีแต่ต้องฝึกต่อไปทุกคืนเท่านั้น…
“วันนี้ตื่นเช้ากันเลยพอมีเวลา อินิคาร์อยากลองแป้งที่เคยถามครั้งก่อนใช่ไหม” นัฟเปิดลิ้นชักโต๊ะเครื่องสำอางของตนเอง หันมาเอาอกเอาใจเธอจนดูไม่ออกแล้วว่าใครเป็นผู้ติดตามใครกันแน่
“ใช่ มาลองกันเถอะ!” อุปกรณ์เสริมความงามทำให้คนผมสั้นอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ใจหวีดร้องว่าในที่สุดก็ได้แต่งหน้าเสียที!!
มันเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปโลกเก่าเลยทีเดียว
“ใช้แป้งของที่ไหนน่ะ” ฮาราฟซึ่งเปลี่ยนชุดเร็วเหมือนกะพริบตากลับออกมาถามทันที
เด็กสาวผมบลอนด์เอียงคอตอบ “แป้งที่ซื้อมาจากสมาคมการค้ากุนกุน… มีอะไรเหรอ”
“ถ้าของที่นั่นก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เครื่องสำอางส่วนใหญ่ในโลกนี้มีส่วนผสมของสารปรอท…” คำเรียกที่ดูเฉพาะทางทำเอาคนฟังทั้งสองขมวดคิ้ว “พิษน่ะ… ช่างมันเถอะ”
เห็นได้ชัดว่าฮาราฟขี้เกียจอธิบายและใส่ใจการกินของตัวเองมากกว่า พอเห็นความงุนงงของพวกเธอเลยหันหนีทันที
ถึงเธอจะไม่เข้าใจเท่าไรแต่มันก็ไอ้นั่นใช่ไหมล่ะ สารเคมีน่ะ ไม่เห็นต้องทำหน้าเหมือนพวกเธอโง่แบบขุดไม่ขึ้นเลย! เสียเวลาอธิบายสักนิดเถอะ น่าหงุดหงิดชะมัด!!
“อินิคาร์ หันมาทางนี้สิ” นัฟไม่สนใจยัยหมูและลงมือแต่งหน้าทำผมให้อินิคาร์เหมือนกำลังเล่นตุ๊กตาเด็กผู้หญิง
ฝีมือการเสริมสวยของคุณหนูผมบลอนด์นับว่าอยู่ระดับเริ่มต้น ตวัดฝีแปรงอยู่สักพักเจ้าตัวถึงบอกว่าเสร็จแล้ว… อินิคาร์มองใบหน้าในกระจกยังรู้สึกเหมือนมีส่วนที่ต้องเติมเพิ่มอีกหลายจุด เธอถือวิสาสะหยิบดินสอเขียนตามาตวัดปลายขึ้นอีกนิด เสริมความโฉบเฉี่ยวให้มีเสน่ห์ดึงดูดยิ่งกว่าเดิม
“ว้าว…!” นัฟยกมือขึ้นเชยคางเพื่อนสาวพินิจดูด้วยความตื่นเต้น “ชาติที่แล้วเธอเป็นช่างแต่งหน้าเหรอ อินิคาร์”
“เปล่า แต่ถ้าอยากเติมด้วยฉันก็ช่วยได้นะ” โฉมงามอาสาจะเป็นคนยกระดับความงามของคู่สนทนาขึ้นไปอีกขั้น
โดยทั่วไปผู้ที่ลงมือแต่งหน้าให้คุณหนูคือเหล่าสาวใช้ประจำคฤหาสน์ อินิคาร์เพิ่งถูกเปิดโปงเพศแท้จริงเลยไม่เคยแสดงความสามารถด้านการเสริมสวยมาก่อน
“เอาสิๆ!!” เด็กสาวผมบลอนด์ยิ้มแฉ่งอย่างมีความสุข ในใจนึกชมตนเองว่าคิดถูกแล้วที่เลือกอยู่กับอินิคาร์ ทั้งพึ่งพาได้และคอยใส่ใจกันแบบนี้ เธอจะไปหาใครที่ไหนมาแทนได้ เจ้าชายตัวกลมนั่นเหรอ… ไม่มีทาง
อุปกรณ์แต่งหน้าหลายชนิดเหมือนกับชาติก่อนของเธอ แม้จะไม่ได้ใช้ง่ายสะดวกสบายเท่าแต่ด้วยความชำนาญในอดีต ช่วงเวลาผัดแป้งและลงมือวาดความงามจึงผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ
“อย่างกับเวทมนตร์เลย…” นัฟมองเงาสะท้อนอย่างเคลิบเคลิ้มอยู่นาน “ฉันรักอินิคาร์ที่สุด!”
