ตอนที่ 475 ไขความจริงได้เพียงครึ่งเดียว
จะว่าไปแล้วติงโส่วซิ่นผู้นี้ก็ร่ำเรียนบทเรียนปรัชญาที่มีมาแต่โบราณตั้งแต่เด็ก เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่จะสอบผ่านเดินสู่เส้นทางราชสำนักอย่างแท้จริง ย่อมเชื่อมั่นในคำสอนที่ว่าขงจื้อไม่สอนเรื่องอำนาจลี้ลับ
ดังนั้นเมื่อจู่ๆ ฮูหยินติงก็เอ่ยถึงบางสิ่งที่ผิดปกติของตระกูลติง เขาจึงไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่ง ที่ไม่ราบรื่นไม่ใช่เป็นเพราะเรื่องที่ภรรยาผู้โง่เขลาของน้องสามไปทำไว้หรือ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าหากนักต้มตุ๋นอยากจะหลอกให้สำเร็จควรเริ่มที่สตรีจะดีที่สุด พวกนางเชื่อเรื่องผีสางนางไม้มากกว่าบุรุษจึงทำให้หลอกได้ง่ายกว่า หากไปหาพวกนาง ตราบใดที่กล่าวถูกแม้เพียงนิดเดียว เช่นนั้นคำหลอกลวงก็ถือว่าแม่นยำ
และฮูหยินติงก็เป็นหนึ่งในสตรีที่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้ ในตอนแรกนางไม่ได้คิดจะเชื่อมโยงไปถึงเรื่องนี้ แต่เมื่อพบว่าเด็กสาวที่ถูกเลี้ยงในบ้านเดิมของตระกูลฉินนั้นก็เป็นคนในอารามเต๋า ทั้งยังมีความศรัทธา และเมื่อเห็นว่าช่วงนี้ตระกูลติงประสบเรื่องโชคร้าย นางก็คิดทันทีว่าตระกูลของตัวเองอาจถูกคนสาปแช่ง
และผู้ที่สาปแช่งเกรงว่าจะเป็นเจ้าอาวาสน้อยนามว่าปู้ฉิวผู้นั้น
ฮูหยินติงหวั่นใจ เมื่อเห็นว่าติงโส่วซิ่นยังมีสีหน้ามึนงง จึงเอ่ย “นายท่าน ล่วงเกินผู้ร้ายได้ แต่อย่าล่วงเกินนักพรตเต๋า พวกเขามีแผนอะไร คนนอกอย่างพวกเราไหนเลยจะรู้”
ติงโส่วซิ่นตกตะลึง จากนั้นก็มีสีหน้ามืดมน ไม่อยากจะเชื่อ
“นายท่านถูกตำหนิ อาจกล่าวได้ว่าผู้ตรวจการเซียวต้องการตอบแทนน้ำใจจึงได้ยื่นมือเข้ามาช่วย แต่เรื่องโชคร้ายในตระกูลติงของพวกเรา ไม่ได้มีเพียงชื่อเสียงเสียหายอย่างเดียวเท่านั้น” ฮูหยินติงน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย เอ่ย “ช่วงนี้คนในจวนที่ล้มป่วยมีตั้งแต่เจ้านายไปถึงบ่าว ไม่ได้มีเพียงแค่ครึ่งหนึ่งหรอกกระมัง อย่างท่านแม่กับน้องสะใภ้สามไม่ป่วยก็บาดเจ็บ ซ้ำยังมีบ่าวรับใช้คนอื่นๆ อีก แล้วไหนจะเรื่องร้านค้า ตอนแรกก็ยังดีๆ อยู่ เหตุใดจู่ๆ ถึงเกิดเรื่องให้ต้องปิดร้าน แม้ว่าจะก่อเรื่องแต่ใครบ้างไม่รู้ว่านั่นคือร้านของตระกูลติง”
เมื่อทุกคนถูกสะกิดใจเช่นนี้ก็เข้าใจในทันที
นายหญิงสามติงกรีดร้อง “พี่สะใภ้ใหญ่ หรือท่านกำลังจะบอกว่าตระกูลติงของพวกเราถูกสาปแช่ง?”
