ณ ภูเขาหยุนอู่ บนยอดเขาสูงที่รายล้อมไปด้วยเมฆหมอก ในเส้นทางคดเคี้ยวกลางป่า ท่ามกลางเนินเขาที่สูงชันและอันตรายมาก
ชายหนุ่มอายุประมาณสิบห้าถึงสิบหกปีกำลังเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว เขาสวมเสื้อคลุมหนังเสือ ด้านหลังแบกขวานขนาดใหญ่ที่หนักถึงห้าสิบกิโลกรัม เขากำลังวิ่งผ่านเส้นทางกลางป่า ขณะที่กำลังวิ่งอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ยันมือขวาลงพื้น ออกแรงดีดให้ร่างกายตีลังกาข้ามผ่านเหวลึก ทำให้หินที่อยู่รอบๆ สั่นสะเทือนแล้วร่วงหล่นอย่างต่อเนื่อง
“อ๊าก!”
ชายหนุ่มชูขวานในมือขึ้นพลางยืดตัวตรง ทันใดนั้น แรงมหาศาลถูกส่งออกมาจากช่วงท้อง เพียงชั่วพริบตาขวานก็ถูกเหวี่ยงออกไปแล้ว
“ตูม!”
ขวานในมือพุ่งตรงไปข้างหน้า ลอยฝ่าอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว โครม เมื่อลอยออกไปไกลหลายสิบเมตร มันก็ร่วงลงบนพื้น แม้เสือชีตาห์ตัวหนึ่งจะหนีไปได้ด้วยความโชคดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็สร้างความหวาดผวาแก่มันมากเช่นกัน มันรีบเร่งความเร็วเพื่อหนีเอาชีวิตรอด แล้วพุ่งลงไปจากผาหินชัน
ชายหนุ่มหรี่ตาลงจนกลายเป็นเส้นโค้งเล็กๆ ฟันที่แข็งแรงขบกัดแน่น ใบหน้าที่เย็นยะเยือกก็พลันเปลี่ยนเป็นโมโห ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะกระโดดตามลงไป จู่ๆ ก็มีมือใหญ่ของใครบางคนพุ่งมาคว้าร่างของเขาอย่างรีบเร่ง
“ท่านพ่อ รีบปล่อยข้าเร็ว” ชายหนุ่มเงยหน้ามองไปยังหลงอีผู้เป็นบิดา ซึ่งมีร่างใหญ่กำยำ เขามีคิ้วเข้มตาโต ใบหน้าเย็นชา เปี่ยมไปด้วยรังสีที่น่าเกรงขาม สายตาคู่นั้นช่างเยือกเย็น คมคิ้วแฝงไปความดุดันและบารมีที่ไม่ได้เกิดจากโทสะ
เขาก็คือหลงอี ผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลหลงอู่ มีพลังอยู่ในระดับชีพมังกรขั้นที่แปด
“เหยียนเอ๋อ เจ้าทำได้ไม่เลวแล้ว” หลังจากพูดจบ แววตาของชายวัยกลางคนก็เปลี่ยนไป ฟิ้ว… หินก้อนหนึ่งลอยออกไปจากปลายนิ้วอย่างกะทันหัน
หินที่เต็มไปด้วยพลังปราณลอยออกไปไกลหลายร้อยเมตร ตูม… ก้อนหินลอยทะลุโขดหินที่ขวางไว้ แล้วพุ่งเข้าไปที่กลางหน้าผากของเสือชีตาห์ด้วยความแม่นยำ
ไม่ว่าเสือชีตาห์ตัวนั้นจะวิ่งด้วยความเร็วเพียงใด ท้ายที่สุดก็ยากจะหนีความตายพ้นอยู่ดี ร่างไร้วิญญาณของมันกลิ้งหล่นลงไปในร่องที่ลึกกว่าร้อยเมตร
หลงอีมองไปยังบุตรชาย แล้วพูดด้วยเสียงทุ้ม “เหยียนเอ๋อมีพรสวรรค์ดีมาก แต่เหตุใดร่างกายเจ้าถึงไม่สามารถรวบรวมพลังวิญญาณได้เลยแม้แต่น้อย? หรือว่า…” เขาไม่กล้าคิดต่อ
หลงเหยียนอายุสิบหกปี เขาเกิดในเมืองมังกร ที่นี่คือโลกที่บูชาพลัง ระดับพลังเป็นตัวแทนของทุกสิ่ง ผู้ที่ไร้วิญญาณยุทธ์จะไม่สามารถฝึกวิชาใดอื่นได้เลย เพราะต้องประสานวิญญาณยุทธ์และพลังวิญญาณเข้าด้วยกันถึงจะบรรลุวิชาต่างๆ และควบคุมพลังวิญญาณของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ ในตอนนั้นจึงจะรวบรวมพลังปราณและแสดงพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้
หลงเหยียนอยู่ในวัยที่ต้องเข้ารับการทดสอบวิญญาณยุทธ์แล้ว ซึ่งวันพรุ่งนี้จะเป็นวันรวมตัวครั้งใหญ่ของตระกูลหลงอู่ แม้แต่เด็กเพียงสี่หรือห้าขวบในตระกูลหลงอู่ก็เริ่มสัมผัสพลังวิญญาณภายในร่างกายได้บ้างแล้ว ทว่าเขาที่มีอายุถึงสิบหกปี แต่กลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณใดๆ หลายปีมานี้เขาถูกคนวัยเดียวกันในตระกูลมองว่าไม่เอาไหนมาโดยตลอด
พลังวิญญาณคือสิ่งหล่อเลี้ยงและเลื่อนระดับขั้นของวิญญาณยุทธ์ ผู้คนสามารถเลื่อนระดับวิญญาณยุทธ์ของตัวเองโดยฝึกฝนพลังวิญญาณ
รวมปราณ หลอมพลัง ถ่ายพลัง ผนึกพลัง ฝึกจิต บ่มพลัง บ่มกาย ควบคุมพลัง และผสานพลัง ทั้งเก้าระดับนี้เป็นขั้นตอนการหลอมกาย ซึ่งเป็นพื้นฐานของการฝึกร่างกาย ตอนนี้หลงเหยียนหยุดอยู่ที่ขั้นบ่มกาย ไม่อาจเลื่อนขึ้นไปถึงระดับควบคุมพลังและผสานพลังได้ ย่อมไม่มีทางก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับพลังชีพมังกรขั้นที่หนึ่งได้เป็นธรรมดา
“เชิญท่านพ่อกลับไปเถอะ ข้ายังอยากฝึกต่ออีกหน่อย” ภายใต้สีหน้าที่เยือกเย็น กลับเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือสายตาคู่นั้นของเขาที่เปล่งประกายและมีพลังเป็นอย่างมาก
หลงเหยียนนั่งขัดสมาธิ วางมือทั้งสองข้างลงบนจุดรวมปราณ จากนั้นก็ค่อยๆ ปรับลมปราณ ทำให้ลมหายใจสม่ำเสมอ ขณะเดียวกันก็เริ่มหลอมพลังในร่างกาย เขากำหมัดทั้งสองข้างแน่น และชกออกไปกลางอากาศอย่างกะทันหัน
“ผนึกพลัง ฝึกจิต บ่มพลัง”
เขาระเบิดเสียงคำราม จากนั้นก็ส่งหมัดออกไปด้วยความเร็วอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ร่างกายของเขาอยู่ในระดับบ่มกาย ซึ่งถือเป็นระดับที่แข็งแกร่งมาก
หลงเหยียนตั้งสมาธิเพื่อรับรู้ถึงพลังที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย แต่ภายในร่างกายกลับไม่มีพลังปราณเลยแม้แต่น้อย จึงไม่สามารถก้าวข้ามไปยังระดับควบคุมพลังและผสานพลังได้ และไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณแม้เพียงเสี้ยวเดียว
“อ๊าก… เพราะอะไรข้าถึงได้ล้มเหลวอีกแล้ว!” หลงเหยียนแหงนหน้าคำราม
หลงเหยียนพยายามกี่ครั้งต่อกี่หน แต่ก็ยังล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขารู้สึกว้าวุ่นและหงุดหงิดใจมาก “หรือข้าจะไร้วิญญาณยุทธ์อย่างที่เขาว่ากันจริงๆ เพราะอะไรข้าถึงฝึกไม่สำเร็จ! ข้าไม่อยากกลายเป็นตัวตลกของคนในตระกูล…”
หลงอีถอนหายใจพลางส่ายหน้าเบาๆ ฟิ้ว… อินทรีวายุตัวหนึ่งพุ่งผ่านท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็ว หลงอียื่นมือข้างหนึ่งไปจับหลงเหยียนแล้วทะยานขึ้นบนหลังอินทรีวายุเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองมังกร อินทรีวายุบินด้วยความเร็วไม่ต่างไปจากพายุที่พัดผ่านไป มีเพียงมหาอำนาจอย่างตระกูลหลงอู่เท่านั้นที่สามารถเลี้ยงมันได้
ในเมืองมังกรมีสามมหาอำนาจ ได้แก่ ตระกูลหลง ตระกูลเซียว และกลุ่มที่รวมตัวกันแล้วตั้งตนว่าเป็นสำนักบงกชมาร
ผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลงเดินทางมาจากต่างถิ่น อาศัยพรสวรรค์ทางด้านวรยุทธ์ของตัวเอง บุกเบิกและก่อตั้งตระกูลหลงที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ต่อมามีการขยายกิ่งก้านแตกแขนงออกไป กลายเป็นตระกูลหลงในปัจจุบัน ดูจากภายนอกแล้ว ตระกูลหลงและตระกูลเซียวมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่กลับแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันอย่างลับๆ สุดท้ายแล้วทั้งสามมหาอำนาจต่างก็ถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน
ณ อาคารที่โอ่อ่าและยิ่งใหญ่ ประตูที่สูงตระหง่าน หอคอยที่ประการตาและทรงพลัง รวมไปถึงศาลาทรงแปดเหลี่ยมที่งดงาม ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งและทรงอำนาจของตระกูลหลงอู่อย่างชัดเจน
วันรุ่งขึ้นมาถึงอย่างรวดเร็ว หลงเหยียนและบิดาจับมือกันก้าวเข้าสู่ตำหนักหลงอู่ รูปปั้นมังกรบินที่กำลังบินทะยานอย่างทรงพลังถูกตั้งไว้ในจุดต่างๆ ตามตำหนัก แลดูยิ่งใหญ่และสมจริง
ชายชราผมขาวซึ่งมีแววตาดุดันนั่งอยู่กลางตำหนักกว้าง ความน่าเกรงขามของเขาทำให้ทุกคนที่อยู่ในตำหนักแห่งนี้ไม่มีใครกล้าสบตาเขาเลยสักคน
รังสีที่ดุดันและทรงอำนาจแผ่กระจายไปทั่ว ระดับพลังของเขาทั้งแข็งแกร่งและน่าหวาดผวาจนมิอาจพรรณนา
ผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลงลุกขึ้นยืน เขากวาดสายตามองลงไปด้านล่าง จนหยุดลงบนตัวหลงเหยียน
“เหยียนเอ๋อ ขึ้นมานี่!” เสียงทรงพลังดังสนั่นไปทั่วตำหนัก
หลงเหยียนออกแรงส่งที่เท้า ฟิ้ว… เขากระโดดออกไปแล้วตีลังกากลางอากาศ ก่อนร่างที่มั่นคงจะปรากฏอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลง ทิ้งไว้เพียงเส้นโค้งที่แสนว่องไวกลางตำหนัก แววตาไร้ซึ่งความหวาดกลัว
ผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลงยื่นมือไปจับตัวหลงเหยียน จากนั้นจึงยกเขาขึ้นเหนือหัวด้วยความรวดเร็ว พลันมือทั้งสองข้างก็กระหน่ำโจมตีไปที่ร่างของหลงเหยียน บนฝ่ามือผู้อาวุโสส่งพลังที่รุนแรงออกมาเป็นระลอก แล้วหลงเหยียนก็ถูกวางลง
“เหยียนเอ๋อ นี่เจ้า…” ผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลงสะดุ้งเฮือก หน้าถอดสีทันที
หลงเหยียนมองไปยังผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลง คล้ายตื่นตระหนกเล็กน้อย เขากำมือแน่น เพราะออกแรงมากเกินไปทำให้ปลายเล็บแทงลึกลงกลางฝ่ามือ กลายเป็นแผลที่ทำให้หลงเหยียนรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง
“ท่านปู่ วิญญาณยุทธ์ของข้า…?”
พลังของผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลงพุ่งเข้าสู่ร่างกายหลงเหยียนผ่านปลายนิ้ว ทว่าพลังระลอกนั้นก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้ ผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลงมั่นใจแล้วว่าหลงเหยียนไม่มีวิญญาณยุทธ์ เมื่อไม่มีวิญญาณยุทธ์ เขาก็ถูกกำหนดให้เป็นได้แค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ทว่าผู้อาวุโสกลับชื่นชอบผู้ที่มีพรสวรรค์
ผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลงปัดมือไล่หลงเหยียน “เจ้าลงไปเถอะ” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป แลดูเย็นชาลงมาก
คนวัยเดียวกันในตระกูลหลงมองมาที่หลงเหยียนด้วยความเย็นชา บ้างก็หัวเราะเยาะแล้วมองด้วยสายตาเหยียดหยาม ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่ภายใต้การคาดการณ์ของพวกเขาอยู่แล้ว
หลงอีถอนหายใจด้วยความเสียดาย หลงเหยียนยืนอึ้งอยู่กับที่ คล้ายมีหอกเล่มหนึ่งกำลังทิ่มแทงหัวใจเช่นนั้น จึงทำให้การหายใจของเขาถี่ขึ้น เมื่อมั่นใจแล้วว่าตัวเองไม่มีวิญญาณยุทธ์ หัวใจของเขาก็ดิ่งลงเหวทันที
“คนไร้ประโยชน์แบบนี้ยังควรอยู่ในตระกูลของเราต่ออีกหรือ? ถ้าใครเอาเรื่องนี้ไปพูด เขาต้องสร้างความอับอายให้แก่ตระกูลเราแน่ เพื่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล พวกเราควรขับไล่เขาออกไปจึงจะถูก”
“นั่นสิ เขาควรถูกขับไล่ออกไป”
“เราจะเก็บเขาไว้ในตระกูล เพียงเพราะบิดาเขาคือผู้นำตระกูลหลงไม่ได้” เสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบด้านดังสนั่น
หลงเหยียนเงยหน้าขึ้น กวาดสายตาผ่านคนวัยเดียวกันในตระกูลที่หัวเราะเยาะตน แล้วสายตาก็มาหยุดลงบนใบหน้าของหลงเอ้า ซึ่งเป็นบุตรชายของลุงสอง เมื่อครู่ เขาเป็นคนแรกที่เรียกร้องให้ขับไล่หลงเหยียนออกจากตระกูล
“มองข้าทำไม? คนไร้ค่าอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมามองข้า ข้าล่ะขายหน้าแทนพ่อเจ้าจริงๆ”
หลงเอ้ามองหลงเหยียนอย่างเยาะเย้ย สีหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม หลงเอ้าอายุมากกว่าหลงเหยียนหนึ่งปี แต่กลับเปิดเส้นพลังในตัวได้ถึงสามเส้นแล้ว ทำให้เขามีระดับพลังอยู่ในขั้นพลังชีพมังกรขั้นที่สาม นับเป็นอัจฉริยะหนุ่มในตระกูลเลยก็ว่าได้
“อย่ามองข้าด้วยสายตาขุ่นเคืองเลย คนไร้ค่าอย่างเจ้า ถ้าไม่ออกไปจากตระกูล ข้าคงเคลือบแคลงใจไม่หาย” ขณะที่พูดเขาก็เดินไปยืนตรงหน้าหลงเหยียน แล้วชกไปที่ท้องน้อยของหลงเหยียนอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