เจ้าของชื่อเพียงยิ้มมุมปากและลูบศีรษะอีกฝ่ายดั่งเอ็นดูสุนัขเลี้ยง
“ฉันไปก่อนนะ” ฮาราฟขัดจังหวะสนุกของพวกเธอด้วยการเตรียมเปิดประตูห้อง ฝั่งสองสาวจึงสะดุ้งเฮือกแล้วรีบเปลี่ยนชุดไปเข้าเรียนด้วย
จากหอพักหญิงไปถึงห้องเรียนยังคงเป็นช่วงทรมานเด็กใหม่ คาบบรรยายแรกเปิดด้วยวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์อันน่าเบื่อหน่าย และสอนด้วยสาวกเทพธิดาเจ้าของเสียงยานคางชวนหลับ
มันไม่ต่างจากเรียนประวัติศาสตร์ที่คฤหาสน์ของนัฟเท่าใดนัก เพียงแต่เสริมข้อมูลทางฝั่งเวทมนตร์ที่มีผลต่อเหตุการณ์ต่างๆ และเล่าย้อนต้นกำเนิดพลัง
“ในยามเกิดมหาสงคราม มนุษย์นั้นอ่อนแอจนไม่อาจสู้กับเผ่าอื่นซึ่งมีวิทยาการและพละกำลังมากล้นได้… ทว่าการเฝ้าวิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายกลับบังเกิดผล ศรัทธาทำให้เทพธิดาถือกำเนิดเพื่อชักจูงพวกเราสู่ชัยชนะ… เทพธิดาประทานเวทมนตร์ให้มนุษย์กำจัดภยันตรายจนสิ้นและมอบความรุ่งโรจน์สืบมานับพันปี” ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนมือของผู้สอนขยับตามการพลิกหน้ากระดาษ
อินิคาร์พยายามฝืนเปลือกตาไม่ให้ปิดลงไปเสียก่อน
ไม่รู้ว่าประวัติศาสตร์ที่ศาสนาเทพธิดาเป็นฝ่ายเล่าเองจะเชื่อถือได้มากแค่ไหน เพราะลูกแก้วนั่นไม่เห็นมีความน่าเคารพเลื่อมใสเหมือนตำนานเล่าขานเลยสักนิด ทั้งน่าสยดสยองและควรหนีให้ห่างเสียมากกว่า
แถมโลกที่ดูอุดมสมบูรณ์และสงบสุขมาเป็นพันปี นอกจากดึงดูดวิญญาณตามธรรมชาติยังจะอัญเชิญเธอกับเพื่อนร่วมห้องมาทำไมอีกกัน…
“ฮาราฟ นอยล์” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นทันทีที่หมดชั่วโมงบรรยาย เจ้าชายอริเคฟก้าวเข้ามาหาบุตรีดยุกด้านหลังห้อง “หากเจ้ารู้จัก แต่งหน้าแต่งตัว แบบเพื่อนชั้นต่ำ ของเจ้าบ้าง ข้าคงรู้สึก ยินดีมากขึ้น เยอะทีเดียว”
การออกเสียงแบบพักช่วงหายใจชวนรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้ยิน
ดวงตาสีเขียวของเขามองมาทางอินิคาร์และนัฟ มันไม่ได้เปี่ยมด้วยเสน่หา หากเป็นการดูถูกและคุกคามอำนาจกับตระกูลนอยล์
“อะไรเนี่ย…” เด็กสาวผมบลอนด์ขมวดคิ้วแล้วกระซิบถามทันที
แน่นอนว่าพวกเธอข้องใจสุดๆ แต่พยายามยับยั้งตัวเองไม่ให้โต้ตอบหาเรื่องกับราชวงศ์ เพราะพวกเธอไร้อำนาจต่อกร ไม่เหมือนอาจารย์หน้าจืดที่เคยลองดีเพราะมีศาสนาเทพธิดาคุ้มกะลาหัว
“ฉันเป็นคู่หมั้นของเขาน่ะ” ร่างท้วมหยิบขนมอบขึ้นมาเคี้ยวโดยไม่เหลือบมองอริเคฟสักนิด
อินิคาร์เบิกตาโต แทบสำลักอากาศหลังได้ยินข้อมูลใหม่เพราะไม่รู้จะตกใจเรื่องไหนก่อนดี
ยัยหมูหมั้นกับเจ้าอึ่งอ่าง คนต้นคิดอยากทำฟาร์มเนื้อราชวงศ์สุดจ้ำม่ำหรือไงกัน ถึงไม่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ก็เห็นชัดว่าสุขภาพมีปัญหาทั้งครอบครัวแน่ นี่ไม่ได้วิจารณ์รูปร่างหน้าตานะ เป็นห่วงจากใจจริงเถอะ!