มิน่าล่ะนางจึงได้ขาแพลงโดยไม่มีสาเหตุ ทางเดินเรียบมาก แต่นางกลับล้มข้อเท้าแพลง ความโชคร้ายเช่นนี้ไม่เคยพบเจอมาก่อน ยังไม่ทันได้หายดี ตอนนี้เพียงแค่ขยับก็เคล็ดแล้ว เจ็บปวดเป็นอย่างมาก
ที่ตัวเองโชคร้ายเช่นนี้ หรือว่าเป็นเพราะคำสาปแช่ง
นายหญิงสามติงก็เป็นสตรี เชื่อเรื่องผีสางนางไม้เช่นกัน เมื่อคิดว่าที่ตัวเองโชคร้ายอาจเป็นเพราะถูกสาปแช่ง นางจึงเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
“สาปแช่งอะไรกัน ไร้สาระไปหมดแล้ว” ติงโส่วซิ่นตบโต๊ะ เพื่อระงับความกระสับกระส่ายในใจ
“ท่านลุงใหญ่ ช่วงนี้มีเรื่องผิดปกติในครอบครัวของพวกเรา ทุกคนทยอยกันล้มป่วย เท้าของข้า ทั้งๆ ที่เดินไปอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็แพลงเสียได้ ซ้ำยังมีร้านของพวกเรา เหตุใดจู่ๆ จึงได้เกิดเรื่อง หนึ่งเรื่องบังเอิญก็แค่เรื่องบังเอิญ แต่ถ้ามีเรื่องโชคร้ายหลายเรื่องรวมกันมากมายขนาดนี้ คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วกระมัง”
หากฉินหลิวซีอยู่ที่นี่ยังต้องเอ่ยชม ก็ฉลาดดีอยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดต้อนนั้นจึงได้คิดสั้นไปแย่งของตระกูลฉินเสียล่ะ
ฮูหยินติงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “นายท่าน ศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าเหล่านั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีคนที่มีความสามารถจริงๆ การที่สามารถทำให้ผู้ตรวจการเซียวตอบแทนน้ำใจเช่นนี้ได้ เห็นได้ว่านักพรตผู้นั้นไม่ใช่นักต้มตุ๋นทั่วไป”
ต้องยอมรับว่าพวกเขาอยู่ห่างจากความจริงหากไม่ถึงสิบก็เก้าส่วนแล้ว
ติงโส่วซิ่นสีหน้าไม่แน่นอน
“เช่นนั้นควรทำอย่างไร หากทำไปแล้วจริงๆ พวกเราก็ไม่มีทางรู้เลย” นายหญิงสามติงแทบจะร้องไห้แล้ว
ติงเหล่าซานเอ่ย “พี่ใหญ่ เกรงว่าเรื่องนี้จะเป็นไปได้จริงๆ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าความศรัทธาของอารามชิงผิงจะแข็งแกร่งขึ้น ได้ยินคนพูดถึงความเก่งกาจของอาจารย์ในอารามเต๋าแห่งนั้นอยู่เป็นครั้งคราว ดูเหมือนว่าจะรู้วิชาแพทย์ด้วย ซ้ำยังทำการกุศล ก่อนหน้านี้ยังมีการแจกข้าวต้มกับรักษาโรคการกุศลด้วย”
ติงโส่วซิ่นหงุดหงิด “อารามชิงผิงก็ไม่ได้เพิ่งเปิดมาเพียงหนึ่งวันสองวัน นี่ก็หลายปีแล้ว อารามเต๋านั้นมีความสามารถจริงๆ หรือไม่ พวกเจ้าไม่รู้หรือ”
นายหญิงสามติงเหลือบมองนางติงผู้เฒ่า เอ่ย “ท่านลุงใหญ่ ท่านแม่นับถือศาสนาพุทธ คนที่นี่ส่วนใหญ่ก็ล้วนนับถือศาสนาพุทธ เวลาไปจุดธูปบูชาก็จะไปแค่วัดหรือสำนักแม่ชี เคยไปอารามเต๋าเสียที่ไหนกัน”
นี่กำลังตำหนิเขาหรือ
ติงโส่วซิ่นจ้องมองนางอย่างดุเดือด
ฮูหยินติงผู้เฒ่าสีหน้ามืดมน กลิ้งรูปประคำในมืออย่างรวดเร็ว เอ่ย “ไปหาคนมาดูจวนของเราว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่”
ติงโส่วซิ่นเอ่ย “เอาล่ะ อย่าทำอะไรโดยไร้ประโยชน์ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปหาที่จวน อย่างไรเสียก็ต้องยอมก้มหัวให้ กล่าวขอโทษอย่างนอบน้อม พวกเขาก็คงยอมให้อภัยอยู่กระมัง”
ทันใดนั้นฮูหยินติงผู้เฒ่าก็รู้สึกหดหู่
ตอนที่ตระกูลฉินมีอำนาจ ตระกูลติงของพวกเขาทำตัวนอบน้อมถ่อมตน ตอนนี้ตระกูลฉินล้มลงแล้ว พวกเขาก็ยังคงต้องทำตัวนอบน้อมถ่อมตนอยู่ นี่มันโชคชะตาแบบไหนกัน
เด็กสาวตระกูลฉิน ฮูหยินติงผู้เฒ่าหลับตาลง นึกถึงเด็กสาวนิสัยแปลกๆ ที่หวงแหนคำพูดราวกับทองคำที่นางได้พบในตอนนั้น ในใจแอบรู้สึกเกลียดชัง ช่างเป็นสุนัขที่ไม่เห่าแต่กัดไม่ปล่อยเลยจริงๆ
ฉินหลิวซี ‘เจ้าต่างหากที่เป็นสุนัข ตระกูลเจ้าทั้งตระกูลล้วนเป็นสุนัข!’