หลงเหยียนส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วล้มลงบนพื้น
“นี่เจ้าทำอะไร?” หลงอีผู้เป็นหัวหน้าแห่งตระกูลและยังเป็นบิดาของหลงเหยียนอีก แต่เพื่อส่วนรวมจึงจำต้องฝืนทน ฝ่ามือขนาดใหญ่สั่นเทาเล็กน้อย แต่โชคยังดีที่มีแขนเสื้อบังไว้ มิเช่นนั้นคนอื่นคงสังเกตเห็นแล้ว
เวลานี้ลุงสอง หลงจ้านก็เดินเข้ามาใกล้ เขาชิงชังที่ตอนนั้นผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลงมอบตำแหน่งผู้ปกครองแห่งตระกูลให้หลงอีที่เป็นน้องสาม ไม่ใช่เขา บัดนี้จึงนำความโกรธแค้นทั้งหมดมาลงบนตัวหลงเหยียน
“คนไร้ประโยชน์อย่างเจ้ายังไม่รีบไสหัวไปอีกหรือ” หลงจ้านกัดฟันกรอด พลางเบิกตาด้วยความโมโห ก่อนจะตบหน้าหลงเหยียนแรงๆ แล้วจ้องเขม็งไปที่หลงเหยียน แรงตบเมื่อครู่รุนแรงจนแม้แต่ฝ่ามือของเขายังรู้สึกเจ็บไปด้วย
ใบหน้าหลงเหยียนถูกประทับด้วยรอยนิ้วมือทั้งห้า เขากัดฟันอดทนไม่โต้ตอบ เช็ดเลือดที่มุมปาก แล้วใช้สายตาที่เกลียดแค้นจ้องไปยังหลงจ้านและบุตรชาย สาเหตุที่หลงเหยียนไม่โต้ตอบเป็นเพราะกลัวว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะรุนแรงมากกว่าเดิม เช่นนั้นคงไม่เป็นผลดีต่อบิดาของตนเท่าไรนัก
วันนี้ พวกเขาไม่เพียงแค่อยากขับไล่หลงเหยียนออกจากตระกูล แต่ยังอยากหยามศักดิ์ศรีของหลงอีด้วย หลงอีมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ แถมยังเป็นคนใจเย็น แต่มาวันนี้เขาแทบทนไม่ไหว เริ่มรวบรวมพลังปราณไว้ที่ฝ่ามืออย่างช้าๆ
“ท่านพ่อ ลูกเป็นคนทำให้ท่านต้องเดือดร้อน ท่านอย่าตอบโต้พวกเขาเลย แค้นนี้ อีกหน่อยข้าจะชำระกับพวกเขาด้วยตัวเอง เหยียนเอ๋อยินดีจะออกไปจากตระกูลหลง”
หลงเหยียนยื่นมือไปจับหลงอีไว้เพื่อห้ามปรามเขา
“ท่านลุง ไม่สิ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าควรเรียกเจ้าว่าหลงจ้าน จงฟังให้ดี อย่าตัดสินคนด้วยเวลาอันสั้น สักวันข้าจะกลับมาและเหยียบเจ้าไว้ใต้แทบเท้า”
หลังจากพูดจบ หลงเหยียนก็พุ่งออกไปพร้อมความโกรธ ทว่าลูกหลานในตระกูลหลงที่อยู่รอบๆ กลับแสดงความดีใจออกมาทางสีหน้า ในที่สุดหลงเหยียนก็ถูกบีบให้ออกจากตระกูลหลงจนได้ เกรงว่าอีกไม่นานตำแหน่งผู้นำของหลงอีก็คงต้องสั่นคลอนด้วยเช่นกัน
ผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลงเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทว่ากลับแสดงออกเพียงความเฉยชา ไม่พูดไม่จาและไม่ได้ห้ามปรามใดๆ ทว่าเมื่อหันหลังกลับไป นิ้วมือที่ไม่มีใครเห็นกลับสั่นเทาเบาๆ
