บทที่ 900 ซักถาม
บทที่ 900 ซักถาม
ขันทีลู่ผู้ซึ่งกำลังขุ่นเคืองถอยออกไปเมื่อเห็นว่าจักรพรรดินีไม่โกรธเคืองอีก เขากลับไปที่มุมมืดอีกครั้งราวกับว่าไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
ซูอันอดไม่ได้ที่จะมองอีกครั้ง เขาสังเกตว่าขันทีกำลังมองดูจักรพรรดินีหลังม่านมุก ท่าทีไม่ดุร้ายเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้อีกต่อไป แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ซูอันอยากซื้อข้าวโพดคั่วมานั่งดูละครเรื่องนี้ มีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา! แต่ดูเหมือนขันทีจะหลงรักนางข้างเดียว
ซูอันอดไม่ได้ที่จะคิดว่าขันทีลู่ค่อนข้างโง่เขลา…
ต่อให้ผู้หญิงชอบเจ้ามากแค่ไหน ถ้าไม่สามารถมีลูกได้แล้วจะมีความหมายอะไร? ไม่ว่าเจ้าจะรักนางมากแค่ไหน ไม่น่าแปลกใจที่จักรพรรดินีไม่เคยให้ความสนใจกับเจ้ามากนัก
ขันทีลู่ถอนสายตาออก เขาสับสนเมื่อสังเกตเห็นซูอันจ้องมองมา ที่ใบหน้าของข้าคนนี้มีอะไรติดอยู่หรือไง?
บทสนทนาของจักรพรรดินีเปลี่ยนไปเป็นการเป็นงานมากขึ้น “ข้าได้ยินมาว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในวังตะวันออกวันนี้…” นางกล่าว
“พะย่ะค่ะ ซือคุน ที่ปรึกษาของรัชทายาทได้รับบาดเจ็บรุนแรงที่จุดสงวนระหว่างการละเล่นปาเป้า ทว่าแพทย์หลวงไม่สามารถช่วยชีวิตเขาไว้ได้” ซูอันกล่าวด้วยท่าทางเสียใจอย่างใหญ่หลวง เขารู้สึกประทับใจในตัวเองที่แสดงสมบทบาทเหมือนจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์
“การโยนความผิดให้แพทย์หลวงไม่ใช่ทางเลือกที่แย่” จักรพรรดินีหัวเราะคิกคัก “ข้าเชื่อว่าองค์หญิงรัชทายาทสอนให้เจ้าพูดแบบนี้ใช่ไหม?”
“ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงพะย่ะค่ะ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสอนกระหม่อมอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น” ยากที่จะเข้าใจว่าจักรพรรดินีกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นซูอันจึงไม่กล้าพูดความจริง
จักรพรรดินีมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ข้าหลงคิดว่าเจ้าเป็นคนกะล่อน ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีด้านที่หนักแน่นแบบนี้ด้วย”
“ขอบคุณฝ่าบาทที่ชมเชย” สีหน้าของซูอันมืดมน ทำไมดูเหมือนนางกำลังล้อเลียนเขา?
“เจ้าได้พบกับรัชทายาทมากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว เจ้ารู้สึกอย่างไรกับเขา?” จักรพรรดินีถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ซูอันไม่แปลกใจที่นางรู้ว่าเขาได้พบกับรัชทายาทมากกว่าหนึ่งครั้ง ในฐานะจักรพรรดินี มันคงจะไร้ความสามารถเกินไปหากนางไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวัง “บุคลิกนิสัยขององค์รัชทายาทนั้นมีความคล้ายคลึงกับบรรพบุรุษที่สง่างามของราชวงศ์โจว”
จักรพรรดินีสูดลมหายใจ “เจ้ากำลังตอบข้าแบบเดียวกับที่ตอบต่อองค์จักรพรรดิ ข้าต้องการคำตอบที่ตรงไปตรงมา!”
