พิธีเปิดงานประลองยุทธ์เสร็จสิ้น แต่ก็ยังไม่พบแม้แต่เงาของหลงเหยียน
“เกรงว่าเจ้าเด็กนั่นคงโชคร้ายตายไปแล้ว หรืออาจไม่กล้ากลับตระกูลหลงอีก” หลงอีมองหลงจ้านที่อยู่ข้างกาย สุดท้ายสายตาของเขาก็หยุดอยู่ที่ประตูห้องโถง
หลงเอ้าอวี บุตรชายของหลงจ้านตายแล้ว อาจเกี่ยวข้องกับหลงเหยียน ฉะนั้นเขาถึงไม่กล้ากลับมา คนส่วนใหญ่ในตระกูลต่างก็คิดเช่นนั้น เกรงว่าถ้าไม่มีใครเอ่ยถึง ทุกคนคงลืมคนไร้ประโยชน์อย่างหลงเหยียนไปเสียแล้ว
ช่วงเช้าเป็นพิธีเปิดงานประลองยุทธ์ ช่วงเที่ยงจะมีการจัดเตรียมอาหารสำหรับแขก คนส่วนใหญ่ล้วนรอคอยงานประลองในช่วงบ่าย
…
สนามประลองกว้างใหญ่ สามารถบรรจุคนได้สี่ถึงห้าร้อยคน เวลานี้ หลงอีที่เป็นถึงผู้นำตระกูลนั่งอยู่ตำแหน่งผู้นำตระกูล สองด้านข้างคือหลงห้าว หลงจ้าน หลงเซวี่ยซาง นั่งตรงข้ามกับแขกที่มาจากตระกูลเซียวห้าคน ได้แก่เซียวหยุนเหว่ยผู้เป็นน้องสาม เซียวกงเป้าที่เป็นพี่ใหญ่ ด้านหลังเขามีบุตรชายคนที่สองยืนอยู่นามว่าเซียวปิงมั่ว จากนั้นก็เป็นเซียวเหลิงเอ้าที่เป็นน้องสอง ด้านหลังเขาก็คือบุตรชายทั้งสอง นามว่าเซียวเทียนเซี่ยวและเซียวเทียนอวี่
ในห้องโถงขนาดใหญ่ ด้านล่างมีคนพลุกพล่าน หลงจ้านและเซียวกงเป้ากำลังกระตุกคิ้วส่งสัญญาณ ไม่รู้ว่ากำลังสื่อสารอะไรกัน
ต่อจากนั้นก็ถึงเวลาเริ่มประลองภายในตระกูลแล้ว หลงอวี่ซี หลงหยุนฉี หลงเซ่าโหยว หลงห่าวเทียน และคนอื่นๆ ในตระกูลที่มีความสามารถล้วนยืนอยู่ด้านหน้าเวที
ยืนรอโดนเรียกอย่างเงียบเชียบ นี่เป็นงานประลองครั้งใหญ่ นับได้ว่าเป็นงานประลองที่เปิดเผยอย่างสมบูรณ์ เป้าหมายก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าตระกูลหลงยิ่งใหญ่มากเพียงใด มีเหล่าอัจฉริยะมากเท่าไร
ถัดจากตำแหน่งผู้นำตระกูลก็คือเหล่าผู้อาวุโสและมีอำนาจในตระกูลหลง รังสีพลังกระจายไปทั่ว
เวลานี้ ผู้อาวุโสแห่งตระกูลนั่งอยู่ตรงกลางสนามประลองที่สูงสามเมตร เพราะมันอยู่ตรงกลางและง่ายต่อการตรวจการณ์ ต้องยอมรับว่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลชื่นชอบเด็กที่มีพรสวรรค์มาก
รอบๆ สนามประลองเต็มไปด้วยจอมยุทธ์และคนในเมืองมังกร นี่เป็นงานประลองครั้งใหญ่และถือว่าจัดขึ้นอย่างกว้างขวาง
เวลานี้ หลงอีมองผู้นำตระกูลเซียนที่อยู่ไม่ไกล แล้วยิ้ม “สหายหยุนเหว่ย ท่านและตระกูลหลงของเรามีความสัมพันธ์ที่ดีมายาวนาน ส่วนสหายกงเป้าก็มาตระกูลเราอยู่บ่อยๆ ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน ไม่ทราบว่าครั้งนี้พวกท่านเห็นอย่างไรกับเด็กอัจฉริยะของตระกูลเราหรือ?”