ติงโส่วซิ่นกลับมาที่ห้องด้วยความโกรธ สีหน้ามืดครึ้ม มองฮูหยินติงที่เดินตามเข้ามาแล้วจึงเอ่ย “เอาโฉนดร้านค้าที่ถนนหนานต้าในเมืองฝู่มาให้ข้า”
ฮูหยินติงตกตะลึง “นายท่านจะทำอะไรหรือ”
“หากจะไปขอโทษที่จวน ไม่มีสิ่งแสดงความจริงใจได้อย่างไร” ติงโส่วซิ่นกัดฟัน
ฮูหยินติงคิดในใจว่า ‘หากต้องการแสดงความจริงใจ เหตุใดไม่ใช้ทรัพย์สินส่วนตัวของท่าน ทำไมต้องเป็นร้านของข้า’
“นายท่าน คงไม่ถึงขั้นต้องให้ร้านในเมืองฝู่หรอกกระมัง พวกเขาก็ไปดูแลร้านที่นั่นได้ไม่สะดวก ไม่สู้ให้ร้านที่อยู่ในเมืองหลี ใช่ว่าตระกูลเราจะไม่มี” ฮูหยินติงทำใจให้ร้านนั้นไม่ได้ ร้านนั้นไม่ใหญ่ แต่อยู่ในทำเลที่ดี ผู้คนพลุกพล่าน ทำอะไรก็ล้วนแต่ได้กำไร
ติงโส่วซิ่นจ้องนาง “ให้เจ้าไปเอาก็เอามา อย่ามาคิดเล็กคิดน้อย เมื่อครู่นี้เจ้ายังบอกว่ามีเรื่องเกิดขึ้นในจวนอย่างต่อเนื่อง ถูกเขาสาปแช่ง หากไม่ให้ร้านที่ดีเช่นนี้ อยากจะโชคร้ายตลอดไปหรืออย่างไร ตอนนี้เป็นคนในจวนล้มป่วย หากเกิดอะไรขึ้นกับข้าจะทำอย่างไร ตอนนี้ผู้ตรวจการเซียวได้หมายหัวข้าไว้แล้ว นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องดี หากในภายภาคหน้าต้องการไต่เต้า เกรงว่าผู้ว่าการอำเภออื่นถูกปรับตำแหน่งแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงคราวข้า และเมื่อถึงคราวข้าก็อายุมากแล้ว ไหนเลยจะเหลือตำแหน่งดีๆ อยู่ ซ้ำเจ้ายังอยากได้ตำแหน่งฮูหยินขั้นสาม อย่าหวังเลย”
ฮูหยินติงขดตัว เอ่ย “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อติงโส่วซิ่นเห็นนางทำอะไรชักช้า ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดจึงเอ่ย “หลังจากตรุษจีน เจ้าไม่ต้องกลับเมืองฝู่แล้ว อยู่ดูแลที่บ้านเก่า”
“นายท่าน?” ฮูหยินติงสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
ติงโส่วซิ่นกล่าวด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “เจ้าก็เห็นแล้วว่าภรรยาของเจ้าสามคิดตื้นแค่ไหน เป็นคนไม่รู้ขอบเขต สนับสนุนให้ท่านแม่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง หากปล่อยให้นางสร้างปัญหาต่อไปเช่นนี้ ไม่แน่อาจจะนำหายนะมาสู่ตระกูลได้ เจ้าคอยดูอยู่ที่นี่ ประการแรกเพื่อปรนนิบัติท่านแม่ ประการที่สองเพื่อดูแลเรือน ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว”
“หากข้างกายท่านไม่มีคนปรนนิบัติจะทำอย่างไร”
“ให้สะใภ้เฝิงอยู่ข้างกายข้าก็พอแล้ว”
ฮูหยินติงโกรธจนบิดผ้าเช็ดหน้าเป็นเกลียว ในใจคิดว่ากล่าวไปกล่าวมาก็เพื่อที่จะส่งเสริมนางแพศยานั่น
“นายท่าน ท่านก็เห็นว่าบุตรชายกับม่านเหนียงและคนอื่นๆ ล้วนโตกันหมดแล้ว ข้าในฐานะแม่ ไม่ควรดูแลพวกเขาหรือ เรื่องนี้คงไม่สามารถมอบหมายให้สะใภ้เฝิงได้หรอกกระมัง ใช่เรื่องเสียที่ไหน” ฮูหยินติงระงับความโกรธพลางกล่าวว่า “หลังจากเหตุการณ์นี้ ข้าคิดว่าท่านแม่และคนอื่นๆ คงจะตระหนักได้แล้ว เพียงแค่กล่าวตักเตือนเจ้าสามและคนอื่นๆ อีกครั้งก็พอแล้ว”
ติงโส่วซิ่นขมวดคิ้ว เอ่ย “เรื่องนี้เอาไว้คุยกันทีหลัง ไปเตรียมของขวัญที่จะนำไปเยี่ยมในวันพรุ่งนี้ก่อน ข้าจะไปห้องหนังสือ”
ฮูหยินติงมองดูเขาจากไป สีหน้าบูดบึ้งด้วยความโกรธ กวาดถ้วยชาบนโต๊ะลงบนพื้น