บทที่ 228 สั่นสะเทือนสรรพชีวิตด้วยพิษ ทำลายล้างโลกด้วยสิ่งต้องห้าม
สวี่ชิงจ้องกล่องปรารถนาเขม็ง ดวงตามีประกายประหลาด
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินอู๋เจี้ยนอูพูดไว้ว่าด้านในกล่องปรารถนาจะปรากฏอะไรออกมาก็ได้ทั้งนั้น ถ้าดีหน่อยอาจจะเปิดได้สิ่งสืบทอดระดับจักรพรรดิ ถ้าแย่หน่อยก็อาจจะเป็นของอย่างใบไม้แห้งๆ ใบหนึ่ง
จะเปิดได้อะไรก็อยู่ที่ดวง
และการเปิดครั้งแรกก็มียาลูกกลอนและแผ่นหยก นี่ถือว่าดวงดีมากแล้วจากความเข้าใจของสวี่ชิงก่อนหน้านี้
เวลานี้เขาสงบใจตนเอง เตรียมจะหยิบแผ่นหยกขึ้นมาตรวจสอบ
แต่ตอนนี้เอง สวี่ชิงจู่ๆ ก็หน้าเปลี่ยนสี เขารีบยกมือปิดกล่องปรารถนาลงฉับพลันเสียงดังแกร๊ก ขณะที่ปิดกั้นกลิ่นอายด้านในของมัน ทั่วร่างของเขาก็เริ่มดำคล้ำขึ้นมาอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“พิษ?” สวี่ชิงดวงตาแข็งค้าง
ไม่เพียงในร่างกายเท่านั้น กระทั่งอวัยวะภายในทั้งห้าเองก็ราวกับกำลังเน่าสลายเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะสิ่งที่ทำให้สวี่ชิงตกตะลึงก็คือ เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดเลย
ไม่ว่าจะในร่างกายหรือเลือดเนื้อก็ไม่มีสิ่งผิดปกติใดแม้แต่น้อย ราวกับว่าความดำคล้ำและการแห้งเหี่ยวในตอนนี้ เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น กระทั่งสัญชาตญาณรวมถึงพลังเวทในร่างกายของเขา ก็ยังไม่สังเกตเห็นอะไรทั้งสิ้น
แต่ไม่ว่าตาที่มองเห็น หรือว่าความเข้าใจต่อวิถีพิษของสวี่ชิง ก็ยิ่งทำให้เขายืนยันว่าพิษที่ตนเองติดไม่ธรรมดา
“นี่มันพิษอะไรกัน…” สวี่ชิงงึมงำ เนื้อบนใบหน้าเริ่มหลุดติดเลือดร่วงลงมาทีละก้อน ไม่เพียงแค่บนใบหน้า เวลานี้ทั่วร่างเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ยังคงไม่มีความรู้สึกใด
สวี่ชิงครุ่นคิด ก้มหน้าลงใช้ตาเปล่าสำรวจร่างกาย ขั้นตอนทั้งหมดคงอยู่ไปถึงหนึ่งชั่วก้านธูปเต็ม สวี่ชิงแม้จะเปื่อยไปทั้งตัว แต่ก็ฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็วเช่นกันภายใต้การฟื้นฟูของผลึกวารีสีม่วง
เมื่อพ้นหนึ่งชั่วก้านธูปการเปื่อยย่อยก็หายไปเช่นนี้ และพอผ่านไปอีกหนึ่งชั่วก้านธูป ทั่วร่างสวี่ชิงก็มีแสงม่วงโอบล้อม เริ่มฟื้นฟูขึ้นมาทีละน้อย จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยาม ร่างกายของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาดังเดิม
สวี่ชิงกลั้นลมหายใจ ก้มหน้าลงมองกล่องปรารถนา ในดวงตาเผยประกายเลือนลาง
‘นี่เป็นลูกลอนพิษหรือ
‘ลูกกลอนพิษที่ปิดผนึกมาหลายปี แค่กลิ่นอายที่แผ่ออกมา ก็ทำลายร่างและจิตวิญญาณคนได้…’ หลังจากสวี่ชิงครุ่นคิดก็เปิดกล่องปรารถนาขึ้นอีกครั้ง
ต่อให้มีผลึกวารีสีม่วงอยู่ แต่ผลของพิษนี้น่าตกตะลึงเหลือเกิน สวี่ชิงไม่กล้าทดสอบหยิบลูกกลอนพิษขึ้นมาตรวจสอบตรงๆ ด้วยกังวลว่าถ้าไปสัมผัสเข้า เกรงว่าถ้าการฟื้นฟูของผลึกวารีสีม่วงช้าจนตามความเร็วการกำเริบของพิษไม่ทัน ถึงตอนนั้นคงวิกฤตเป็นแน่
แต่ความรู้วิถีพิษของเขาก็ไม่ได้ตื้นเขินนัก รู้ว่าควรจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร หลังจากครุ่นคิด เขาก็ก้มหน้ามองกล่องปรารถนาที่เปิดอยู่ พอผ่านไปครู่หนึ่งก็ปิด และการเปื่อยย่อยก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
“ปกติแล้ว พอติดพิษไปหลายๆ ครั้ง ก็จะเกิดปฏิกิริยาต้านพิษระดับหนึ่งขึ้นมา”
สวี่ชิงพึมพำ ไม่สนใจการเปื่อยย่อยของร่างกาย ยกมือขึ้นคว้าหญ้าสมุนไพรมากมายจากโต๊ะยาข้างๆ เริ่มจัดสรรยาลูกกลอนที่ลบล้างอาการพิษตามสภาพร่างกายของตนเวลานี้
สวี่ชิงไม่รู้ตัวยาหลักของพิษชนิดนี้ ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดเรื่องยาแก้พิษ สิ่งที่เขาทำคือใช้ยาตามอาการ ในเมื่อพิษนี้คือการเปื่อยย่อย เช่นนั้นก็หลอมยาพลังเลือดลมขึ้นมาบรรเทาเสีย
ไม่นานนัก ตัวยาเหลวก็เป็นรูปเป็นร่าง สวี่ชิงกลืนลงไป จนกระทั่งอาการพิษกำเริบรอบนี้สิ้นฤทธิ์ เขาถึงทำตามวิธีการปรุงยา จัดการเปิดกล่องปรารถนาอีกหลายครั้ง ท้ายสุดก็ผ่านไปหนึ่งคืน ช่วงรุ่งสาง ในที่สุดสวี่ชิงก็ต้านทานพิษได้เล็กน้อย
เขาจึงสวมถุงมือ ล้วงแผ่นหยกออกมาอย่างระมัดระวัง ถ่ายพลังเวทเข้าไปแล้วอ่าน เพียงไม่นานเสียงที่ผ่านโลกมาโชกโชนแต่มีความอ่อนแรงเสียงหนึ่งก็ดังก้องในจิตวิญญาณของสวี่ชิงออกมาจากแผ่นหยก
“วิถีอันใด
“สามพันวิถี มุ่งสู่การบรรลุได้ ในนี้อาจมีวิถีแห่งพิษอยู่ก็เป็นได้กระมัง
“เหล่ามนุษย์รังเกียจความมืดมิด รังเกียจพิษที่ชั่วร้าย หากใช้มันเป็นหลักของวิถีย่อย จักกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มิได้หรือ
“ตัวข้าก็เคยเข้าใจเช่นนี้ ละทิ้งวิถีพิษที่ชั่วร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสังหารต่างเผ่าที่ย่างออกมาจากแผ่นดินเทวะ คนผู้นี้พลังบำเพ็ญสูงส่ง วิถีชั่วร้ายที่ฝึกบำเพ็ญมายอดเยี่ยม เขาจ้องมองมาด้วยเนตรพิษก่อนที่จะตาย ทำให้ข้าฝึกหนึ่งวันก็ร่วงลงมาหนึ่งระดับขั้นใหญ่ เพียงสิบวันก็กลายเป็นมนุษย์ปุถุชน ใช้ชีวิตผ่านวันคืนในโลกมนุษย์ไปหกสิบปี ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส สิ้นเปลืองสิ่งล้ำค่าไปมหาศาล สุดท้ายในชีวิตที่เอาตัวรอดไปวันๆ ก็นำพิษนี้หลอมกับร่างกายจนออกมาเป็นลูกกลอนเม็ดหนึ่ง
“นับจากนั้น ข้าก็ค้นคว้าลูกกลอนนี้ จนกระทั่งภัยพิบัติมาถึงก็ยังไม่บังเกิดผล จึงเหลือไว้ครึ่งหนึ่งแด่คนรุ่นหลัง
“ลูกกลอนนี้คือพิษ และเป็นสิ่งต้องห้ามด้วยเช่นกัน! หากผู้บำเพ็ญระดับสูงได้รับไป ห้ามใช้งานกับตนเอง มันคือหายนะที่มิอาจฟื้นฟู จักต้องพานพบกับความตายอย่างแน่นอน จำต้องค้นหาผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ ให้เขาใช้ลูกกลอนพิษนี้ฝึกบำเพ็ญแทนที่แก่นลมปราณในวังสวรรค์ จนกลายเป็นการฝึกบำเพ็ญลูกกลอนพิษที่ไม่เหมือนใคร
“มีเพียงสิ่งนี้จึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณ ทำให้ตนเองก้าวเดินในวิถีแห่งลูกกลอนต้องห้าม!
“ด้วยการอนุมานของข้า วิถีแห่งลูกกลอนต้องห้ามคือการสั่นสะเทือนสรรพชีวิตด้วยพิษ ทำลายล้างโลกด้วยสิ่งต้องห้าม น่าหวาดหวั่นพรั่นสะพรึง มันอาจเป็นวิชาแห่งแผ่นดินเทวะที่ยากจะคาดเดา และแผ่นดินเทวะท้ายสุดจะกลายเป็นมหาวายร้ายของเผ่าทั้งหมดอย่างแน่นอน!”
จิตวิญญาณสวี่ชิงโหมคลื่นขนาดยักษ์ขึ้นมา จ้องแผ่นหยกในมือเขม็ง ม่านตาหดเล็กลง ร่างกายเขาปรากฏการเปื่อนย่อยอีกครั้ง
สวี่ชิงหลับตาลงแล้วระลึกถึงเนื้อหาในแผ่นหยกเงียบๆ ขณะเดียวกันผลึกวารีสีม่วงก็กำลังเปล่งแสงจ้า ต่อต้านพิษในร่างกาย
ชช่วงกลางวันไหลผ่านไปเช่นนี้ ราตรีมาเยือน ขณะที่จันทร์ลอยกระจ่างฟ้า สวี่ชิงก็ลืมตาทั้งสองขึ้น
ขณะที่ร่างกายเขากำลังต้านทานกับพิษประหลาดในกล่องปรารถนาอย่างต่อเนื่อง ความสามารถต้านทานพิษก็ยกระดับขึ้นอีกเล็กน้อย เขาจึงเปิดกล่องปรารถนาอีกครั้งอย่างระมัดระวัง จ้องไปที่ลูกกลอนดำเม็ดนั้น
ต่อให้สวมถุงมืออยู่ สวี่ชิงก็ยังไม่กล้าไปสัมผัส
’นี่เป็นลูกกลอนพิษเม็ดหนึ่งที่มาจากยุคสมัยที่แล้ว ไม่ใช่เอาไว้ให้คนกิน แต่ให้ทำการหลอมมันจนกลายเป็นแก่นลมปราณในร่างกายตนเอง’
ดวงตาสวี่ชิงเผยประกายวูบหนึ่ง ทำการตรวจสอบอย่างละเอียด จัดการปิดมันไปหลายครั้ง จนกระทั่งร่างกายฟื้นฟูและพอจะปรับตัวได้แล้ว จึงเปิดมันออกแล้วค้นคว้าต่อ
จนฟ้าสว่าง หลังจากผ่านการค้นคว้าหลายครั้งตลอดคืน ในที่สุดสวี่ชิงก็เห็นเบาะแสบางอย่าง
ลูกกลอนพิษเม็ดนี้ คือวาสนาครั้งใหญ่สำหรับเขา และยังเป็นโอกาสของระดับแก่นลมปราณอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นระดับแก่นลมปราณของยุคสมัยนี้ยังแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง และถ้าตนเองฝึกบำเพ็ญลูกกลอนนี้จริงๆ เช่นนั้นพลังสังหารจะต้องน่าสะพรึงแน่นอน
เพียงแต่ขั้นตอนของมัน ก็อันตรายยและยากลำบากอย่างยิ่ง
สวี่ชิงเหมือนครุ่นคิด ระลึกถึงสิ่งที่บรรยายอยู่ในแผ่นหยก แม้ตอนนี้เขาจะไม่ใช่ระดับแก่นลมปราณ แต่ก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลนัก
‘น่าเสียดายที่ลูกกลอนนี้เป็นแค่ของสำเร็จรูป ยิ่งไปกว่านั้นยังผ่านการชะล้างของกาลเวลาไปอีก ทำให้ยาลูกกลอนเสื่อมสภาพไปบ้าง…’
ด้วยความรู้ความเข้าใจเรื่องพิษของสวี่ชิง เขาย่อมมองออกว่าลูกกลอนพิษสีดำเม็ดนี้อยู่ในสภาพแห้งเหี่ยว หากคิดจะทำให้มันไปถึงระดับที่สามารถนำมาใช้งานได้ จำเป็นต้องจัดการหลอมมันใหม่อีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้นขั้นตอนการหลอมใหม่ ก็เป็นขั้นตอนการค้นคว้าและทำความเข้าใจลูกกลอนนี้ของตนเองเช่นกัน
“การหลอมลูกกลอนพิษใหม่ การจะกระตุ้นมันขึ้นมา จำเป็นต้องใช้พิษมหาศาล!” สวี่ชิงปิดกล่องหยก เก็บอย่างระมัดระวัง แล้วจึงถอนหายใจโล่ง ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เขารู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองได้จากกล่องปรารถนาครั้งนี้ จะต้องอยู่ในระดับยอดเยี่ยมแน่นอน
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกสนใจกล่องปรารถนาที่ยังชุบเลี้ยงไม่สมบูรณ์อีกใบมากกว่า
“ไม่รู้ว่ารางวัลสงครามจะแจกจ่ายมาตอนใด” หากคิดจะหลอมยาลูกกลอนนี้ใหม่ จำเป็นต้องใช้หินวิญญาณมหาศาลไปซื้อสมุนไพรพิษต่างๆ รวมถึงทำการหลอม เรื่องนี้ทำให้สวี่ชิงที่กระเป๋าแห้ง เริ่มคิดถึงสงครามที่กำลังจะมาถึง
แต่การชดเชยสงครามของเผ่าสิงซากสมุทรยังไม่ส่งมา สำนักจึงยังไม่ได้แจกจ่าย สวี่ชิงจึงล้วงเอาป้ายฐานะออกมาตรวจสอบเอกสารของสำนักในช่วงหลายวันนี้อย่างจำใจ
พอมองไป ดวงตาสวี่ชิงก็แข็งค้างทันที
หลายวันมานี้เขาที่จมอยู่กับการค้นคว้าลูกกลอนพิษต้องห้ามไม่ได้สนใจกับโลกภายนอก ไม่รู้ว่าหลายวันนี้ ในสำนักเกิดเรื่องใหญ่ที่สั่นสะเทือนศิษย์ทั้งหมด กระทั่งทำให้ศิษย์ยอดเขาอื่นๆ เกิดคลื่นอารมณ์ขึ้นมา
เรื่องใหญ่นี้ เกี่ยวข้องกับอัจฉริยะฟ้าประทานพันธมิตรเจ็ดสำนักที่มาเยี่ยมเยือน!
หลายวันก่อนหน้า อัจฉริยะฟ้าประทานพันธมิตรเจ็ดสำนักที่เข้ามาอย่างห้าวหาญ เดิมทีการมาเยือนของพวกเขาก็ดึงดูดความสนใจของศิษย์ยอดเขาทั้งหมดของเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว วิธีการปรากฏตัวรวมถึงความยอดเยี่ยมก็ล้วนทำให้ผู้คนต้องจับจ้อง
และในวันถัดมา อัจฉริยะฟ้าประทานเจ็ดสำนักเหล่านี้ก็เหมือนจะมาพร้อมกับภารกิจและคำสั่งบางอย่าง เริ่มพากันท้าท้ายเหล่าองค์ชายองค์หญิงยอดเขาต่างๆ ของเจ็ดเนตรโลหิต!
เหมือนจะสร้างอำนาจ!
