แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะกระตุ้นให้หญิงสาวโกรธด้วยการทำให้เซินอี้อับอาย แต่เธอก็ยังคงรับมือกับความสามารถและความแข็งแกร่งของเขาด้วยความระมัดระวังระดับสูงสุด ด้วยระดับพลังปราณของโจวเหว่ยชิง มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองพันหรือรองผู้บัญชาการกองพัน เหตุผลเดียวที่เธอเรียกใช้ทักษะอันทรงพลังของตนเองก็เพื่อข่มขู่และทำให้โจวเหว่ยชิงแตกตื่นจนสุดท้ายเขาต้องขอยอมแพ้โดยไม่สู้ต่อ ด้วยวิธีนี้ เซินปู้จึงจะไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับทหารใหม่ผู้นี้และยังคงให้เขายอมแพ้ได้อีกด้วย
อนิจจา หญิงสาวไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าภายใต้แรงกดดันที่รุนแรงของเธอ ทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับทักษะที่ทรงพลังของตนเองเช่นนี้ อ้วนน้อยโจวจะยังเป็นฝ่ายพุ่งกระโจนเข้าหาตนเองแทน เขาพยายามจะฆ่าตัวตายหรือยังไง!?
ในช่วงเวลาที่เซินปู้ชะงักไป โจวเหว่ยชิงก็ได้ปลดปล่อยการโจมตีระรอกใหม่ของเขาออกมาแล้ว สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ธรรมดา ทักษะพายุสลาตันสามารถเปิดใช้งานได้หลังจากพุ่งออกไปเป็นะระยะทาง 10 หลาเท่านั้น แต่กรณีของโจวเหว่ยชิงกลับแตกต่างออกไป เด็กหนุ่มมีทักษะก่อกวนเวลาและสามารถใช้มันได้อย่างลับๆ ด้วย ดังนั้นเขาจึงสามารถขัดขวางทักษะของตัวเองได้ทุกเมื่อที่เปิดฉากการจู่โจม ทำให้ยังคงสามารถใช้พลังความเร็วจากทักษะและเพิ่มพลังโจมตีได้ตามต้องการ
มันเป็นเรื่องจริงที่เขาไม่สามารถใช้ทักษะสะบัดปีกเฉือนจักรพรรดิสีเงินได้ในตอนนี้ แต่โจวเหว่ยชิงก็มีทักษะธาตุลมที่ทรงพลังถึง 4 อย่าง!
ในขณะที่ร่างกายของเด็กหนุ่มพุ่งเข้าไปหาเซินปู้ แสงสีเขียวรอบตัวเขาก็แต่งแต้มไปด้วยจุดสีเงินเล็กๆ ความเร็วของเขาที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากผลของทักษะพายุสลาตัน จู่ๆ ก็เพิ่มขึ้นสูงถึง 3 เท่าในเสี้ยววินาที และพริบตานั้น เด็กหนุ่มก็ไปอยู่ตรงหน้าเซินปู้แล้ว
เซินปู้ไม่คิดเลยว่าโจวเหว่ยชิงจะมีทักษะอื่นๆ ที่สามารถเพิ่มความเร็วของเขาได้ในระดับนี้ เพื่อช่วยชีวิตตัวเองในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ แม้ว่าเธอจะไม่ต้องการทำร้ายโจวเหว่ยชิง แต่ประสาทสัมผัสที่ได้เรียนรู้มาจากสนามรบโดยสัญชาติญาณก็ทำให้หญิงสาวเคลื่อนลูกไฟสีน้ำเงินไปยังจุดที่การโจมตีของโจวเหว่ยชิงพุ่งเข้ามาทันที