เซียวหยุนเหว่ยหัวเราะเสียงดัง “เกรงใจแล้ว เดิมตระกูลหลงเก่งกาจแต่รุ่นก่อน ข้าว่า เด็กอายุน้อยในตระกูลหลงล้วนไม่ธรรมดา เฉิดฉายไม่ธรรมดา แต่ได้ยินมาว่าบุตรสาวของสหายหลงห้าวนั้นมีพรสวรรค์ไม่เบา”
คนที่เขาพูดถึงก็คือหลงอวี่ซี สิ่งที่ทุกคนแสดงออกมาคือในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน ไม่มีใครเหนือกว่าหลงอวี่ซีแล้ว อย่ามองข้ามเพศสภาพ เพราะในตระกูล พลังปราณและวิชานางอยู่อันดับต้น
หลงห้าวหัวเราะชอบใจ โดยปกติแล้วลุงใหญ่เก็บตัวอยู่แต่ในหอดารา วันนี้จึงจะออกมาร่วมชมการประลอง
เขาพูดกับเซียวหยุนเหว่ย “สหายเซียวชมเกินไปแล้ว บุตรสาวข้าไม่ได้เก่งกาจนักหรอก ได้ยินมาว่าเซียวเชียนมั่ว บุตรชายของเซียวมั่วเหยียนหลอมกายจนถึงระดับชีพมังกรขั้นที่หกแล้ว เพราะเหตุใดวันนี้เขาจึงไม่มาร่วมด้วยเล่า”
“ฮ่าๆๆๆ” เซียวหยุนเหว่ยแสร้งพูด “เจ้าเด็กเชียนมั่วมีพลังระดับชีพมังกรขั้นที่เจ็ดแล้ว ถึงกระนั้นตระกูลหลงก็เก่งกาจไม่เบา เชื่อว่าอีกไม่นานก็คงมีคนมีพลังระดับชีพมังกรขั้นที่เจ็ดเช่นกัน เรามารอชมด้วยกันเถิด” ทั้งสองตระกูลสนทนากันอย่างสนุก
มีแค่หลงจ้านเท่านั้นที่มองหลงอีด้วยสายตาดุร้าย
“เหอะ ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะผยองได้อีกนานเท่าใด ลูกเจ้าฆ่าลูกข้าตาย แค้นนี้ ไม่ช้าก็เร็วข้าต้องชำระกับเจ้าแน่”
เซียวกงเป้าก็มองไปทางหลงอีด้วยสายตาไม่หวังดี
กฎการประลองนั้นเรียบง่ายมาก สองฝ่ายต่อสู้กัน หากใครชนะก็ได้เข้าไปประลองในรอบต่อไป
ไม่รอช้า คนมีพรสวรรค์ในตระกูลหลงก็ขึ้นมาประลองบนสนามประลองเป็นคู่ๆ ต้องยอมรับว่าหมัดทะลวงฟ้าของผู้มีพลังขั้นที่สามใช้นั้นทรงพลังมาก ยิ่งไปกว่านั้น มีบางคนเริ่มฝึกใช้วิชาหมัดลงทัณฑ์แล้ว เพียงแต่ยังไม่ถนัด และหมัดลงทัณฑ์ก็ยังไม่น่าเกรงขาม
คนที่มีพละกำลังสูงได้เข้ารอบ ไม่นานก็มีผู้แข็งแกร่งที่สูงยิ่งขึ้น ผู้ชนะได้รับความสนใจจากผู้คน ทุกคนเบิกตาโตก่อนจะตามมาด้วยเสียงเชยชม
“ตระกูลหลงไม่ธรรมดาอย่างที่คิดจริงๆ เพียงเด็กที่หลอมกายถึงขั้นที่สามก็มีเยอะเพียงนี้แล้ว”
“นั่นสิ ถ้าเมืองมังกรมีแต่คนธรรมดาอย่างพวกเรา เกรงว่าใช้ทั้งชีวิตในการหลอมกายก็คงมีแค่พลังขั้นที่สองเท่านั้น” คนที่อยู่รอบๆ สนามประลองเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ เอ่ยปากชมอย่างอดใจไม่ได้
