รูม่านตาของสมเด็จหดลงในทันใดราวกับไม่เชื่อเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น ขณะที่เขาพยายามอ้าปากและดิ้นรนอยู่นั่นเอง…
ลำคอของเขาก็พลันถูกดาบวงพระจันทร์ที่สร้างขึ้นจากพระสารีริกธาตุของหงส์เพลิงแทงเข้าจนทะลุหน้าอก…
เฮ่อเหลียนเวยเวยถือดาบไว้ในมือพร้อมกับมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ใบหน้าของสมเด็จเริ่มซีดขึ้นทีละน้อย แต่สีหน้าของเขากลับดูกระวนกระวายอย่างยิ่ง
แสงสีทองรอบตัวของเขาค่อยๆ จางลงราวกับถูกดูดออกไปจากร่าง
หงส์เพลิงส่งเสียงคำรามอยู่เหนือตำหนักต้าสยง นั่นเป็นเสียงเดียวกับที่มันทำตอนพระศากยมุนีฉายแสงแห่งพระพุทธคุณลงไปในนรกเมื่อตอนนั้น
บรรดาพระอรหันต์มองภาพนั้นด้วยดวงตาเบิกกว้าง มีหลายคนที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ช้ากว่าคนอื่น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยเห็นหงส์เพลิงแสดงฝีมือมาก่อน
พวกเขาคิดว่าพลังอันน่าตระหนกของหงส์เพลิงเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น
แต่หลังจากที่ได้เห็นนางในวันนี้ พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าพวกเขาประเมินความอันตรายของนางไว้ต่ำเกินไป
นางสามารถควบคุมกระแสลมได้ด้วยฝ่ามือ ขณะที่วิญญาณของพระอรหันต์ลอยวนอยู่รอบคมดาบวงพระจันทร์ของนาง ก่อนจะตามมาด้วยกระแสพลังรุนแรงจนทำให้ทั้งห้องสั่นสะเทือน
ท่ามกลางสายลมกรรโชกแรง สมเด็จไม่สามารถปกป้องตัวเองได้และถูกพัดจนกระเด็นไปหลายฉื่อ
นี่เป็นครั้งแรกที่สมเด็จตกลงจากบัลลังก์ดอกบัวทองคำของตัวเองด้วยสภาพน่าขายหน้าเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังถูกหงส์เพลิงแทงเข้าอีกด้วย
ที่มุมปากของเขามีเลือดหยดลงมาอย่างมาก ทันทีที่ไอ เลือดก็จะทะลักออกมาเต็มปาก แต่เขากลับยังคงจ้องมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างอาฆาตมาดร้าย และปฏิเสธที่จะยอมจำนนต่อชะตากรรมอันน่าสังเวชนี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยถือดาบวงพระจันทร์ไว้ในมือพร้อมกับเดินเข้าไปหาเขา เสื้อคลุมของนางสว่างไสวเหมือนกับไฟที่สามารถเผาทุกสิ่งบนโลกให้กลายเป็นเถ้าธุลีได้ นางก้มลงมองชายชราที่แสงแห่งพระพุทธคุณเริ่มเลือนราง แล้วจึงกระตุกยิ้มขึ้นก่อนจะเยาะเขาว่า ”ท่านเคยเกลียดชังใบหน้าแห่งความชั่วร้ายของข้ามิใช่หรือ นี่อย่างไรล่ะ ใบหน้าแห่งความชั่วร้ายกับพระสารีริกธาตุของข้า หงส์เพลิงอย่างข้ามีตัวตนอยู่ก็เพื่อชำระล้างพระพุทธศาสนา ท่านหวาดกลัวเพราะรู้ถึงชะตากรรมของข้า และรู้จักจุดประสงค์ของใบหน้าแห่งความชั่วร้ายนี้ ท่านกลัวว่าข้าจะกระชากท่านลงมาจากอาสนะในสักวัน ดังนั้นท่านก็เลยวางแผนการที่จะใช้ประโยชน์จากชะตากรรมของข้า และสั่งให้ดอกบัวทองคำมาขโมยพลังธรรมะของข้าไป”
นางพูดต่อ ”เพียงเพราะท่านไม่อยากให้ข้าอยู่ในพระพุทธศาสนา และหวังว่าข้าจะหายไปโดยสมบูรณ์ ต่อให้ทุกอย่างจะถูกเปิดโปงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านก็มีแผนสำรองของตัวเองอยู่ แต่โชคร้ายที่ท่านรู้แค่เพียงเรื่องนี้เท่านั้น ท่านไม่รู้ว่าใบหน้าแห่งความชั่วร้ายของข้าจะไม่เพียงแต่สามารถปลดท่านออกจากตำแหน่งทางพระพุทธศาสนาได้ แต่ยังสามารถทำลายวิญญาณอรหันต์ของท่านได้อีกด้วย แต่ก็เป็นธรรมดาที่ท่านจะไม่รู้ เพราะคนเดียวในโลกที่รู้เรื่องนี้มีแค่พระศากยมุนีเท่านั้น ตอนที่เขาพาข้ามาที่พระพุทธศาสนา ข้าให้สัญญากับเขาไว้ว่าจะไม่สังหารพระอรหันต์ นอกเสียจากว่าพระพุทธศาสนาจะออกนอกลู่นอกทาง แต่ตอนนี้…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยลดสายตาลง และจ้องมองสมเด็จที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตัวเองอย่างเย็นชา เมื่อนางเห็นว่าเขากำลังพยายามหนีด้วยการใช้วิชาเร้นวิญญาณ นางจึงแทงเขาอย่างแรงไปอีกหนึ่งที!