แต่ในตอนนั้นเอง เซินปู้ก็ต้องรู้สึกตกใจที่จู่ๆ พลันรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถขยับได้ มือของเธอจึงหยุดนิ่งอยู่กลางทาง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่สำหรับโจวเหว่ยชิงที่กำลังเรียกใช้ทักษะสายฟ้าทะลวงจักรพรรดิสีเงิน นั่นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มจะไม่แทงทะลุร่างของเธอด้วยการโจมตีนั้น ในทางตรงกันข้าม เขาเบี่ยงมือขวาขึ้นเล็กน้อยเพื่อส่งลูกไฟสีน้ำเงินพุ่งทะยานขึ้นไปบนอากาศอย่างปลอดภัย ในเวลาเดียวกัน ไหล่ของเขาก็กดต่ำลงในขณะที่พุ่งเข้าใส่ไหล่ของเซินปู้ ขาของโจวเหว่ยชิงสะบัดพลิ้วไหวออกไปรวบเอวของหญิงสาวกลางอากาศ หลังจากพลิกตัวเธอได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็เหวี่ยงเซินปู้ลงไปที่พื้น
เกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นในทันที และแผ่นหลังของเซินปู้ก็ฟาดลงไปที่พื้นเวทีอย่างแรง แม้ว่าทักษะโซ่ตรวนวายุจะไม่สามารถกักขังเธอได้นาน แต่ระดับพลังปราณของเซินปู้ก็ไม่เพียงพอจะต้านทานทักษะควบคุมอันทรงพลังของโจวเหว่ยชิงได้ทั้งหมดอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลาที่เธอหลุดพ้นการควบคุม หญิงสาวก็ถูกกระแทกลงไปนอนที่พื้นแล้ว เหตุการณ์ทั้งหมดจึงขัดขวางความเป็นไปได้ที่เธอจะสามารถปลดปล่อยทักษะใดๆ ออกมา
ช่วงเวลาต่อมา เซินปู้ก็รู้สึกว่ามีน้ำหนักบางอย่างกดทับลงบนร่างกายของเธอ อันธพาลโจวเหว่ยชิงได้ทะยานตามลงมาจากด้านบนและนั่งทับลงมาที่แผ่นหลังของหญิงสาว ส่วนมือข้างขวาก็จับคอของเธอเอาไว้ เขายืนขึ้นช้าๆ คว้าหลังคอเธอไว้อย่างนั้นขณะยกหญิงสาวขึ้นจากพื้น
เมื่อเผชิญหน้ากับจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 6 ชุดที่ทรงพลังเช่นนี้ โจวเหว่ยชิงก็ไม่กล้าที่จะประมาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากเขาไม่สามารถใช้ทักษะและศาสตรามณียุทธ์ได้มากเหมือนเคย หากปะทะกันตรงๆ โดยปราศจากสิ่งเหล่านั้น โจวเหว่ยชิงก็รู้ดีว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะเธอได้ และตอนนี้เขาก็มีสถานะเหนือกว่าอีกฝ่ายเนื่องจากหญิงสาวกำลังตกใจ เขาจึงจะไม่ยอมให้เธอได้พลิกสถานการณ์กลับไปง่ายๆ
เดิมทีเซินปู้มีม่านพลังปราณสวรรค์คอยปกป้องตนเอง แต่เมื่อถูกโจวเหว่ยชิงเหวี่ยงลงพื้นอย่างหนักหน่วง และยิ่งไปกว่านั้นคือเธอเพิ่งจะใช้ทักษะอันทรงพลังไปก่อนหน้า ในเวลานี้หญิงสาวจึงยังคงสับสนมึนงง เมื่อมือของโจวเหว่ยชิงกำเข้าที่ลำคอของเธออย่างรุนแรง เซินปู้ก็รู้สึกว่ามีตนเองกำลังสั่นระริกไปทั่วร่างกายและความรู้สึกหายใจไม่ออกก็แผ่ขยายไปทั่วร่าง มาถึงตอนนี้ มันก็สายเกินไปแล้วที่เซินปู้จะพยายามต่อต้าน แม้ว่าระดับพลังปราณของเธอจะสูงกว่าของโจว เหว่ยชิง แต่ด้วยลำคอที่แสนเปราะบางในเงื้อมมืออันทรงพลังของเขา มันก็ไร้ประโยชน์ที่จะขัดขืน
โจวเหว่ยชิงแอบเหงื่อแตกอยู่ข้างใน ถ้าไม่ใช่เพราะเซินปู้คนนี้ประเมินเขาต่ำเกินไปและลอบจู่โจมอย่างกะทันหัน บางทีตอนนี้เมื่อลูกไฟสีน้ำเงินพุ่งเข้าใส่ เขาก็คงจะต้องเปิดเผยพลังที่แท้จริงของตัวเองเพื่อให้หลุดพ้นจากสถานการณ์แล้ว
“ข้าชนะแล้ว รีบประกาศสิ ไม่อย่างนั้นนางอาจจะตายก็ได้นะ”
โจวเหว่ยชิงร้องเตือนผู้ตัดสินข้างเวทีซึ่งกำลังอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง ในขณะเดียวกัน เขาก็คิดกับตัวเองว่า แปลกจัง…ในที่สุดข้าก็ชนะแล้ว ทำไมถึงไม่มีใครส่งเสียงโห่ร้องสนับสนุนเลยสักครั้งล่ะ? ถึงอย่างไรข้าก็เอาชนะผู้คุมสังเวียนระดับสูงได้อย่างถูกต้องนี่นา…
อันที่จริงโดมท้าประลองทั้งหมดเงียบสนิท ราวกับว่าทหารทุกคนที่เฝ้าดูการประลองถูกโจวเหว่ยชิงบีบคออยู่ด้วย ทั้งสนามจึงตกอยู่ในความเงียบที่น่าขนลุก
“เจ้าชนะ เจ้าชนะแล้ว เร็วเข้า ปล่อยผู้บัญชาการกรมทหารของเราลงซะ!” หลังจากตกตะลึงชั่วครู่ ในที่สุดผู้บัญชาการกองร้อยก็หลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง เขาพุ่งเข้ามาพร้อมกับใบหน้าตื่นตระหนกขณะจับแขนของโจวเหว่ยชิงและส่งสัญญาณให้เขาวางเซินปู้ลง
ห๊ะ…? ผู้บัญชาการกรมทหาร? ถึงคราวที่โจวเหว่ยชิงต้องตกตะลึงไปบ้าง และมือที่จับอยู่ก็พลันคลายออกทันที ด้านเซินปู้ ใบหน้าของเธอแดงจัดจากการขาดอากาศหายใจ หญิงสาวไถลตัวล้มลงบนพื้นพลางสูดหายใจหอบเหนื่อย
เดิมทีโจวเหว่ยชิงคิดว่าโชคของตนดีมากเพราะดูเหมือนว่าเขาจะใช้เวลาไม่นานในการขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการกองพัน อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มไม่วาดฝันมาก่อนเลยว่าผู้คุมสังเวียนขั้นสูงจะเป็นผู้บัญชาการกรมทหาร ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเซินปู้คนนี้จะต้องเป็นแม่ทัพชำนาญศึกของกรมทหารที่ 16 และมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบทหารทั้งกรม…แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะกลายเป็นผู้บัญชาการกองพัน เขาก็ยังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเธออยู่ดี…นั่นเป็นลางไม่ดีเลยจริงๆ…ดวงจะกุดเกินไปแล้ว!
สิ่งที่เกิดขึ้นได้พิสูจน์แล้วว่าโจวเหว่ยชิงโชคร้ายจริงๆ และดูเหมือนว่าโชคร้ายของเขาจะยังคงไม่จบสิ้นง่ายๆ
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงสายลมรุนแรงพร้อมกับจิตสังหารที่แข็งกร้าวมุ่งตรงมายังกลางหลังของเขา โจวเหว่ยชิงเองก็เป็นนักรบที่มีประสบการณ์เช่นกัน ดังนั้นแม้ว่าเขาจะยังคงตกใจ ทว่าสัญชาตญาณพื้นฐานของเขาก็ยังคงทำงานอยู่อย่างดีเยี่ยม ขาขวาพลันพุ่งออกไปด้านหลังเพื่อป้องกันการจู่โจมของศัตรูทันที อนิจจา โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ว่าขาขวาของเขาเตะไปโดนบางสิ่งที่อ่อนนุ่ม และแม้ว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะดึงมันกลับมา ทว่าสิ่งนี้ก็เป็นขาขวาปีศาจที่ทรงพลังอย่างน่าหวาดกลัวของตน และศัตรูคนนั้นก็ถูกเตะลงจากเวทีไปโดยปริยาย
หลังจากหันกลับไปมอง เขาก็ได้พบกับเซินอี้ และเห็นได้ชัดว่าเมื่อเธอพบว่าพี่สาวของตนกำลังทรมานจึงกระโจนเข้ามาเปิดการโจมตีทันที ในเวลานี้ อาจจะเป็นเพราะแรงเตะหรือความอับอาย เธอจึงนอนหมดสติอยู่ที่พื้น
