คลื่นยักษ์ก่อตัวขึ้นในทะเลเลือดในทันใด
ลำแสงแห่งพระพุทธคุณจำนวนนับไม่ถ้วนส่องลงมาจากท้องฟ้า ตัดผ่านเมฆสีแดงสดลงไปถึงนรก
ปักษาสวรรค์โผบินขึ้นสู่ฟากฟ้า ดอกบัวต่างพากันบานสะพรั่ง ภาพทิวทัศน์อันเงียบสงบและงดงามของภูเขาซวีหมีปรากฏขึ้นเหนือเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ถูกปีศาจปิดล้อมเอาไว้
ดินแดนแห่งพระคันธหัสดินทร์โพธิสัตว์ปกคลุมไปด้วยดอกบัวบานนับอนันต์
มันเป็นภาพเดียวกันกับในอดีตตอนที่หงส์เพลิงกะเทาะเปลือกของตัวเองออกมา
ท่ามกลางสายลมกรรโชกนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่ใต้แสงสว่างพร้อมกับดาบวงพระจันทร์ในมือ แสงแห่งพระพุทธคุณเข้าปกคลุมร่างของนาง ก่อนจะก่อตัวขึ้นเป็นพระอรหันต์ยืนอยู่รายรอบนาง!
ขจัดซึ่งความอยุติธรรมให้หมดไปจากโลก
ชำระล้างบาปทุกประการบนโลกมนุษย์
มันคือหลักธรรมขั้นสูงสุดของสวรรค์ทั้งสามสิบสามชั้น
จากนั้นเสียงหงส์เพลิงขับขานก็ดังขึ้นจากทุกทิศทุกทาง
หนีเฟิ่งเซถอยหลัง ดวงตาของนางเบิกกว้างขณะเอ่ยว่า ”เป็นฝีมือต้นโพธิ์! เขาทิ้งร่างจริงและพระสารีริกธาตุของตัวเองไว้ที่นี่เพื่อดึงดูดแสงแห่งพระพุทธคุณหรือ เขากล้าโกหกข้าจริงๆ หรือ?! ไม่จริง! เขาเข้าใจผิดว่าข้าเป็นเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วทำไมพระสารีริกธาตุชิ้นนั้นถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้!”
หนีเฟิ่งกุมศีรษะด้วยความทรมาน แล้วจ้องเขม็งไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย เพียงพริบตาเดียว ดวงตาของนางก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดง
นางนึกถึงตอนที่นางยังอยู่ในพระพุทธศาสนาขึ้นมาได้ เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนางราวกับอยากจะฆ่าให้ตายเช่นเดียวกับในตอนนี้ และหั่นร่างอรหันต์ของนางด้วยการวาดดาบเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นนางก็ต้องทนทุกข์ทรมานถึงหนึ่งร้อยปีก่อนจะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง
แต่ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากคมดาบของหงส์เพลิงย่อมไม่สามารถเอาตำแหน่งเดิมในพระพุทธศาสนาของตัวเองกลับคืนมาได้
ตลอดระยะเวลาอันยาวนานนั้น ทั้งหมดที่นางทำได้มีเพียงแค่การรอคอยให้ต้นโพธิ์คิดหาหนทางให้นางได้เกิดใหม่เท่านั้น
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่ถูกวางไว้ และต้นโพธิ์ก็เข้าใจผิดคิดว่านางคือหงส์เพลิง
ดังนั้นนางจึงเริ่มร่างแผนการอันไร้ที่ตินี้ขึ้นมา
แต่หนีเฟิ่งเพิ่งตระหนักได้ในตอนนี้นี่เองว่าต้นโพธิ์กำลังใช้ประโยชน์จากแผนการของนางอยู่!
เพราะต้นโพธิ์ไม่เคยมีพระสารีริกธาตุของจริงอยู่ในร่างมาตั้งแต่แรก!
ที่สำคัญกว่านั้น ทำไมต้นโพธิ์ต้นเดียวถึงสามารถดึงดูดแสงแห่งพระพุทธคุณอันแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้ล่ะ
กระทั่งนางก็อาจจะทำเช่นนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่พระสารีริกธาตุของต้นโพธิ์กลับทรงพลังเสียจนทะลุลงไปถึงนรกได้!
นั่นเป็นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนาง!
ไม่ว่าตอนนี้หนีเฟิ่งจะดูน่าสงสารเพียงใด แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่มีวันที่จะยกโทษให้นาง เวลานี้เมื่อนางได้ร่างอรหันต์ของตัวเองกลับมาแล้ว ความเร็วของนางย่อมเร็วขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก
เพียงชั่วพริบตา!
ร่างของนางก็หายไป ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเบื้องหน้าหนีเฟิ่ง!
โครม!
นางยกขายาวขึ้นแล้วกระทืบลงไปอย่างแรง
หนีเฟิ่งพยายามใช้แสงแห่งพระพุทธคุณป้องกันตัว แต่นางก็ถูกถีบกระเด็นทันทีที่ยกมือขึ้น
อวัยวะทุกชิ้นภายในร่างของนางเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดแสน
ไม่ว่าจะในฐานะดอกบัวทองคำหรือในฐานะคุณหนูของตระกูลหนี นางก็ได้รับความเอาใจใส่จากทุกคนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด และไม่เคยต้องพบเจอกับความทุกข์ทรมานมาก่อน
แต่หงส์เพลิง นังผู้หญิงสารเลวคนนี้!
หนีเฟิ่งผุดลุกขึ้นและกำลังจะโต้ตอบ
แต่ทว่า!