ซูอันพูดไม่ออกชั่วขณะ
ถ้าเจ้าอยากให้ข้าพูดความจริง ข้าก็จะบอกว่ารัชทายาทนั้นไม่ต่างจากคนปัญญาอ่อนและเป็นผู้ที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ แต่เจ้าจะยอมรับได้หรือไม่?
แต่ถ้าข้าพูดเช่นนี้เจ้าจะละเว้นโทษตายให้ข้าหรือเปล่า?
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นคำถามที่เขาไม่สามารถเพิกเฉยได้ เขาพูดอย่างรวดเร็วว่า “ถึงแม้พรสวรรค์ในการบ่มเพาะขององค์รัชทายาทจะไม่โดดเด่น แต่ด้านอื่น ๆ ที่เหลือไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีองค์หญิงรัชทายาทที่คอยช่วยเหลือพะย่ะค่ะ”
เป็นเรื่องปกติที่แม่ย่าและลูกสะใภ้จะเข้ากันไม่ได้ เจ้าเลี้ยงดูรัชทายาทมาก่อน ดังนั้นข้าจึงแน่ใจว่าความสัมพันธ์ของเจ้ากับนางไม่ค่อยดีนัก
เมื่อนางได้ยินคำว่า ‘องค์หญิงรัชทายาท’ จักรพรรดินีขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว “หลิงหลงมีความสามารถก็จริง แต่นางก็มีความทะเยอทะยานเกินไป รัชทายาทอาจกลายเป็นหุ่นเชิดของนาง”
ซูอันจ้องมองอย่างว่างเปล่าครู่หนึ่ง แม่นาง…ข้าเพิ่งพบเจ้า เจ้าพูดประโยคนี้กับคนแปลกหน้าแบบนี้ได้อย่างไร? หรือว่าความขุ่นเคืองของเจ้าที่มีต่อลูกสะใภ้ถึงระดับที่ควบคุมไม่ได้แล้ว…?
“สงสัยอยู่งั้นหรือว่าทำไมข้าถึงกล้าพูดกับเจ้าเช่นนี้?” จักรพรรดินีหัวเราะเยาะตัวเอง “เจ้าจะบอกเรื่องนี้กับองค์หญิงรัชทายาทหรือไม่?”
“เมื่อครู่พระองค์ได้พูดอะไรหรือเปล่าฝ่าบาท? กระหม่อมไม่ได้ยินอะไรเลย?” ซูอันตอบทันที
จักรพรรดินีจ้องมองเขาอย่างเงียบ ๆ
ขันทีลู่อดไม่ได้ที่จะมองเขาเช่นกัน คนที่โกหกหน้าด้าน ๆ เช่นนี้นี้มีอยู่จริงหรือ?
“เจ้าค่อนข้างหลักแหลม” จักรพรรดินีตอบพร้อมกับถอนหายใจ “แต่ไม่สำคัญว่าเจ้าจะบอกคนอื่นหรือไม่ อย่างไรเสีย นางก็รู้อยู่แล้ว”
ซูอันเริ่มรับรู้ข้อเท็จจริงในส่วนปลีกย่อยของราชวงศ์ ภายนอกดูเหมือนราชันลมปราณและรัชทายาทต่อสู้กันเพื่อชิงราชบัลลังก์ซึ่งมันน่าจะหมายความว่าจักรพรรดินีและองค์หญิงรัชทายาทควรอยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่ในความเป็นจริง เนื่องจากจักรพรรดินีไม่ใช่มารดาแท้ ๆ ของรัชทายาท แม้ว่ารัชทายาทจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ นางก็ยังอยู่ในตำแหน่งที่น่าอึดอัด
องค์หญิงรัชทายาทเป็นตัวแทนของตระกูลปี่ ในขณะที่จักรพรรดินีเป็นตัวแทนของตระกูลหลิว คงหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคตระหว่างทั้งสองตระกูลไม่ได้
คงจะดีถ้าองค์หญิงรัชทายาทเป็นคนอ่อนโยน แต่นางทั้งเอาแต่ใจและมีอารมณ์รุนแรง นี่คงเป็นเรื่องที่ไม่สบายใจอย่างยิ่งสำหรับจักรพรรดินี