“หยิ่งผยอง ต่อไปแล้วกัน สักวันข้าจะ ทำให้เจ้า มาสยบแทบเท้า ให้ได้” อริเคฟเชิดหน้ากลมๆ ของเขานำขบวนลิ่วล้อออกจากห้องไป
“เขาดูไม่ค่อยพอใจเลยนะ” นัฟมองตามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“หมั้นกับผู้หญิงที่ไม่สนใจตัวเอง แถมยังทำทุกอย่างได้ดีกว่าจนผู้ใหญ่ชื่นชมไปหมด เขาคงอยากเอาชนะเฉยๆ นั่นแหละ” ฮาราฟเคี้ยวอาหารในปากด้วยสีหน้าเรียบเฉย
อินิคาร์เท้าคางคิดตาม จะว่าไปเจ้าชายอริเคฟก็เคยชวนเธอคุยเพราะตระกูลนอยล์อยู่หนหนึ่ง เขาดูไม่ใช่ประเภทหลงเสน่ห์ผู้หญิง เพียงแต่ชอบให้คนรอบกายศิโรราบต่อตนเอง พอเห็นฮาราฟเป็นหัวหลักหัวตอเลยอยากโค่นลงมา
บางทีสิ่งนี้อาจใช้งานได้… วางเหยื่อล่อด้วยตระกูลนอยล์เพื่อแลกเปลี่ยนความลับกับเจ้าชายอริเคฟ เขาต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ถึงได้ยิ้มตอนมีคนถูกเทพธิดาดูดวิญญาณไป
“ฉันไม่เล่นตามแผนการของเธอหรอกนะ” ฮาราฟหันมาพูดดั่งรู้ทัน
“ชิ” อินิคาร์เดาะลิ้นด้วยความขัดใจ เพราะประสบการณ์ต่างกันเกินไปอีกฝ่ายจึงอ่านความคิดออก “ไม่แบ่งปันข้อมูลดีๆ แล้วยังไม่ยอมให้ความร่วมมืออีก”
“อินิคาร์ การที่รอบนี้ฉันได้มาเกิดในตระกูลนอยล์ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ ถ้าพลาดการเข้าสู่ศูนย์กลางขั้วอำนาจอาจไม่มีโอกาสไปอีกหลายร้อยปี” ยัยหมูกล่าวอย่างจริงจัง ราวทุกย่างก้าวในตอนนี้ล้วนเป็นการวางหมากอันทรงพลังและไม่อยากให้เธอผู้เป็นเพียงลูกเจี๊ยบหัดเดินเข้าไปพังแผนการสุ่มสี่สุ่มห้า
หากฮาราฟรวมเป็นทองแผ่นเดียวกับราชวงศ์อาจรู้ข้อมูลลับที่อาณาจักรและสาวกระดับสูงของฝั่งเทพธิดาเก็บงำเอาไว้ได้… ความจริงของโลกใบนี้ซึ่งดึงดูดวิญญาณมากักขังไว้ และวิธีการปลดปล่อยพวกเธอกลับไปโลกใบเดิม…
“ถ้าเธอฝึกเวทมนตร์ได้ถึงระดับที่ฉันพอใจเมื่อไรจะยอมบอกแล้วกัน” เจ้าของดวงตาสีชมพูคล้ายยอมอ่อนข้อให้โดยมีเงื่อนไข “แต่ดูจากสภาพแล้วคงอีกนานน่าดู…”
ฮาราฟเลียนแบบวิธียิ้มมุมปากดั่งดูแคลนมือใหม่หัดใช้พลัง
น่าโมโหที่สุด! อินิคาร์ตั้งใจว่าตนจะฝึกฝนให้ก้าวหน้าจนยัยหมูตะลึงไปเลย
“เอ่อ… พวกเรารีบไปกันเถอะนะ?” นัฟตามบทสนทนาไม่ทันจึงเพียงช่วยสะกิดเตือนและเก็บข้าวของระหว่างเปลี่ยนคาบเรียน
สามสาวพากันก้าวไปลานซ้อมและเริ่มวิชาเวทมนตร์พื้นฐานต่อจากวันก่อน มันเป็นวิชาเดียวที่มีคาบสอนทุกวันดั่งบังคับฝึกให้พัฒนาพลัง
“เมื่อวานเราได้เรียนรู้แล้วว่าธาตุทั้งสี่ในธรรมชาติประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ และหน้าต่างสถานะจะแสดงค่าตัวเลขที่ร่างกายพวกเธอสามารถเข้ากันได้มากที่สุดอยู่” อาจารย์ผู้สอนทวนความจำระหว่างมองเหล่านักเรียนชุดเครื่องแบบสีเข้มซึ่งยืนล้อมรอบไปด้วย “ทว่านอกเหนือจากเวทมนตร์ทั่วไปแล้วยังมีการประยุกต์เสริมพลังให้ร่างกายหรือสิ่งอื่นๆ อีกด้วยค่ะ”
หญิงสาวสาธิตด้วยการหยิบปากกาขนนกขึ้นมาถือไว้ จากนั้นก็ทำให้เศษกระดาษลอยด้วยเวทลมและตวัดปลายด้ามแหลมแหวกแนวยาว ผ่าแผ่นบางเป็นสองซีกแบบเนียนกริบ
“หากลองใส่เวทมนตร์เสริมพลังกายหรือวัตถุจนชำนาญก็จะได้รับทักษะพิเศษที่มีผลต่อค่าพลังโดยรวม นอกเหนือจากนั้นยังมีรายการทักษะพิเศษอื่นๆ ที่ต้องค้นหาเงื่อนไขและคลี่คลายเอาเองอีกมากค่ะ”
เนื่องจากเป็นวิชาภาคปฏิบัติ การเสริมความรู้ด้านทฤษฎีจึงใช้เวลาเพียงครู่เดียวและเริ่มต้อนให้ลูกหลานขุนนางฝึกพลังด้วยตนเอง