“เหยียนเอ๋อ เหยียนเอ๋อ” หลงอีมองหลงเหยียนที่เดินจากไปอย่างเงียบๆ พลันไฟโทสะก็ลุกโชน ฟิ้ว! เขาพุ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าหลงจ้าน ดวงตาจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่ายอย่างเคียดแค้น รวบรวมพลังปราณที่ฝ่ามือแล้วเพิ่มพลังขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พอได้แล้ว!” ผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลงแผ่รังสีอำนาจออกไปพร้อมคำรามเสียงดัง ทันใดนั้น ห้วงอากาศก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เขาทะยานไปยืนคั่นกลางระหว่างพวกเขาทั้งสองคน รังสีที่น่าเกรงขามและทรงพลังผลักให้คนทั้งสองถอยห่างจากกัน
“ล้วนเป็นสายเลือดเดียวกัน เหตุใดต้องเข่นฆ่ากันเองด้วย เรื่องนี้จบลงเพียงเท่านี้ ตามข้ากลับไปทดสอบวิญญาณยุทธ์กันต่อ” รังสีอันทรงพลังที่น่าเกรงขามทำให้ทุกคนในที่แห่งนี้สะดุ้งตกใจไปตามๆ กัน
กลางดึก หลงอีมายืนอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลง
“ท่านพ่อ”
“อีเอ๋อ ข้าเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้หมดแล้ว ด้วยนิสัยของเหยียนเอ๋อ เจ้าคิดว่าถ้าเขารู้ว่าตัวเองไม่มีวิญญาณยุทธ์ ต้องกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปชั่วชีวิต เขาจะยังอยากอยู่ในตระกูลต่ออีกหรือ อยู่เพื่อเป็นตัวตลกของคนอื่นหรืออย่างไร”
หลงอีส่ายหน้า
“เจ้าก็เห็นอยู่แล้ว อยู่ในตระกูลหลงต่อไปก็มีแต่จะถูกรังแก การจากไปคือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว วางใจเถอะ ข้าส่งยอดฝีมือในตระกูลออกไปปกป้องเขาอย่างลับๆ แล้ว ด้วยนิสัยของเหยียนเอ๋อ เขาอาจเหมาะกับการใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกมากกว่าก็ได้”
“ที่แท้ท่านพ่อก็เตรียมการทั้งหมดไว้ตั้งแต่แรกแล้วงั้นหรือ”
ความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ให้กับใครของหลงเหยียน ทำให้ผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลงชื่นชอบเป็นอย่างมาก แต่ว่า…
ผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลงจ้องหลงอีด้วยสายตาดุดัน พลางพูดรำพึง “แต่วันนี้พวกเจ้ากลับสู้กันในตำหนัก เจ้าเป็นถึงผู้นำตระกูล หากขาดสติเพราะเหยียนเอ๋อแค่คนเดียว จะทำให้ตระกูลของเราถูกทำลายได้ง่ายๆ เจ้ารู้หรือไม่? มันอาจกลายเป็นช่องโหว่ที่ทำให้มหาอำนาจอีกสองกลุ่มฉวยโอกาสโจมตีตระกูลหลงก็ได้”
เวลานี้ หลงอีก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจความหมายของผู้อาวุโส!
——————–