จักรพรรดินีบอกเรื่องนี้กับข้าเพราะนางต้องการจะซื้อใจข้าหรือไม่? เพราะข้าเองถือได้ว่าเป็นคนของรัชทายาทแล้ว
“อย่าคิดให้มากไป” จักรพรรดินีกล่าว “สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้คือทำหน้าที่ให้ดี ซึ่งก็คือการปกป้องรัชทายาทและดูแลการศึกษาของเขา อย่าให้น้ำหนักกับสิ่งที่เจ้าได้ยินในวันนี้มากเกินไป”
ซูอันโค้งคำนับ “เข้าใจแล้วพะย่ะค่ะ”
“อ้อ อีกอย่าง วิชาวัฏจักรหงส์อมตะจะให้ความเป็นอมตะได้จริงไหม?” จักรพรรดินีถามทันที
ซูอันตกตะลึง เรื่องที่พูดก่อนหน้านี้เป็นเพียงข้ออ้าง นี่สิคือเป้าหมายที่แท้จริงของนาง! “จักรพรรดิทรงประกาศแล้วพะย่ะค่ะ ว่าไม่มีสิ่งที่เป็นอมตะในโลกนี้”
จักรพรรดินียิ้ม “เจ้าและข้าต่างก็รู้ว่าเขาพูดอย่างนั้นเพื่อโน้มน้าวมวลชนเท่านั้น นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าถามเจ้าเป็นการส่วนตัว”
“กระหม่อมได้ถวายวิชาวัฏจักรหงส์อมตะแก่องค์จักรพรรดิแล้ว” ซูอันตอบ “ถ้าองค์จักรพรรดินีอยากรู้ ทำไมไม่ลองถามฝ่าบาทดูด้วยพระองค์เอง”
สีหน้าของจักรพรรดินีเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางเคยถามจักรพรรดิเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาบอกนางว่าเคล็ดวิชาถูกจัดเก็บในรูปแบบการจารึกด้วยพลังจิตวิญญาณ และสามารถอ่านได้เพียงสามครั้งเท่านั้น ขันทีมี่เคยอ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง ซูอันเคยอ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง และจักรพรรดิได้อ่านอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เนื้อหาเคล็ดวิชาหายไปจึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่สามารถแสดงมันให้นางเห็นได้
ตอนนั้น นางคิดว่าพระสวามีของนางแค่ไม่อยากบอก นางจึงไม่กวนใจต่อไป อย่างไรก็ตาม ไม่มีทางที่นางจะรู้ว่า ‘หมวกแห่งการให้อภัย’ ของซูอันใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากใช้งานแล้ว มันจะกลายเป็นหมวกธรรมดา และเนื้อหาที่ถูกจารึกภายในของมันจะสลายหายไป
ซูอันได้อ้างเรื่องข้อจำกัดสามครั้งเพื่ออธิบายเรื่องที่เนื้อหาเคล็ดวิชาหายไปนี้ซึ่งมันสามารถโน้มน้าวจักรพรรดิอย่างมีสมเหตุสมผลได้ เขาไม่ได้คิดจะหลอกจักรพรรดินีด้วย
เมื่อขันทีลู่เห็นจักรพรรดินีเหม่อลอย เขาก็พูดขึ้นแทนนาง “เมื่อพระนางตรัสถามเจ้า ทำไมไม่ตอบ? พระนางเป็นคนตั้งคำถามเจ้า ไม่ใช่ให้เจ้าเป็นฝ่ายตั้งคำถามซะเอง!”
ซูอันเหยียดหยามอยู่ในใจ ต่อให้เจ้าจะแสดงบทอัศวินขี่ม้าขาวขนาดไหน นางก็ไม่สนใจเจ้าง่าย ๆ หรอก!
“วิชาวัฏจักรหงส์อมตะไม่ได้ทำให้เป็นอมตะพะย่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นองค์จักรพรรดิจะไม่ยอมให้กระหม่อมมีชีวิตอยู่”