อินิคาร์แค่ลองรวมพลังกลั่นหยดน้ำออกมาหนึ่งเม็ดยังทำได้ยาก ขนาดความเข้ากันของธาตุนี้มากที่สุดแล้วก็ไร้แม้แต่วี่แววความชื้น การหวังทักษะพิเศษคงอีกยาวไกลนัก
การอัดชั่วโมงเรียนของที่นี่เพิ่มความตึงเครียดให้เธอมากเกินไป
“ผ่อนคลายหน่อยสิ” ฮาราฟทาบมือบนแผ่นหลังสูงสง่าให้ลดความแข็งกร้าวลง “เวทมนตร์คือการเปลี่ยนนามธรรมให้เป็นรูปธรรมโดยมีพลังของผู้ใช้เป็นสื่อกลาง”
“นามธรรม?” คิ้วเรียวสีเข้มขมวดเข้าหากัน
“จับทางเก่งนี่… ช่วยอาจารย์สอนได้เลย” สตรีวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบสีขาวของเหล่าสาวกโผล่มาจากด้านข้างและได้ยินสิ่งที่พวกเธอคุยกันพอดี “แต่ขนมนี่ขอยึดไปก่อนนะ เดี๋ยวเปื้อนฝุ่นในลานซ้อมหรอก”
บุตรีดยุกอ้าปากค้าง แต่ไม่ทันจะท้วงผู้มาเยือนก็ไปดูกลุ่มอื่นต่อแล้ว
นัฟผู้ยืนว่างมองเหตุการณ์ทั้งหมดเพียงตบบ่าร่างท้วมเบาๆ จากนั้นก็เอาใจช่วยเด็กสาวที่ตนหลงใหลด้วยการกอดจากด้านหลัง “นี่ อินิคาร์ ฉันเหมือนจะเข้าใจนิดหน่อยแล้ว ลองทำตามวิธีของฉันดูสักครั้งนะ”
“ได้” คนตอบรับรู้สึกไม่มีอะไรจะเสียจึงตกลงว่าตาม
“ลองนึกถึงคุณสมบัติของน้ำที่ลื่นไหลไม่คงรูป… แล้วจินตนาการถ่ายทอดมันออกมาตรงหน้าดูสิ”
“นี่ไม่ต่างอะไรกับที่อาจารย์บอกเมื่อวาน…” ริมฝีปากสีชมพูสวยถูกปลายนิ้วชี้อ้อมมาทาบทับเป็นการห้ามพูดต่อ
“ถ่ายทอดออกมาผ่านร่างกายของเธอ ค่อยๆ รีดจินตนาการพวกนั้นออกมาด้วยประสาทสัมผัสพิเศษที่เธอรู้สึกได้ตอนใช้หน้าต่างสถานะน่ะ” คำพูดของนัฟชักจูงให้อินิคาร์รู้สึกต่างไปเล็กน้อย “จากเกมที่ฉันเคยเล่นมาน่าจะให้ความรู้สึกประมาณนั้นนะ”
คนฟังขมวดคิ้ว เกมจีบหนุ่มที่นัฟเล่นมันไม่ใช่การจิ้มตัวเลือกบนจอเหมือนกันหรือไง ทำไมถึงฟังดูล้ำยุคชะมัด
แต่ว่าก็ว่าเถอะ สัมผัสพิเศษนอกเหนือจากการรับรู้ทั่วไป… พอได้ยินแบบนั้นเธอก็คล้ายรับรู้ได้รางๆ ถึงกระแสพลังในตัว
มันต่างจากตอนเรียกกรอบข้อความเพราะตอนนั้นจับความรู้สึกได้เพียงบางเบา ครั้งนี้เธอต้องลงลึกไปมากกว่าเดิม ขับเคลื่อนให้พลังพิเศษขยับตามใจนึกและปลดปล่อยออกมานอกร่างกาย
ดุจขยับอวัยวะที่ไม่อาจเห็นด้วยตาเปล่า
“หืม… ถ้านัฟใช้เวทมนตร์ได้น่าจะเก่งกว่าอินิคาร์อีกนะ” ฮาราฟเอ่ยชมคนผมบลอนด์ และในขณะเดียวกันก็เหมือนจิกกัดว่าเด็กสาวผมสั้นตรงหน้าเป็นพวกไร้ความสามารถซึ่งไม่เหมาะกับดวงจิตพิสุทธิ์เอาเสียเลย
อินิคาร์เมินยัยหมูและกลับมาจดจ่อหยดน้ำซึ่งกำลังก่อตัวลอยอยู่กลางฝ่ามือ
“ทำได้แล้ว!” เด็กสาวแทบกระโดดโลดเต้นกับความสำเร็จก้าวแรก เธอสลายพลังด้วยตัวเองแล้วย่ำเท้าไปมาเมื่อเริ่มสนุกกับการเรียนขึ้นบ้าง “ขอบคุณมากเลยนัฟ!”
อ้อมกอดจากสาวสวยคือรางวัลของคุณหนูผมบลอนด์ พวงแก้มของร่างเล็กแดงก่ำขึ้นมาชั่วขณะ
“คราวนี้ลองธาตุอื่นกันดู…”
“เอะอะเสียงดังเหลือเกินนะ พวกที่ชอบคลุกคลีกับสามัญชนเนี่ย” ใครบางคนจงใจเอ่ยขัดจังหวะพวกเธอ
เจ้าของรองเท้าหนังหลายคู่ก้าวเข้ามาระยะใกล้
ดวงตาสีดำประกายฟ้าเพียงเหยียดมองกลุ่มสาวๆ ที่หาเรื่องเธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ ลำคอระหงเชิดขึ้นเล็กน้อย แขนเพรียวบางเท้าเอวแอ่นรูปร่างสะโอดสะองใต้ชุดเครื่องแบบราวอวดศักดาเสียเต็มที่
การโต้ตอบนั้นกระตุ้นให้เหล่าสตรีด้านหน้ากำมืออย่างเดือดดาล “จะหยามหน้ากันเกินไปแล้วนะ เป็นแค่ขุนนางชั้นต่ำแท้ๆ!”