“อี้อี้!” เซินปู้ที่เพิ่งลุกขึ้นมายืนทันได้เห็นโจวเหว่ยชิงเตะน้องสาวของตนลงจากเวที เธอจึงทะยานลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็วและอุ้มเซินอี้เอาไว้ในอ้อมแขน เมื่อมองย้อนกลับไปยังโจวเหว่ยชิง แววตาของหญิงสาวก็ดูเหมือนจะต้องการฉีกเขาเป็นชิ้นๆ
โจวเหว่ยชิงยกมือขึ้นอย่างไร้เดียงสาและพูดว่า “ท่านผู้บัญชาการกรมทหารที่ยิ่งใหญ่ของข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนั้นนะขอรับ! มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติน่ะ…ข้าเผลอเตะออกโดยไม่รู้ตัวเพราะนางกำลังจะทำร้ายข้า ข้า…ไม่รู้ว่าท่านเป็นผู้บัญชาการกรมทหาร ไม่เช่นนั้นข้าก็คงจะไม่กล้าสู้กับท่าน! ทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ…”
ในเวลานี้ เขาทำได้เพียงเอ่ยคำอธิบายที่ฟังดูไม่เข้าท่าเท่าไหร่นัก น่าเสียดาย แม้แต่กับตัวเขาเอง คำอธิบายเหล่านั้นฟังยังไงก็ดูค่อนข้างไร้ประโยชน์ ถึงกระนั้น เขาก็ยังมั่นใจว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ทำผิดกฎข้อไหน เนื่องจากนี่ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันในโดมท้าประลอง การไม่รู้จักผู้บัญชาการกรมทหารไม่ใช่การก่ออาชญากรรมนี่นา? แม้ว่าเขาจะทำให้เธอเสียหน้า แต่จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิด…
ยิ่งโจวเหว่ยชิงคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เด็กหนุ่มก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น และเขาก็จ้องมองลงไปบนเวทีอย่างเคืองขุ่น ไม่น่าแปลกใจเลยที่สหายเหล่านั้นจะเงียบฉี่กันแบบนี้…เซินปู้เป็นถึงผู้บัญชาการกรมทหาร! ก็นะ จริงๆ แล้วจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 6 ชุดก็มีพลังเพียงพอจะอยู่ในตำแหน่งนี้จริงๆ นั่นแหละ เฮ้อ…ทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงคิดไม่ได้นะ? หลังจากตระหนักได้ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว…
เซินปู้ก็สูดหายใจเข้าลึกหลายๆ ครั้งเพื่อบังคับให้ตัวเองสงบลง ในที่สุดหญิงสาวก็ชี้ไปที่โจวเหว่ยชิงและพูดว่า “ทหาร พาเขาไปที่กองบัญชาการใหญ่ การแข่งขันวันนี้ อ้วนน้อยโจวได้รับชัยชนะ ข้าจะมอบตำแหน่งใหม่ให้กับเขาเป็นการส่วนตัว”
เช่นเดียวกับที่โจวเหว่ยชิงคิด ต่อหน้าทหารเหล่านี้ เซินปู้จะไม่มีวันทำผิดกฎ มิฉะนั้นเธอจะต้องสูญเสียความน่าเชื่อถือในฐานะผู้บัญชาการกรมทหารไปแน่นอน
