เป็นอย่างที่คิด สีหน้าของหนีเฟิ่งเปลี่ยนไปในพริบตาทันทีที่นางได้ยินว่าเขาจะตัดวาสนาทางพระพุทธศาสนาไปจากนาง
นางคิดที่จะขอความเมตตาจากเขา แต่นางเพิ่งรู้สึกตัวว่านางพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว!
ปีศาจจำนวนมหาศาลปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของชายหนุ่มราวกับคลื่นในมหาสมุทร หมอกสีดำหนาแน่นเข้าปกคลุมร่างของนางเอาไว้ แล้วฉีกกระชากแขนขาของนางออกเป็นชิ้นจนนับไม่ถ้วน
เจ็บ
นั่นคือความรู้สึกเดียวที่นางเหลืออยู่
ตาคู่สวยของนางเต็มไปด้วยน้ำตาขณะที่นางมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย หวังว่าจะได้รับความเห็นใจแม้เพียงเสี้ยวเดียวจากเขา
แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้มองมาที่นางด้วยซ้ำ
เขากำลังพูดกับเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า ”ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าจะค่อยๆ แก้แค้นพระพุทธศาสนาในสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติต่อเจ้าในเวลานั้น”
ตอนที่เขามองดูอดีตผ่านทางกระจกวิเศษบานนั้น
นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้สัมผัสกับความรู้สึกเกลียดชังอันรุนแรง
เขาเกลียดตัวเองที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างนาง
นางเป็นคนเย่อหยิ่ง แต่กลับต้องถูกบีบให้ตกอยู่ในสถานการณ์อันสิ้นหวังเช่นนั้น
มีเพียงการตัดวาสนาทางพระพุทธศาสนาของนางเท่านั้นที่จะสามารถทำให้นางหลุดพ้นจากการแต่งงานที่คนพวกนั้นเตรียมไว้ให้ได้
การเกิดใหม่ย่อมทรมานอย่างแสนสาหัสสำหรับนาง
เขาอยากคืนความทรมานทั้งหมดที่นางต้องเผชิญให้กับคนพวกนั้น!
เขาไม่ใช่คนใจดีมาแต่ไหนแต่ไร นับประสาอะไรกับหลังจากที่ร่วงหล่นจากสวรรค์!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ตาลงระหว่างมองดูปีศาจพวกนั้นกระชากผมของหนีเฟิ่งอย่างบ้าคลั่ง
แสงแห่งพระพุทธคุณดวงแล้วดวงเล่าพุ่งออกมาจากร่างของนาง ก่อนจะถูกบรรดาปีศาจกลืนลงไปทันที!
วาสนาต่อพระพุทธศาสนา…
วาสนาต่อพระพุทธศาสนาของข้ากำลังถูกพวกมันกิน…
หนีเฟิ่งนิ่งเงียบเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ท้ายที่สุดใบหน้าที่แท้จริงของนางก็ถูกเปิดเผยหลังจากสูญเสียการคุ้มครองนั้นไป
เหลือเพียงแต่ร่างของผู้หญิงที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยช้ำเลือดช้ำหนองราวกับซากศพ และจิตใจที่ถูกปราณแห่งความเคียดแค้นกัดกร่อน นางทั้งอัปลักษณ์และน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหลายคนทนไม่ไหว พวกเขาถึงกับอาเจียนออกมาเมื่อเห็นใบหน้าของนาง
หนีเฟิ่งเห็นหน้าตัวเองแล้วเช่นกัน นางผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกรีดร้องออกมาราวกับคนเสียสติ
นางรับไม่ได้ที่นางอัปลักษณ์ถึงเพียงนี้!
นางคือดอกบัวทองคำแห่งพระพุทธศาสนา และเป็นอรหันต์ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดคนหนึ่ง
นางอยู่กับความงดงามมาทั้งชีวิต ดังนั้นนางจึงไม่สามารถยอมรับรูปลักษณ์นี้ได้ แม้ในตอนนี้ที่นางกำลังจะสิ้นใจก็ตาม
ข้าจะแพ้ทั้งแบบนี้ไม่ได้!
แต่แม้กระทั่งวาสนาต่อพระพุทธศาสนาของนางก็ยังถูกพรากจากไป
นางไม่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์และบรรลุสู่การเป็นอรหันต์ได้อีกต่อไป
เวลานี้ แม้แต่จะกลายเป็นวิญญาณ นางก็ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
”กรี๊ด!” หนีเฟิ่งกรีดร้องออกมาเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นนางก็ละลายกลายเป็นแอ่งน้ำสีดำ และถูกเพลิงนรกแผดเผา
ตอนนั้นเอง ทุกคนจึงตระหนักได้ว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายหงส์เพลิงน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหลายคนที่เคยเข้าไปในสุสานหลวงพร้อมกับเฮ่อเหลียนเวยเวยเหงื่อแตกพลั่ก พวกเขาแอบรู้สึกขอบใจตัวเองที่ทำตัวสุภาพกับชายคนนี้ตอนที่อยู่ในสุสาน
ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่ เขาสามารถเปิดประตูนรกได้อย่างไร
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายต่างมองหน้ากันด้วยความสับสน หลังจากหนีเฟิ่งถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว บรรดาผู้อาวุโสของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็เดินเข้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสีหน้ารู้สึกผิดอย่างรุนแรง พวกเขาอยากแก้ตัวกับนาง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
พวกเขาอยากตบหน้าตัวเองด้วยความอับอายเหมือนอย่างที่ผู้อาวุโสหลี่ทำก่อนหน้านี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้สนใจพวกเขา แล้วหรี่ตาลงมองไปยังทิศทางที่มีเมฆสีดำก่อตัวขึ้นไม่ไกล
แม้ว่าอาคมเปลี่ยนชะตาอันขัดต่อธรรมชาตินี้จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่เสียงร้องโหยหวนจากบรรดาภูตผีวิญญาณนับร้อยกลับยังไม่ได้หยุดลง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คนเป็นจะกลายเป็นคนตาย คนตายจะกลับมาเป็นคนเป็น ภพภูมิทั้งหกคงได้จมลงสู่ความโกลาหลอย่างแน่นอน!
จะไม่มีเด็กคนใดได้เกิด!
ไม่ได้การ ข้าจะต้องป้องกันไม่ให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น และจะต้องส่งวิญญาณนับร้อยตนพวกนี้กลับไปในที่ของมันให้จงได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนเด็ดขาดในการกระทำ ดังนั้นนางจึงเข้าไปยืนอยู่ในแสงแห่งพระพุทธคุณอันสว่างไสว และพนมมือเข้าหากันพร้อมกับเอ่ยว่า ”ทหารประจัญหน้า ขจัดความชั่วร้าย!”
หลังจากสิ้นสุดการร่ายคาถาเก้าอักขระ พระสารีริกธาตุของต้นโพธิ์ที่ยังลอยอยู่ในเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงก็พุ่งตัวออกไปเหมือนกับดาวตก มันทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าเมื่อได้ยินเสียงผิวปากของหงส์เพลิง และลอยตรงเข้าไปในทะเลเลือดที่เต็มไปด้วยวิญญาณร้าย
ปากของบรรดาวิญญาณร้ายที่กำลังร้องครวญครางอยู่ปิดเข้าหากันทันทีราวกับสัมผัสได้ถึงกลิ่นที่คุ้นเคย!
เสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตดังกึกก้องขึ้นจากสวรรค์ชั้นที่เก้า ในที่สุดวิญญาณร้ายเหล่านั้นก็ได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง
กลิ่นนั้นคือกลิ่นของธูปที่ถูกจุดขึ้นบนภูเขาซวีหมีเพื่อปลอบประโลมวิญญาณของผู้ตกทุกข์ได้ยาก
คาถาเก้าอักขระแปรสภาพกลายเป็นผนึกพลังธรรมะขนาดมหึมา และลอยลงมาเหมือนกับแสงแห่งพระพุทธคุณ ไม่ใช่เพียงแค่วิญญาณร้ายในทะเลเลือด แต่กระทั่งปีศาจที่อยู่รอบเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็ยังเริ่มพากันหนีเอาตัวรอดจากสิ่งนั้น
ค่ายกลอาคมที่ทรงพลังที่สุดที่พวกมันเคยเห็นคือคำสาปศักดิ์สิทธิ์ขับไล่วิญญาณร้าย นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ขังพวกมันเอาไว้ใต้ผิวโลกมากว่าห้าร้อยปี!
แต่ผนึกพลังธรรมะในครั้งนี้กลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าคำสาปศักดิ์สิทธิ์ขับไล่วิญญาณร้ายเสียอีก
พวกมันได้ยินเสียงแห่งพระพุทธศาสนาแทรกเข้ามาถึงในพลังปีศาจของตัวเอง เสียงนั้นไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพียงแค่กำจัดพวกมัน แต่ยังช่วยปลดปล่อยวิญญาณของพวกมันให้เป็นอิสระอีกด้วย
แสงแห่งพระพุทธคุณสว่างเจิดจ้าอยู่กลางทะเลเลือด
พวกมันได้ยินเสียงจากพระพุทธศาสนาก้องกังวานไปทั่วอากาศว่า ”อมิตาพุทธ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่ตรงนั้น ชุดของนางปลิวไสวอยู่ในสายลม ดอกบัวบานทุกครั้งที่นางก้าวเดิน
มันเป็นภาพที่งดงามและไม่เคยปรากฏขึ้นบนโลกมนุษย์มาก่อน ดอกไม้แห่งพระอรหันต์เบ่งบานอย่างงดงามตามเส้นทางที่นางเดินผ่านราวกับจะสามารถชำระล้างปราณแห่งความเคียดแค้นทั้งหมดให้หายไปได้
ทุกคนรู้ว่านี่คือสัญญาณแห่งการกลับคืนสู่พระพุทธศาสนา
ในที่สุดหงส์เพลิงที่แท้จริงก็กลับมาแล้ว!