“ขุนนางชั้นต่ำ? ฉัน?” อินิคาร์หรี่ตาลง
“ใช่ เธอกับผู้ติดตามสามัญชนของเธอน่ะ!” ปลายนิ้วชี้ของอริใหม่ลากไปทางนัฟ
ฮาราฟก้าวถอยห่างไปและหยิบลูกอมที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อขึ้นมาโยนเข้าปาก คล้ายกำลังดูสิงสาราสัตว์ตีกันด้วยความบันเทิง
“ฉันเป็นผู้ติดตาม…?” เด็กสาวผมบลอนด์ยังคงตะลึงค้างว่าตนเองดูไม่มีรัศมีชนชั้นสูงขนาดนั้นเลยเหรอ
อินิคาร์ป้องปากหัวเราะเสียงดังจนเรียกความสนใจจากนักเรียนในรุ่นเดียวกัน “อย่าถือสาเลยนัฟ นอกจากไม่มีสมองหาข้อมูลที่ถูกต้องแล้วยังพิการตาบอดแบบนี้ น่าสงสารออกจะตาย”
เด็กสาวผมสั้นไม่อนุญาตให้ใครมารังแกลูกหมาตัวน้อยของเธอแน่ อย่างไรฉากหน้าระหว่างสองสาวนั้นยังคงเป็นนายบ่าว แม้เจ้าตัวจะไม่ถือสาการตีเสมอแต่ก็ไม่ควรสะกิดย้ำขึ้นมา… ยิ่งวางตัวข้ามหน้าเกินไปเดี๋ยวปลอกคอที่อุตส่าห์สวมไว้ใช้งานจะหลุดกันพอดี
“ตาบอดเหรอ!? หมายความว่ายังไงกันคะ!” หัวโจกกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจสุดขีด
ยิ่งการกระทำของฝ่ายตรงข้ามแสดงอารมณ์มากเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเป็นตัวร้ายเกรดต่ำซึ่งไม่ควรให้ค่าด้วยเลยสักนิด
อินิคาร์วางมือลงบนบ่าของนัฟและฉีกยิ้มใส่กลุ่มคนผู้กล้าลองดี “หมายความว่าคุณหนูของฉันดีกว่าพวกเธอเป็นร้อยเท่าไง ถ้ามีเวลาก็กลับไปส่องกระจกชะโงกดูเงาตัวเองเสียบ้างเถอะ”
“คุณหนูของอินิคาร์…” เจ้าของเรือนผมบลอนด์ได้ความมั่นใจกลับคืนมาและเชิดหน้าขึ้น “ใช่ คราวหน้าถ้าจะหาเรื่องกันอีกก็ช่วยทำตัวให้ฉลาดกว่านี้หน่อยเถอะ มันน่าอายแทนน่ะ”
สายตานักเรียนทั้งลานซ้อมพุ่งไปที่กลุ่มสตรีผู้กล่าวโจมตีด้วยข้อมูลผิดๆ แต่แรกจนฝั่งนั้นต้องล่าถอยไปหลบมุม ส่วนอาจารย์ซึ่งเห็นเรื่องทั้งหมดว่าไม่ได้มีการลงไม้ลงมือใดเกินขอบเขตจึงไม่ได้เข้ามาห้ามปราม
ทุกอย่างจบลงอย่างรวดเร็ว สถานการณ์คล้ายจะคลี่คลายกลับสู่ความปกติ และไม่นานฮาราฟก็แสดงเวทไฟลูกขนาดกำปั้นขึ้นมาจนดึงสายตาทุกคนอีกครั้ง
ความโกรธเคืองระหว่างสาวๆ เบาบางลงดั่งถูกเตือนสติว่ากำลังอยู่ในคาบเรียนและต้องฝึกฝนพลังของตน
“สมเป็นตระกูลนอยล์” ใครสักคนเอ่ยขึ้น
เหล่าผู้สืบเชื้อสายขุนนางเพิ่งสัมผัสกับเวทมนตร์มาวันสองวัน น้อยคนจะจับเทคนิคเสกสร้างอะไรขึ้นได้ด้วยความช่วยเหลือของอาจารย์ และค่าพลังเริ่มต้นอันน้อยนิดก็ไม่ค่อยมีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจ
ผิดกับเด็กสาวร่างท้วมซึ่งแสดงสิ่งอัศจรรย์ใจหมู่นักเรียนใหม่อยู่
อินิคาร์เหลือบมองเจ้าชายตัวกลมด้านหลังเพื่อสังเกตปฏิกิริยา… อารมณ์ของเขาเปี่ยมด้วยความริษยา ดวงตาสีเขียววาวโรจน์อย่างน่าขนลุก ก้อนไขมันบนใบหน้าบิดเบี้ยวชวนสยดสยอง บรรยากาศคล้ายอยากจับฮาราฟฉีกเป็นชิ้นๆ
เด็กสาวนึกกลัวแทนฮาราฟและคิดว่าพวกเธอควรหลีกให้ห่างเขา
แน่นอนว่าอีกสองคนย่อมเห็นด้วย โดยเฉพาะผู้ครองตำแหน่งคู่หมั้นที่พยายามเลี่ยงพบกับอริเคฟมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