ขณะที่พวกเขาออกจากโดมท้าประลอง ดวงอาทิตย์ก็คล้อยต่ำบนท้องฟ้าแล้ว และท่ามกลางแสงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้า โจวเหว่ยชิงก็สามารถมองเห็นนัยน์ตาที่กำลังฉายแววโกรธเกรี้ยวของเซินปู้ได้อย่างชัดเจน เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าในใจ นางจะจัดการกับพวกข้ายังไงนะ? โจวเหว่ยชิงไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำ โชคดีที่เขาได้ตำแหน่งผู้บัญชาการกองพัน เซินปู้ไม่น่าจะส่งเขาไปอยู่ในหน่วยเสบียงหรือหน่วยที่เธอต้องการใช่ไหม? หน่วยพวกนั้นคงไม่มีตำแหน่งที่สูงขนาดนี้…ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่อธิษฐานและหวังว่าจะได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ แน่นอน โจวเหว่ยชิงย่อมต้องหวังว่าเธอจะมีศีลธรรมบ้าง สถานการณ์ที่เข้าท่าที่สุดคือเธอไม่สนใจที่ถูกเขาทำให้เสียหน้าและมอบตำแหน่งดีๆ ให้แก่เขา อนิจจา เมื่อมองไปที่ดวงตาของเธอแม้แต่โจวเหว่ยชิงเองก็ยังทำใจให้เชื่อยากว่าความหวังของเขาจะเป็นจริง
ภายใต้ ‘การคุ้มกัน’ จากทหารส่วนตัวของผู้บัญชาการกรมทหารทั้ง 10 นาย โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนเฟยเอ๋อร์จึงถูกนำตัวไปยังที่ตั้งค่ายทหารที่ 16
ภายในค่าย ตอนนี้เป็นเวลาเตรียมอาหารเย็นจึงมีควันพวยพุ่งออกมาทุกที่ และพวกเขาก็สามารถได้กลิ่นหอมของอาหารที่ถูกปรุงได้อย่างง่ายดาย โจวเหว่ยชิงไม่ได้กินอาหารมาเกือบหนึ่งวันแล้ว และความอยากอาหารของเขาก็ประท้วงขึ้นมาเพราะสงสัยว่าจะได้รับอาหารอะไรในไม่ช้านี้
“อ้วนน้อยโจว โชคของเจ้าไม่เลวเลย! พอเข้าสู่กองทัพได้ เจ้าก็เอาชนะผู้บัญชาการกรมทหารแล้ว เจ้ามีความสามารถอย่างแท้จริง!” ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์เดินไปข้างโจวเหว่ยชิงและหัวเราะเบาๆ
โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างโกรธเคือง “อย่าลืมว่าตอนนี้เจ้าร่วมหัวจมท้ายกับข้าแล้ว ถ้าข้ามีปัญหา เข้าก็แย่ไม่แพ้กันหรอก”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ร่วมหัวจมท้ายกับข้า’ ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็หน้าแดงและพึมพำว่า “ใครเข้าร่วมกับเจ้ากัน?” อย่างไรก็ตาม หลังจากพึมพำเสร็จ เธอกลับไม่ได้แกล้งเขาต่อ
ทั้งสองถูกนำตัวไปที่กองบัญชาการใหญ่ของกรมทหารที่ 16 โดยตรง และก็เห็นได้ชัดว่าทหารรักษาการณ์ 10 คนซึ่งยืนอยู่บริเวณทางเข้าประตูไม่มีความตั้งใจจะปล่อยพวกเขาจากไปง่ายๆ
โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ตรงกลางกระโจมกองบัญชาการใหญ่ สอดส่องสายตาตรวจสอบภายในอย่างถี่ถ้วน
กระโจมกองบัญชาการใหญ่ระดับกรมทหารถูกสร้างขึ้นจากหนังวัวทั้งผืน โดยโครงด้านในทำจากโลหะผสมที่แข็งแรง นุ่มและทนทาน มันถูกตรึงไว้ด้วยหมุดโลหะยาว 1 ฉื่อ เต็นท์ทั้งหมดมีขนาดประมาณ 200 ตารางเมตร ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่ใหญ่มาก ข้างในมีที่นั่งขนาดใหญ่ปูด้วยขนสัตว์สีขาว อาจจะเป็นหนังหมีหรืออะไรเทือกๆ นั้น
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์สะกิดเขาและพูดว่า “ตอนนี้เราจะทำยังไงกันล่ะ? ผู้บัญชาการกรมทหารคนนั้นไม่พอใจเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าคิดว่านางจะทำอะไรกับเรา?”