“ตูม!” คนในตระกูลหลงที่ชื่อว่าหลงอวี่หยางชกคนหนึ่งลอยออกไป เขาเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นที่สาม และล้มคนอื่นในตระกูลหลงไปสี่คนแล้ว
รอบด้านเต็มไปด้วยเสียงปรบมือดังสนั่น ผู้อาวุโสตระกูลหลงมองเขา พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ กระบวนท่าที่หลงอวี่หยางใช้เมื่อครู่อยู่ในสายตาของผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลงแล้ว เหมือนอย่างที่คิด เขาเป็นต้นกล้าที่ดีของตระกูล
จากนั้นผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลงก็นึกถึงคนคนหนึ่ง ส่งจิตออกไปปกคลุมทั้งตระกูล ทว่ากลับไม่พบกลิ่นอายพลังของหลงเหยียน
ผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลงสายตาว่องไว เขานึกในใจ ‘ดูเหมือนเขาคงไม่มาแล้ว เลื่อนพลังจนถึงขั้นที่สองในวันเดียว ฝึกวิชาต่อสู้สองเล่มสำเร็จในสองวัน แต่กลับด้อยค่าในตระกูลเหลือเกิน’
ตอนที่หลงเหยียนสู้กับหลงเอ้าอวี ยิ่งไปกว่านั้นยังล้มเซียวปิงหลานได้ ผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลงเกิดความประหลาดใจไม่น้อย
จากนั้นเงาร่างเล็กหนึ่งก็ปรากฏ ออกแรงส่งจากปลายเท้า ร่างลอยทะยานขึ้น
“หยุนฉี เจ้าต้องมาสู้กับข้า”
หลงหยุนฉีไม่พูดพร่ำทำเพลง ระเบิดพลังออกไปทันที
“หมัดลงทัณฑ์!”
“หมัดทะลวงฟ้า”
หมัดทั้งสองปะทะกัน หลงอวี่หยางถูกกระแทกลงจากเวที
“พระเจ้า! แม่นางคนนี้คือใครกัน?” ทุกคนเห็นนางปรากฏตัว เบิกตาโพลง นึกไม่ถึงว่าหลงหยุนฉีที่มีพลังขั้นที่สามจะชกหลงอวี่หยางกระเด็นไปที่พื้นด้วยหมัดเดียว
เสียงปรบมือดังสนั่นกว่าเดิม
หลงหยุนฉียกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ยืนอยู่บนสนามประลอง มองลงไปเบื้องล่าง
เป็นถึงบุตรสาวของหลงจ้าน คิดวางใจลงเล็กน้อย บุตรชายสิ้นชีพ ตอนนี้ นางที่เป็นสตรีที่ได้กอบกู้หน้าให้บิดาตัวเองแล้ว
“ตระกูลหลงไม่เลวเลยจริงๆ แม้แต่หญิงสาวในตระกูลก็มีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้”
หลงเซ่าโหยวมองหลงอวี่ซีแล้วถาม “ท่านพี่ ท่านคิดว่าหลงเหยียนเป็นคนฆ่าหลงเอ้าอวีจริงหรือ? ลุงสองต้องเกลียดเจ้าหมอนั่นมากแน่ ข้าก็แค่ไม่เข้าใจ หลงเหยียนมีพลังขั้นที่สอง เพราะอะไรถึงล้มหลงเอ้าอวีได้ เมื่อสิบวันก่อน เขายังเป็นคนพูดว่าจะกลับมาล้มท่าน ข้าว่าเขาคงไม่กล้ากลับมาหรอก”
หลงอวี่ซีหันกลับไปมองหลงเซ่าโหยว ใบหน้าแสดงความหยิ่งทะนง
“เจ้าหมอนั่นถูกรังแกในตระกูลหลงมาโดยตลอด เขาเก็บซ่อนพลังเอาไว้ เป็นคนชั้นต่ำที่แท้จริง การฆ่าเอ้าอวีเป็นความต้องการสูงสุดของเขา และวันนั้น เพราะลุงสองกับเซียวกงเป้าเป็นคนบีบเขาออกจากตระกูล ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะกลับมาฆ่าเอ้าอวี”
“ท่านพี่ ท่านว่าวันนี้มันจะกล้ากลับมาไหม ครั้งก่อนเขาท้าประลองท่าน”
“เหอะ ช่างไม่รู้จักเจียมตัว ถ้าเขากล้าปรากฏตัว ข้าจะฆ่าเขาเอง แก้แค้นเพื่อเอ้าอวี เข่นฆ่าสหายร่วมตระกูล โทษคือตายสถานเดียว”
แต่เมื่อนึกถึงแววตาที่เด็ดเดี่ยวจนน่ากลัวของหลงเหยียน ไม่แน่เขาอาจกลับมาก็ได้…
“สุดท้ายก็เป็นได้แค่ตัวตลกที่ไร้ค่า ไม่มีใครสนใจเขาหรอก…” จากนั้นนางก็มองไปยังหลงหยุนฉีที่อยู่บนเวที
“ท่านพี่ ครั้งก่อนนางเป็นคนขอร้องให้ท่านปล่อยหลงเหยียนไป ตอนนี้ข้าจะขึ้นไปสั่งสอนนางเอง”
หลงเซ่าโหยวพูดจบก็ระเบิดพลังปราณ กระโดดลอยลิ่วขึ้นไปบนเวที
เขาเป็นถึงผู้ที่มีพละกำลังระดับชีพมังกรขึ้นที่ห้า หากหลงหยุนฉีประลองกับเขา มันเป็นความแตกต่างที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง
หลงหยุนฉีมองเขาแล้วแสดงสีหน้าเบื่อหน่าย “นี่เจ้าขึ้นมาทำไม? ใครอยากสู้กับเจ้า” หลังจากพูดจบนางก็เตรียมจากไป ไม่ว่ายังไงวันนี้นางก็ได้ออกมาปรากฏให้ทุกคนเห็นแล้ว เป้าหมายนางสำเร็จเรียบร้อย
“อยากหนี?” หลงเซ่าโหยวเร็วมาก ร่างลอยไปขวางทางหลงหยุนฉี
“น้องฉี เจ้าสู้ข้าไม่ไหวหรอก ที่ข้าขึ้นมาก็เพราะมีเรื่องอยากบอกเจ้า วันนี้พี่เหยียนที่ไร้ค่านั่นไม่กล้าโผล่หัวมาหรอก เจ้ารอเขาอยู่มิใช่หรือ”
เมื่อพูดถึงหลงเหยียน หลงหยุนฉีก็นึกถึงภาพที่หลงเหยียนอยู่กับสตรีอีกนางหนึ่ง ในใจรู้สึกแย่เล็กน้อย
“เหอะ ใครบอกว่าข้ากำลังรอเขาเล่า…” ขณะที่พูดนางก็หันหน้าหนี ร่างลอยกลับไปด้านล่างเวที
เวลานี้ ในรุ่นของคนอายุน้อยยังเหลือสามคนสุดท้าย ได้แก่หลงเซ่าโหยว หลงห่าวเทียน หลงอวี่ซี
สองคนมีพลังขั้นที่ห้า อีกหนึ่งคนมีพลังขั้นที่หก ต้องยอมรับว่าทั้งสามคนนี้กลายเป็นเป้าสายตาของทุกคน
——————–