…หลังจากจับเคล็ดลับเวทมนตร์ได้การเรียนการสอนก็ไม่ยากเกินความเข้าใจ อินิคาร์ฝึกกระแสพลังในร่างกายทั้งช่วงชั่วโมงเรียนและยามซ้อมพิเศษที่หอพัก
ธาตุทั้งสี่ไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งใช้จะยิ่งเพิ่มพูนค่าความเข้ากันและส่งผลต่อขีดจำกัดเวทมนตร์โดยรวมอีกด้วย สิ่งที่ลำบากขึ้นมาหน่อยคือการควบคุมอย่างละเอียดอ่อน เหมือนการเล็งเป้ายิงให้แม่น หรือการปั้นหิมะด้วยมือล่องหน สิ่งนี้ต้องพัฒนาเองไปเรื่อยๆ ควบคู่กันเท่านั้นถึงจะเริ่มประยุกต์ให้เกิดทักษะพิเศษติดตัวได้
สามสาวผ่านกิจวัตรวันแล้ววันเล่า แม้จะมีการกระทบกระเทียบกับคนอื่นบ้างแต่กลุ่มเดิมคงเข็ดหลาบจนไม่กล้าเข้ามาหาเรื่องตรงๆ อีก
ด้านเจ้าชายอริเคฟดูนิ่งไปในระหว่างนี้ เขามักส่งสายตาน่ากลัวมาทางฝั่งฮาราฟระหว่างชั่วโมงศึกษา ทว่าก็ทำเพียงแค่นั้นจึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าคิดอะไรอยู่
พวกเธอกำลังมุ่งมั่นในการเรียนเวทมนตร์เลยไม่สนใจจะยุ่งกับใคร ต่อให้ดูมีศัตรูรอบด้านทว่าเพียงอยู่เกาะกลุ่มสามคนคงปลอดภัย
ขอแค่อยู่ด้วยกันก็จะเรียนรู้แบบค่อยเป็นค่อยไปได้อย่างสงบ
“…พัฒนาก้าวกระโดดเลยนะ อินิคาร์” นัฟอมยิ้มระหว่างอยู่ในห้องพักส่วนตัว “ตอนนี้ก็มองค่าพลังไม่เห็นแล้วด้วย รู้แค่มีหน้าต่างสถานะขึ้นมาแต่อ่านไม่ออกแล้ว”
“ต้องขอบคุณนัฟที่ช่วยให้ฉันฝึกได้เร็วขึ้นไงล่ะ” ร่างสูงเพรียวลูบศีรษะคนตัวเล็กกว่า
อินิคาร์เอาใจคู่สนทนาอย่างอารมณ์ดี และสิ่งที่พูดก็ไม่ใช่เรื่องโกหก เพราะนอกจากได้รับคำแนะนำในช่วงแรกเริ่มแล้ว การเนียนหลอกตาคนอื่นว่านัฟใช้เวทมนตร์ได้เหมือนกันนั้นทำให้เด็กสาวจำเป็นต้องทำงานหนักขึ้นเกือบสองเท่า ราวกับคัดลอกการบ้านสองหนส่งอาจารย์
“ไม่คิดจะชมอาจารย์คนนี้หน่อยเหรอ” ฮาราฟหันแก้มย้วยๆ ที่มีขนมอัดแน่นมาถามหาความดีความชอบอีกคน
“ยัยหมูอย่างเธอน่ะรีบคายความลับออกมาดีกว่า” อินิคาร์ยกนิ้วชี้ดั่งออกคำสั่งด้วยปฏิกิริยาตอบสนองแบบต่างขั้ว “เธอเคยพูดว่าจะบอกข้อมูลให้ถ้าฉันฝึกเวทมนตร์ได้ดีนี่นา”
“…ก็ดูมีแววขึ้นมาบ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้น” ร่างท้วมยักไหล่หนหนึ่ง “แถมทำตัวสองมาตรฐานกันแบบนี้ ไม่ค่อยน่าบอกเท่าไรด้วยสิ”
ระหว่างเลี้ยงสุนัขตัวน้อยกับหมูซึ่งเอาแต่กินไม่สนใจใคร อินิคาร์ย่อมถือบังเหียนบนสิ่งที่ควบคุมได้อยู่แล้ว การมอบความเอ็นดูให้ฮาราฟจึงไม่อยู่ในรายการที่จำเป็นต้องทำ
เด็กสาวผู้วางมาดนางพญาเพียงเชิดหน้ามองอีกฝ่ายคล้ายหยั่งเชิง ทว่าประกายใสแจ๋วซึ่งถ่ายทอดผ่านดวงตาสีชมพูชวนให้คนเห็นรู้สึกผิดขึ้นมาอยู่สักหน่อย
“ฉันจะทำอาหารให้กินเพื่อเป็นการขอบคุณแล้วกัน” นึกดูแล้วเธอก็ได้รับความช่วยเหลือมามาก ตอบแทนสักนิดให้ยัยหมูซาบซึ้งคงไม่เสียหาย
“เธอ? ทำอาหาร?” ฮาราฟเอ่ยด้วยน้ำเสียงคำถามเหมือนไม่อยากเชื่อว่าอินิคาร์เข้าครัวเป็น
ถูกสบประมาททางสายตานี่มันเกินรับได้ซะจริง “เสียมารยาท! ตอนอยู่คฤหาสน์ของนัฟฉันจำสูตรอาหารได้ตั้งเยอะ!!”