หลังจากแสงแห่งพระพุทธคุณแสงสุดท้ายถูกฟันขาด สมเด็จจึงทำได้เพียงแค่มองวิญญาณอรหันต์ของตัวเองแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยริมฝีปากอันสั่นเทา
เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าใบหน้าแห่งความชั่วร้ายของหงส์เพลิงก็คือพระสารีริกธาตุของนางนี่เอง
มันคือกระดูกแห่งความเป็นกบฎและผู้ต่อต้านพระพุทธศาสนา
เขาวางแผนการมาอย่างถี่ถ้วนและคำนวณดวงชะตาไว้แล้ว แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะล้มเหลวได้
เขาคือสมเด็จ เป็นคนที่ทำให้พระศากยมุนีไม่สามารกลับคืนตำแหน่งทางพระพุทธศาสนาของตัวเองได้เป็นเวลาพันปี
แต่เขากลับพ่ายแพ้ให้กับสิ่งมีชีวิตจากภพชั้นต่ำระดับสามเช่นนี้ได้
สมเด็จมองเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาไม่ได้ปิดบังความชั่วร้ายที่อยู่ในดวงตาของตัวเองอีกต่อไป จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังมีเลือดทะลักออกมาจากลำคอว่า ”เจ้า… แค่ก เจ้าคิดว่าหลังจากฆ่าข้าได้แล้ว เจ้าจะได้อยู่อย่างมีความสุขหรือ อั๊ก เจ้าถูกลิขิตให้ไม่อาจมีความรักได้ตั้งแต่วันที่เจ้าเกิด ถ้า… ถ้าเจ้าทำตัวดีๆ เชื่อฟังพระพุทธศาสนา และทำตามคำสั่ง ข้าก็คงจะไม่ทำอะไรเจ้า แต่น่าเสียดายที่ความยโสโอหังของเจ้านั้นมีมากเกินไปจนเรื่องกลายเป็น อั๊ก กลายเป็นเช่นนี้ แต่ผลของมันก็ยังคงเป็นเช่นเดิม เจ้าไม่มีวันมีความสุขได้ ทุกสิ่งและทุกคนที่เข้าหาเจ้าล้วนแต่มีจุดประสงค์แอบแฝงด้วยกันทั้งนั้น คนที่ไร้จุดประสงค์ย่อมไม่มีวันได้อยู่กับเจ้า เจ้ากับตี้จวิน พวกเจ้าทั้งสองคน แค่กๆๆ ถูกชะตาลิขิตเอาไว้แล้วว่าจะไม่มีวันได้อยู่ด้วยกันตลอดกาล!”
หลังจากคำรามประโยคสุดท้ายออกมาได้ กระดูกซี่โครงของสมเด็จก็ถูกบดเป็นชิ้นๆ ทันที
ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว
คนที่ลงมือไม่ใช่เฮ่อเหลียนเวยเวย แต่เป็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ดวงตาทรงเสน่ห์ของเขาเคลื่อนลงมองอีกฝ่ายพลางออกแรงอย่างเต็มที่ ดวงตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีทองราวกับทองคำบนภพสวรรค์
ตึง!
ร่างของสมเด็จถูกผ่าครึ่ง ใบหน้าที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นมีสีหน้าบิดเบี้ยว ก่อนจะร่วงลงบนพื้นแล้วกลายเป็นแอ่งเลือดสีแดงเข้ม
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับดาบวงพระจันทร์ที่ยังไม่ได้เก็บเข้าฝัก แต่ในทันใดนั้น จู่ๆ นางก็กระแทกดาบขึ้นด้านบน!
ลำแสงแห่งพระพุทธคุณจำนวนนับไม่ถ้วนสว่างวาบเหนือตำหนักต้าสยง และสาดลงไปที่บรรดาพระอรหันต์ราวกับสายฝนแห่งคมดาบอันไร้ความปรานี
เพียงชั่วพริบตาเดียว วิญญาณของพระอรหันต์ที่อยู่ในระยะสามพันฉื่อก็ถูกทำลายจนไม่เหลือซาก!
สมเด็จก็สลายไปเช่นเดียวกัน ความเมตตาและความชั่วร้ายทุกหยาดหยดของเขาแตกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีพร้อมกับเสียงหงส์เพลิงขับขาน
สีหน้าอันทุกข์ทรมานของเหล่าพระอรหันต์ดูน่าสยดสยองยิ่งกว่าวิญญาณร้ายในทะเลเลือด หลังจากวิญญาณของพวกเขาโดนแยกออกมาทำลาย ร่างอรหันต์ของพวกเขาก็กลายเป็นเถ้าถ่านทันที
เมื่อสายลมพัดผ่าน ทุกสิ่งก็อันตรธานหายไป เหลือแต่เพียงความว่างเปล่า
บุตรแห่งราชานรกยืนอยู่ที่เดิมอย่างเย็นชาพร้อมกับมองออกไปข้างนอก
แสงแห่งพระพุทธคุณยังพอมองเห็นได้จางๆ บนศีรษะของบรรดาสามเณรตัวน้อยที่นั่งทำสมาธิอยู่บนบันไดสวรรค์เก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้นเพื่อปกป้องอาราม
นกศักดิ์สิทธิ์บินอยู่เหนือภูเขาน้ำแข็งพร้อมกับต้นโพธิ์ที่งอกขึ้นมาจากผืนดิน สิ่งที่เกิดขึ้นนี้นับเป็นปาฏิหาริย์อย่างมาก บรรดาพระอรหันต์ต่างกลับคืนสู่ตำแหน่งของตัวเอง และในอีกไม่ช้า วาสนาต่อพระพุทธศาสนาของพระศากยมุนีก็จะได้บรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียว