หลังจากหยุดพักกันที่ทุ่งดอกไม้นิดหน่อย พวกเขาก็ควบม้าต่อไปอีกครั้ง
ภูเขาเทโอร็อกซึ่งว่ากันว่ามียอดสูงเขาที่สุดในบรรดาทุกพื้นที่ของจักรวรรดิกันเกรฟ ในที่สุดตอนนี้ก็เห็นมันตระหง่านอยู่ตรงหน้าอย่างยิ่งใหญ่ตระการตาแล้ว หากจะขึ้นไปให้ถึงยอดเขาก็จำเป็นต้องเตรียมอุปกรณ์ให้เหมาะสม แต่ถ้าจะแค่ควบม้าขึ้นไปถึงชั้นที่ห้าก็คงไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรถึงขนาดนั้นกระมัง
ได้วิ่งไปพร้อมกับฟาลโกซึ่งเปลี่ยนแปลงความเร็วในการวิ่งตามที่ออกคำสั่งอย่างเชื่อฟัง เฮเลนารู้สึกเหมือนได้กลายเป็นสายลมวูบหนึ่งที่พัดผ่านทะลุป่าไปได้เลย
พวกเขาใช้เส้นทางสำหรับนักท่องเที่ยวปีนเขาซึ่งตัดผ่านด้านข้างหมู่บ้านตรงตีนเขา แล้วก็เริ่มเดินขึ้นเขาเทโอร็อก
เส้นทางไปจนถึงชั้นที่สองนั้นมีการสร้างถนนซึ่งกว้างพอให้รถม้าวิ่งผ่านอยู่แล้ว แม้มันจะมีความลาดชันอยู่บ้างแต่ก็คงปีนขึ้นไปได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร
“เป็นภูเขาที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ”
“นั่นสินะคะ”
“พอมองดูภูเขาแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเราเป็นตัวตนที่เล็กจ้อยแค่ไหน ถ้าเป็นไปได้เราเองก็อยากจะเป็นบุรุษที่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดเหมือนกับภูเขาลูกนี้เหมือนกันนะ”
ฟาร์มาสกล่าวเหมือนตำหนิตัวเองเบา ๆ
ฟาร์มาสผู้แบกรับประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในผืนทวีปซึ่งชื่อว่าจักรวรรดิกันเกรฟเอาไว้บนแผ่นหลัง หากมองจากมุมของเฮเลนา เขาก็เป็นชายที่ยิ่งใหญ่เหลือเฟือแล้ว ทว่าดูเหมือนทิวทัศน์ของภูเขาที่ยิ่งใหญ่ตระการตานี้จะไปจี้ถูกจุดอะไรบางอย่างในใจของเขา จนทำให้เขาทอดถอนใจออกมาเฮือกใหญ่
“ฝ่าบาท จากจุดนี้ไปทางจะแคบลงแล้วครับ โปรดระมัดระวังด้วย”
“อืม”
แม้จะบอกว่ามีถนนบนภูเขาที่จัดทำไว้แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีจุดที่ขยับตัวได้ลำบากอยู่เหมือนกัน
หลังจากผ่านชั้นที่สองมาแล้ว รถม้าก็จะไม่สามารถปีนต่อไปได้อีก เส้นทางจะกว้างแค่หากขี่ม้าก็ยังพอผ่านไปได้อยู่เท่านั้นเอง หากขี่ม้าพยศที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งมาก็มีโอกาสที่จะก้าวพลาดพลั้งจนตกเขาไปได้
ถึงกระนั้นก็ตามที ซิลวาม้าคู่ใจของฟาร์มาสและฟาลโกที่เฮเลนาขี่อยู่ก็เป็นม้าที่มีนิสัยสงบและฉลาด มันคงไม่อาละวาดจนพลัดตกไปอยู่แล้ว
“ท่านฟาร์มาส เคยปีนเขาเทโอร็อกมาก่อนหรือเปล่าคะ?”
“ไม่น่ะ นี่เป็นครั้งแรก ถึงจะเคยได้ฟังเรื่องราวมาหลายครั้งแล้วก็เถอะ”
“เช่นนั้นให้ข้าควบม้านำหน้าเถอะค่ะ ข้าเคยขึ้นเขามาหลายหนแล้ว”
ถึงส่วนใหญ่จะมาเพื่อจับโจรหรือทำภารกิจอะไรทำนองนั้นก็เถอะ
อย่างไรก็ตามเธอก็ยังจำประสบการณ์เหล่านั้นได้ไม่มากก็น้อย จำได้ว่าจุดไหนบ้างที่อาจมีอันตราย
แทนที่จะให้ฟาร์มาสควบม้านำหน้า สู้ให้เฮเลนานำน่าจะดีกว่า
ทว่าเมื่อได้ฟังข้อเสนอของเฮเลนาดังนั้น ฟาร์มาสก็ส่ายหน้า
“ไม่ได้หรอก”
“เอ๋……”
“เราเป็นคนชักชวนเจ้ามาเอง จะให้เราไม่คอยพิทักษ์นำทางเจ้าได้อย่างไรเล่า”
“ร เรื่องนั้นมัน……”
พอได้ยินแบบนั้น ก็น่าแปลกที่เธอรู้สึกเคอะเขินขึ้นมาซะเฉย ๆ
ฟาร์มาสคือจักรพรรดิผู้กุมอำนาจสูงสุดในอาณาจักรนี้ ที่สำคัญเขายังอายุอ่อนกว่าเฮเลนาตั้งสิบปี เฮเลนาเข้าใจดีว่าเขากำลังแสดงว่ารักใคร่โปรดปรานเธอให้คนรอบข้างเห็นอยู่เพราะมีแผนการทางการเมือง
ทว่าฟาร์มาสเองก็เป็นบุรุษคนหนึ่ง
ถึงเขาจะอ่อนแอกว่าตัวเธอเองมาก แต่มันคงหาได้ยากที่สตรีคนไหนได้ยินบุรุษกล่าวเช่นนั้นแล้วจะไม่รู้สึกหวั่นไหว
“แต่ว่าก็ดูอันตรายนิดหน่อยจริง ๆ แฮะ ลดความเร็วกันสักนิดดีกว่า”
“ค่ะ”
เมื่อเจอกับเส้นทางที่เริ่มแคบลงเรื่อย ๆ ฟาร์มาสจึงกล่าวเช่นนั้นและลดความเร็วลง
ทางด้านขวาเป็นกำแพงสูงลิบ ส่วนด้านซ้ายก็เป็นหน้าผาสูงชัน อย่างน้อยหากพลาดตกลงไปทางด้านซ้ายก็อาจถึงชีวิตได้เลยทีเดียว
แต่ก็ได้ยินมาว่าพวกนักปีนเขาแบบจริงจังเขาจะปีนขึ้นกำแพงทางด้านขวากันนะ
พวกเขาควบม้าเดินหน้าไปด้วยความเร็วที่ช้ายิ่งกว่าคนวิ่งซะอีก
ดวงตะวันยังขึ้นไม่ถึงกลางฟ้า ดูแล้วน่าจะเป็นเวลาก่อนเที่ยง หากความทรงจำของเฮเลนาถูกต้อง นี่ก็น่าจะใกล้ถึงชั้นที่ห้าแล้ว
และเมื่อพ้นชั้นที่ห้าไปก็จะไม่สามารถควบม้าขึ้นไปต่อได้อีก
“โอ้……”
หลังจากเดินผ่านเส้นทางแคบ ๆ เช่นนั้นมาได้สักครู่ใหญ่ พวกเขาก็มาถึงสถานที่ซึ่งเปิดโล่งออกในที่สุด
แม้จะยังมีหน้าผาสูงชันอยู่เหมือนเดิม แต่ทิวทัศน์ตรงหน้านั้น คือมุมมองที่กวาดตาไปก็เห็นป่าพาทาจซึ่งเป็นสีเขียวขจีอันยิ่งใหญ่กับทุ่งหญ้าซึ่งอยู่ถัดจากนั้นไป และมองเห็นนครหลวงได้พร้อมกันในทีเดียว
ฟาร์มาสซึ่งคงจะเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ได้ส่งเสียงแสดงความประทับใจออกมา
“เป็นทิวทัศน์ที่ดีนะคะ”
“อา……มันยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้เอง ควรค่าที่จะได้เห็นสักครั้งอย่างที่เขาว่าจริง ๆ”
“จากตรงนี้ไปขี่ม้าขึ้นต่อไปไม่ได้แล้วค่ะ จะหยุดพักกันตรงนี้ไหมคะ?”
“เอาแบบนั้นเถอะ นี่ก็ได้เวลาเที่ยงพอดีเลย มารับประทานอาหารกันดีกว่า”
เธอลงจากหลังม้าพร้อมกับฟาร์มาส ก่อนจะสูดอากาศสดชื่นของภูเขาสูงให้เต็มปอดพลางชมดูทิวทัศน์ไปด้วย
ทิวทัศน์นี้ซึ่งทำให้แม้แต่พระราชวังก็ยังดูเล็กนิดเดียว ตอนที่เฮเลนาได้เห็นครั้งแรกเธอก็ประทับใจเหมือนกัน
ทั้งสองนั่งลงบนผ้าที่เกรเดียช่วยปูให้ แล้วก็เปิดดูตะกร้าซึ่งได้รับมา
ภายในนั้นมีแซนวิชหลากหลายแบบเรียงรายกันอยู่
ทั้งสองคนนำกระติกน้ำที่มีชาซึ่งหายร้อนไปแล้วออกมาดื่มกัน และต่างคนต่างก็เริ่มกินอาหาร
“……อืม อร่อย”
“นั่นสินะคะ”
“การได้ออกมาเที่ยว แล้วกินอาหารพลางชมทิวทัศน์ไปด้วย มันทำให้อร่อยถึงขนาดนี้เชียวหรือ…… ไม่ไหวเลยแฮะ ชักรู้สึกเกลียดความคิดสั้นของตัวเราเองที่ดันนึกไม่ถึงเรื่องให้เจ้าทำอาหารให้มาก่อนซะแล้วสิ”
“ข้าก็ไม่ได้มีฝีมืออะไรขนาดนั้นนะคะ……”
ไม่รู้ทำไมแต่ดูเขาจะตั้งความคาดหวังกับอาหารที่เฮเลนาทำไว้สูงขึ้นเรื่อย ๆ
ถ้าคาดหวังกันซะขนาดนั้น เธอก็ยิ่งทำของห่วย ๆ ออกมาไม่ได้แล้วน่ะสิ
“อา จะว่าไปแล้ว……ได้ยินมาจากเสด็จแม่น่ะ”
“คะ?”
“พรุ่งนี้เช้า เสด็จแม่บอกว่าจะส่งตัวแองเจลิกาไปที่วังหลัง อยากให้ช่วยฝึกเธออย่างจริงจังเต็มที่หน่อยน่ะ”
“ค่ะ รับทราบแล้ว แต่ว่า……”
“มีอะไรรึ?”
จะว่าไปแล้วเธอยังไม่ได้พูดเรื่องนี้กับฟาร์มาสเลย
บู้ตแคมป์สำหรับพวกแองเจลิกาที่จะเริ่มขึ้นเช้าวันพรุ่งนี้ ตอนนี้เธอวางแผนว่าจะจัดการฝึกเป็นเวลาเต็มหนึ่งเดือน
และในระหว่างนั้น หากฟาร์มาสมาเยือน มันอาจนำไปสู่ความออดอ้อนเหลาะแหละของแองเจลิกาได้
“ท่านฟาร์มาสคะ ในส่วนของการจัดการฝึกให้ท่านแองเจลิกา ข้ามีเรื่องจะขอร้องค่ะ”
“ลองว่ามาสิ”
“ในเวลาหนึ่งเดือน อยากจะขอให้ได้โปรดงดเว้นการมาเยือนวังหลังด้วยค่ะ”
“มุ……”
ฟาร์มาสมีสีหน้าบอกบุญไม่รับเล็กน้อย
นั่นมันก็เป็นธรรมดากระมัง ในความเป็นจริงแล้ววังหลังคือสถานที่ซึ่งคงอยู่เพื่อฟาร์มาส การที่ไปบอกไม่ให้เขามาเยือนมันก็แค่การเอาแต่ใจของเฮเลนาเท่านั้นเอง
ทว่า ฟาร์มาสก็ได้หลับตาลงและถอนใจเบา ๆ
“เรื่องนั้น เราก็พอได้ฟังมาจากเสด็จแม่มาบ้างแล้วล่ะ”
“อ๊ะ……เช่นนั้นหรือคะ”
“ก็จริงอยู่ว่า หากทำทุกอย่างในวังหลังทั้งหมดรวมถึงนอนค้างคืนด้วย แองเจลิกาก็จะไม่มีใครให้พึ่งพา ได้ยินมาว่าหากเราไปเยือน มันอาจนำไปสู่ความเหลาะแหละของเธอได้”
“ค่ะ……”
“ดังนั้นคำขอของเจ้า……เราจะยอมรับก็แล้วกัน อย่างไรเสียก็เป็นทางฝ่ายนี้เองที่ขอให้ทำเรื่องยาก ๆ ตั้งแต่แรก หากการที่เราไม่ไปเยือนหนึ่งเดือนมันจะนำไปสู่การสั่งสอนเธอได้เราก็ไม่มีข้อโต้แย้ง ในทางกลับกันเราจึงได้ตัดสินใจว่าจะห่างนครหลวงไปเป็นระยะเวลานานหน่อย”
“งั้นหรือคะ?”
เพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรกนี่แหละ
หากฟาร์มาสออกห่างจากนครหลวงไปเป็นระยะเวลานาน ๆ มันจะไม่มีปัญหาทางการเมืองการปกครองหรือไงนะ
ถึงแม้เฮเลนาจะคิดยังไงก็คงไม่เข้าใจก็เถอะ
“โนลด์ลุนด์กับพวกกังฉินที่คอยเลียแข้งเลียขามันอยู่ เราตั้งใจจะกวาดล้างพวกมันให้หมด”
“ค่ะ”
“ทว่าเจ้าพวกนั้นมันก็อยู่ในใจกลางของการเมืองการปกครองด้วย หากกวาดล้างไปพร้อม ๆ กันทั้งหมดก็คงเกิดปัญหาในการปกครองขึ้นมาเป็นแน่ เพราะอย่างนั้นเราจึงต้องรวบรวมลูกน้องที่สามารถทำให้บ้านเมืองดำเนินต่อไปได้โดยไม่มีปัญหาหลังจากการกวาดล้างเอาไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้ การจะทำเช่นนั้นก็มีบางกรณีที่ต้องเดินทางออกไปไกล ๆ เหมือนกัน ดังนั้นเรากะว่าจะใช้โอกาสนี้จัดการให้เรียบร้อยไปซะในทีเดียวเลย”
“เช่นนั้นหรือคะ”
อืม ไม่เข้าใจอ่ะ
‘อย่างน้อยที่สุดขอให้ได้อัดไอ้โนลด์ลุนด์สักเปรี้ยงก็พอ’ เฮเลนาคิดก่อนจะโยนการใช้สมองทิ้งไป
“ระหว่างที่เราไม่อยู่ เราได้ฝากฝังไว้ให้แอนตันเป็นคนจัดการทุกอย่าง นี่ก็เพื่อแสดงท่าทีให้คนภายนอกเห็นว่าแม้เราจะไม่โปรดปรานแอนตัน แต่ก็ยังเชื่อใจเขาในฐานะบิดาของธิดาคนโปรดน่ะนะ”
“อย่างนี้นี่เอง”
แม้ปากจะตอบไปเช่นนั้น แต่แน่นอนว่าเฮเลนาไม่เข้าใจอะไรสักนิด
“แต่ว่า นะ……”
ฟาร์มาสชายตามองเกรเดีย
พอเห็นดังนั้น เกรเดียก็หันหลังให้ฟาร์มาสก่อนจะนั่งลงทั้งแบบนั้น
เหมือนกำลังแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ‘ไม่ได้มองอยู่นะครับ’
“อ เอ่อ……ท่านฟาร์มาสคะ?”
“หนึ่งเดือนนั้นยาวนาน แค่คิดว่ามันจะเป็นหนึ่งเดือนที่ไม่ได้พบหน้าเจ้า ก็ทำให้เราขมขื่นขึ้นมาเสียเดี๋ยวนี้แล้ว”
“ร เรื่องนั้น……”
หนึ่งเดือน
ตลอดระยะเวลานั้น ฟาร์มาสจะไม่มาเยือนเลย
ว่าไปแล้วมันก็—ยาวนานจริง ๆ
“ทว่าวางใจเถอะนะ เฮเลนา”
“เอ๋?”
“สิบแปดปี เทียบกันแล้วเวลาแค่นี้มันไม่หนักหนาอะไรนักหรอก”
เมื่อได้ยินถ้อยคำที่ไม่เข้าใจว่าจะสื่ออะไร เฮเลนาก็อดคิ้วขมวดไม่ได้
ถ้าพูดถึงสิบแปดปีก่อน เฮเลนาก็เพิ่งจะอายุสิบปี แล้วมันยังไงกันเล่า
ฟาร์มาสเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้เฮเลนา
“ต้องใช้เวลาถึงสิบแปดปีกว่าเราจะได้มาพบพานกับเจ้า เทียบกันแล้ว หนึ่งเดือนมันก็เหมือนชั่วพริบตา”
สิบแปดปี—นั่นก็คือช่วงเวลาตั้งแต่ที่ฟาร์มาสได้เกิดมาจนกระทั่งมาพบกับเฮเลนา
ในชั่ววินาทีที่เข้าใจได้ดังนั้น
ระยะห่างระหว่างทั้งสองก็หายไป และริมฝีปากของทั้งคู่ก็ได้ซ้อนทับกันท่ามกลางทิวทัศน์อันยิ่งใหญ่นั้นเอง