“มันก็แค่… ดูไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนั้นน่ะ” ร่างท้วมถึงกับลูบคางพิจารณา “หรือนี่จะถึงเวลาฆ่าฉันเพื่อเอาคืนแล้วเหรอ”
“ฉันไม่ได้จะปรุงยาพิษสักหน่อย!! ถ้าจะไม่กินก็เงียบไปเลยยัยหมู!” อินิคาร์หมั่นไส้อีกฝ่ายจนหมดอารมณ์ทำอาหาร “อุตส่าห์เป็นวันหยุดแสนสำคัญที่มีอยู่ไม่กี่วัน ฉันไปฝึกเวทมนตร์ต่อคนเดียวก็ได้”
“ใจเย็นก่อน ฉันอยากกินอยู่แล้วสิ… ยังไงก็มีทักษะต้านทานพิษ ลองของแปลกดูก็ไม่เสียหาย” บุตรีดยุกเหมือนเอ่ยคำท้ากวนประสาทมากกว่าจะเป็นการยอมรับรางวัลตอบแทน
“ฉันก็อยากกินอาหารฝีมือของอินิคาร์อีกนะ น่าคิดถึงจังเลย” คุณหนูผมบลอนด์ประสานมือหวนนึกถึงอดีต
ท้ายที่สุดสามัญชนคนเดียวในกลุ่มจึงทำท่ากระฟัดกระเฟียดลงไปยืมใช้ครัวล่างหอพักซึ่งกำลังเงียบสงัดไร้ผู้คนพอดี
เธอลงบัญชีตระกูลของนัฟเพื่อจ่ายค่าวัตถุดิบและเริ่มลงมือทำมื้อเด็ดที่จะปิดปากฮาราฟไม่ให้ดูถูกกันได้อีก… จำเอาไว้เสียเถอะว่าอินิคาร์คนนี้เป็นยอดมนุษย์ผู้มีพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถอันไร้ที่ติ!
…เมื่อสองแขนจับกระทะและเพ่งสมาธิจดจ่อกับไฟ เด็กสาวก็ไม่ทันรู้ถึงความเจ็บปวดบริเวณแผ่นหลังอันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
คลื่นลมสงบในชาตินี้สิ้นสุดลงแล้ว… พายุโหมกระหน่ำสาดซัดเข้ามาระลอกใหญ่เกินกว่าคนต่างโลกจะรับมือไหว
“อินิคาร์ เมนูที่จะทำ…” นัฟกับฮาราฟก้าวตามมาที่ครัวแต่กลับพบฉากสยองเต็มตา “กรี๊ดดดด!”
ร่างท้วมรีบก้าวไปคว้าคอผู้ลงมืออย่างกะทันหัน “อริเคฟ มาอยู่ที่หอพักหญิงได้ยังไง”
อินิคาร์ล้มคลานกับพื้นและพยายามใช้สายตาอันพร่าเลือนจดจำเหตุการณ์เอาไว้ ตำแหน่งมีดปักอยู่ใกล้หัวใจมาก ไม่สามารถตั้งตัวได้เลย
เจ็บ… เจ็บอีกแล้ว… ทำไมต้องมาทรมานแบบนี้ด้วยนะ
เธอยังไม่ทันที่จะเรียนเวทมนตร์ผ่านปีแรกด้วยซ้ำ ข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้ก็ยังไม่สมบูรณ์พอ เจ้าอึ่งอ่างมีความแค้นอะไรกับเธอถึงต้องบุกมาจัดการกันในวันหยุดแบบนี้เนี่ย
“ฮะฮะ… ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!! เธอเองก็ ทำสีหน้าแบบนี้ เป็นสินะ ฮาราฟ คิดถูกเหลือเกิน ที่แอบเข้ามาวันนี้” เจ้าชายตัวกลมหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง การเว้นช่วงประโยคติดขัดของเขายังคงฟังแสลงหูเช่นเดิม “ใช่… สีหน้าเศร้าโศก แบบนั้น… สีหน้าเหมือน คนพ่ายแพ้ แบบที่ข้ารู้สึก ตลอดเวลาที่ถูกเทียบกับเจ้า!”
เขารอจังหวะมานานแล้ว… รอมาเสมอ
ดวงตาสีเขียวที่จับจ้องพวกเธอตลอดราวกับนักล่าเฝ้าดูพฤติกรรมเหยื่อเพื่อหาช่องว่างโจมตีในตอนแยกฝูง แม้กระทั่งวันหยุดยังตามสอดส่องอย่างไม่ละเว้น
เป็นการยึดติดกับชัยชนะที่จะสยบคู่หมั้นจนน่าขนลุก
ฝ่ามือหนาที่กำผ้าไหมบิดด้ายจนขาดวิ่นในหนเดียว… แม้แต่เจ้าชายอริเคฟก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของคู่หมั้นตรงหน้า บรรยากาศเย็นยะเยือกเสียดผิวราวกับเวทมนตร์มหาศาลกำลังบีบอัดเข้ามา
อินิคาร์ฝืนใช้แรงเฮือกสุดท้ายจับข้อเท้าอวบของบุตรีดยุกเป็นการหยุดยั้งการกระทำทั้งหมด
คิดให้ฉลาดสิ… นี่คือเป้าหมายของฮาราฟในชาตินี้ไม่ใช่เหรอ… โอกาสทองในการคว้าชัยชนะของเหล่าผู้มาจากต่างโลก… หากพลั้งมือกำจัดลงก็เท่ากับย้อนไปที่เดิม ไม่สามารถเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์และล้วงความลับออกมาได้
“เจอกันครั้งหน้า เธอต้องบอก…” ใบหน้างามกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ทั้งหลอดลมและหลอดอาหารเหมือนเต็มไปด้วยของเหลวอุดกั้นไว้ แค่จะหายใจยังทรมานเกินทน
อยากรู้เสียจริง… อยากรู้เหลือเกิน… วิธีการกลับไปโลกเดิม…
นี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอยอมเสียสละตัวเองเพื่อให้ใครสักคนได้ก้าวไปต่อ วางใจว่าอีกฝ่ายจะหาคำตอบที่เธอต้องการและนำกลับมาได้ในครั้งต่อไปที่พบกัน
“อินิคาร์… อินิคาร์!” เสียงของนัฟแทบจะขาดใจตามมาด้วย สีหน้าห่วงกังวลของเด็กสาวผมบลอนด์มาพร้อมการประคองมืออย่างหวงแหน “อินิคาร์ ฉันจะตามเธอไปให้ได้ เธอคือแสงสว่างในโลกนี้ของฉันนะ!!”
อินิคาร์ยอมให้นัฟแตะตัวตามใจชอบเพราะเหนื่อยจะฝืน
เด็กโง่เอ๊ย… ที่ผ่านมาเธอแค่หว่านเสน่ห์หลอกใช้เท่านั้นเอง ชาติหน้าไม่ต้องตามมาเป็นสุนัขให้เลี้ยงอีกก็ได้
ฮาราฟปล่อยมือจากเจ้าชายและมองมาทางนี้ด้วยใบหน้าเศร้าโศก แม้จะไร้น้ำตาแต่กลับชวนให้ผู้มองเห็นรู้สึกบีบคั้น
“แม้แต่เธอก็ทำสีหน้าแบบนี้… เป็นจริงๆ ด้วย…” อินิคาร์อดเห็นด้วยกับเจ้าอึ่งอ่างไม่ได้
เพราะใบหน้าเรียบเฉยและการยิ้มเยาะเธอเป็นบางครั้งแสดงความแข็งแกร่งเหนือกว่ามาตลอด ไม่เคยมีครั้งใดเผยความอ่อนแอเลย
อริเคฟอยากสยบคู่หมั้นให้ลดตัวลงมาต่ำกว่าตนเองแค่สักหน… ความเอาแต่ใจของผู้มีอำนาจนั้นน่าหวาดกลัว เพราะพวกเขาไม่เคยรู้จักความพอดี ยิ่งเป็นเพียงชีวิตของสามัญชนคนหนึ่งอย่างไรก็ไม่มีผลต่อโรงเรียนเวทมนตร์… เขาคงสาแก่ใจอย่างคุ้มค่าทีเดียว
เจ้าอ้วนกลมเอ๊ย… ชาติหน้าแม่จะตามมาล้างแค้นให้ดู
สติของผู้มาจากต่างโลกดับวูบลงในที่สุด
+++++
“คุณคะ ลูกของเราไม่ร้องไห้เลย” เสียงแรกที่ได้ยินหลังรู้สึกตัวยังคงเป็นภาษาของโลกใหม่
ให้ตายเถอะ ไม่เว้นช่องว่างให้ฝันหวานถึงการหลุดออกไปจากคุกขังวิญญาณนี่เลยสักนิด
“เด็กไม่ร้องเป็นเด็กฉลาดนะ คุณไม่รู้เหรอ ว่ากันว่าทารกแรกเกิดที่สงบเสงี่ยมมักเรียนรู้เร็วไง เหมือนหลายบ้านเลย” ชายหนุ่มหัวเราะสดใสมองโลกในแง่ดีอย่างที่สุด
อินิคาร์ในร่างใหม่อยากตอบให้ว่า เด็กพวกนั้นมันเป็นคนต่างโลกที่จะถูกดูดวิญญาณไงล่ะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
นอกจากจะอยากเก็บความลับที่เป็นวิญญาณต่างถิ่นแล้ว กล้ามเนื้อและกระดูกของทารกก็ยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง ต้องรอพัฒนาการอีกนานถึงพูดคล่อง… นี่เป็นส่วนแย่สุดๆ สำหรับการเกิดใหม่อีกชาติ
อยากกดปุ่มข้ามทีเดียวแล้วโตเลยชะมัด ไม่อย่างนั้นจะไปหาข้อมูลได้ยังไงกัน ใครจะมาอดทนรอ
“เด็กคนนี้ทำหน้าเหม็นเบื่อสุดๆ เลยค่ะคุณ…” คนเป็นแม่ชี้บอกสามีไปพลางหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนหลังคลอดบุตร
“จริงด้วยสิ” ผู้เป็นพ่อชะโงกเข้าใกล้ทารกน้อย “คงต้องลองไปถามคนในเขตเราดูหน่อยแล้วว่าปกติเด็กๆ เป็นแบบไหนกัน”
ดูท่าอินิคาร์จะเป็นลูกคนแรกของพวกเขา
“ท่านเอิร์ลคะ ขบวนสาวกแห่งเทพธิดาเดินทางมาถึงตามคำเชิญแล้ว” เสียงที่สามเรียกความสนใจของเด็กน้อยได้เป็นอย่างดี
เมื่อสักครู่นี้ว่าอะไรนะ? ท่านเอิร์ล??
ไหนว่าการเกี่ยวข้องกับพวกขุนนางมันยากนักยากหนาไม่ใช่รึไง!?