ความเร็วของนางย่อมไม่สามารถเทียบชั้นกับหงส์เพลิงที่มีพลังเหนือภพภูมิทั้งหกได้
หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะว่านางใช้เวลาอยู่กับองค์ชายมากเกินไป
ก่อนหน้านี้เฮ่อเหลียนเวยเวยมักจะชอบการต่อสู้อันรวดเร็วและการเอาชนะคู่ต่อสู้ให้ได้ภายในหมัดเดียวมากกว่า
แต่ตอนนี้นางกลับเรียนรู้ที่จะทรมานศัตรูในระหว่างการต่อสู้!
นางจะเหยียบหนีเฟิ่งทุกครั้งที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น
หนีเฟิ่งกุมอกแน่นพร้อมกับกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ แต่จากนั้นนางก็หัวเราะอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยว่า ”เจ้าฆ่าข้าไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไร อย่างไรข้าก็มีวาสนาต่อพระพุทธศาสนา และตราบใดที่ยังมีดอกบัวอยู่บนโลกนี้ ข้าก็ย่อมสามารถเกิดใหม่ได้! หงส์เพลิง เจ้าอาจเป็นอมตะ แต่ข้าคือดอกบัวทองคำแห่งพระพุทธศาสนา! ตราบใดที่มีพระพุทธศาสนาอยู่ ข้าก็จะยังมีชีวิตได้เห็นแสงแห่งวันใหม่! เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะทำให้เจ้าได้ชดใช้ความทุกข์ทรมานและความอับอายที่ข้าได้พบเจอในวันนี้อย่างสาสม!”
แม้นางจะเอ่ยประโยคเหล่านั้นออกมาอย่างยากลำบาก แต่คำพูดทุกคำก็ยังคงชั่วร้ายเหมือนอย่างเคย
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ สีหน้าของนางติดจะเย็นชา จากนั้นจึงตอบว่า ”จะทำอะไรก็ตามใจ ตราบใดที่ข้ายังสนุกที่ได้อัดเจ้าเหมือนอย่างที่ข้ากำลังทำอยู่ตอนนี้ ข้าก็ไม่สนใจหรอกว่าในอนาคตเจ้าจะกลับมาหรือไม่ เพราะอย่างไรข้าก็จะอัดเจ้าอยู่ดี”
”เจ้า! เจ้า!” ท่าทางของนางยิ่งทำให้หนีเฟิ่งเดือดดาล นางโกรธมากเสียจนหายใจติดขัด นางกัดฟันแน่น และอยากกัดเฮ่อเหลียนเวยเวยให้ตายคาปากยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยข้ามบทสนทนาไร้สาระนั้นไปแล้วเตะนางเข้าอีกครั้ง
ใบหน้าของหนีเฟิ่งเต็มไปด้วยดินและโคลน ทั้งยังเปรอะไปด้วยเลือดจากบาดแผลทั้งหมดที่ได้รับ แม้นางจะลืมตาแทบไม่ขึ้น แต่นางก็ยังมองไปที่ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาเหนือมนุษย์ด้วยดวงตาอันพร่ามัวนั้น พร้อมกับแผดเสียงขึ้นว่า ”ตี้จวิน! ดูหงส์เพลิงสิเจ้าคะ! ท่านยังอยากได้นางอยู่หรือ หลังจากได้เห็นใบหน้าอันชั่วร้ายของนางแล้วเช่นนี้ ท่านยังอยากได้นางอยู่อีกหรือเจ้าคะ นางไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่ท่านชอบเลยแม้แต่นิดเดียว!”
หลังจากได้ยินสิ่งที่นางพูด ในที่สุดไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หันไปมองนาง
แต่สายตาของเขากลับเย็นชาราวกับมีดน้ำแข็งในแม่น้ำที่ถูกแช่แข็ง สายตาคู่นั้นเย็นเฉียบจนคนที่ถูกมองต้องหลบตาโดยไม่รู้ตัว
”ข้าชอบเห็นมือนางเปื้อนเลือด” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดพร้อมกับยกมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้นจูบ จากนั้นจึงหัวเราะและถามว่า ”สนุกพอหรือยัง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้า นางรู้สึกเสมอว่ามีอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้นขององค์ชาย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยบีบมือนาง แล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า ”ช่างมันเถอะ อย่างไรวิธีสอนบทเรียนคนอื่นของเจ้าก็ยังใช้การไม่ได้เอาเสียเลย”
ทีแรกจูเก่ออวิ๋นคิดว่าเขาพูดเช่นนี้เพราะต้องการยั่วโมโหหนีเฟิ่งจริงๆ
แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ เพราะประโยคถัดไปของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคือ ”เจ้าตีเบาเกินไป”
จูเก่ออวิ๋นกลืนน้ำลาย แล้วชำเลืองมองใบหน้าที่อาบไปด้วยเลือดของหนีเฟิ่ง นี่เรียกว่าตีเบาเกินไปหรือ
นางเกือบฆ่านางไปแล้วด้วยซ้ำ!
ความคิดของเทพไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ปุถุชนเช่นเราจะสามารถทำความเข้าใจได้จริงๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคุยกับเฮ่อเหลียนเวยเวยต่อด้วยท่าทางสบายๆ ”ข้าไม่เคยต่อยตีผู้หญิง ดังนั้นคงแสดงตัวอย่างที่ดีให้เจ้าดูไม่ได้ แต่ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเอาวาสนาที่นางมีกับพระพุทธศาสนานั่นออกมาจากร่างของนาง แล้วป้อนให้สุนัขกินแทน”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : นี่มัน… แย่กว่าการต่อยตีนางอีกมิใช่หรือ ไม่สิ มันโหดเหี้ยมยิ่งกว่าการฆ่านางเสียอีก!