ในบรรดาเหล่านั้นโดยเฉพาะเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องจากสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานอันดับหนึ่งแห่งยุคของพันธมิตรเจ็ดสำนัก ผู้อยู่ลำดับแรกสุด มีพลังที่สะกดผู้บำเพ็ญทั้งหมดในระดับเดียวกัน
ชื่อเสียงของเขายิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่ในมณฑลรับเสด็จราชัน กระทั่งเขตปกครองผนึกสมุทรหรือมณฑลอื่นก็มีการเล่าลือ และที่คนเขาไปท้าทาย คือยอดเขาลำดับหนึ่ง
ยอดเขาลำดับหนึ่งของเจ็ดเนตรโลหิตก็แยกย่อยออกมาจากสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องผู้นี้อยู่นั่นเอง
และในวันนั้น เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องผู้นี้ย่างขึ้นยอดเขาลำดับหนึ่ง หลังจากเข้าทักทายบรรพจารย์รวมถึงเจ้ายอดเขาลำดับหนึ่งแล้ว ก็เอ่ยท้ายทายองค์ชายใหญ่ยอดเขาลำดับหนึ่งด้วย
แต่องค์ชายใหญ่ยอดเขาลำดับหนึ่งยังคงปิดด่านเพื่อทะลวงระดับแก่นลมปราณ ไม่สามารถออกมาต่อสู้ได้ ดังนั้นองค์ชายสองระดับสร้างฐานขั้นบริบูรณ์ของยอดเขาลำดับหนึ่งจึงรับคำท้า
ศึกนี้ เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องโจมตีเพียงครั้งเดียว ก็เล่นงานจนกระดูกขององค์ชายสองยอดเขาลำดับหนึ่งแตกละเอียดไปทั้งร่าง ขณะที่เกือบต้องทิ้งชีวิต รากฐานก็ย่อยยับไปกว่าครึ่ง
กระทั่งขนาดผู้อาวุโสแก่นลมปราณเข้าขัดขวาง ก็ยังช่วยไว้ไม่ได้ เมื่อสัมผัสกับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องคนนี้กลางอากาศ ก็ถูกระเบิดถอยหลังออกไปนับร้อยจั้งเช่นเดียวกัน
ฉากนี้สั่นสะเทือนไปทั้งเจ็ดเนตรโลหิต โดยเฉพาะตอนที่โจมตีใส่ผู้อาวุโสแก่นลมปราณคนนั้น เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องคนนี้จุดไฟชีวิตทั้งสี่ดวงออกมาจนหมด ตะเกียงแห่งชีวิตจุดสว่าง จนกลายเป็นพลังต่อสู้ระดับไฟชีวิตห้าดวง รวมเข้ากับวิชาระดับจักรพรรดิ จึงพุ่งไปถึงพลังต่อสู้ไฟชีวิตหกดวงที่น่าพรั่นพรึงในพริบตา
พลังต่อสู้เช่นนี้ คือตัวตนในตำนานของระดับสร้างฐานแล้ว คนมากมายปรารถนาแต่มิอาจเอื้อมถึง สามารถขนานนามได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้โดดเด่นสูงสุดระดับสร้างฐานของทุกเผ่าได้เลยทีเดียว พบเห็นได้น้อยถึงน้อยมาก
คำเล่าลือเรื่องคุณสมบัติแห่งจักรพรรดิโบราณก็แพร่ไปทั้งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเพราะศึกครั้งนี้ และทำให้ศิษย์ยอดเขาอื่นๆ ในเจ็ดเนตรโลหิตเกิดความรู้สึกไร้ซึ่งกำลังขึ้นมาอย่างเสียมิได้
แข็งแกร่งเหลือเกิน
ขณะเดียวกันอัจฉริยะฟ้าประทานจากสำนักต่างๆ ที่มาจากพันธมิตรเจ็ดสำนักก็พากันท้าทายยอดเขาแยกย่อยของสำนักตน พวกเขาไม่ได้มีท่วงท่าพลังระดับหนึ่งคนสะกดทั้งยอดเขาแบบเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง
ในการท้าทายนี้มีทั้งแพ้และชนะ แต่พูดโดยรวมคืออัจฉริยะฟ้าประทานของพันธมิตรเจ็ดสำนักมีชัยมากกว่าระดับหนึ่ง ทว่าการท้าทายนี้ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับยอดเขาทั้งหมด ยอดเขาลำดับเจ็ด…กลับไม่ถูกท้าทาย
แต่หนึ่งยอดเขาก็ไม่ใช่ตัวแทนของหนึ่งสำนัก ดังนั้นในช่วงหนึ่ง เจ็ดเนตรโลหิตที่ได้รับชัยชนะจากสงครามเผ่าสิงซากสมุทรและอยู่ในช่วงเฉลิมฉลอง แต่กลับต้องมารู้สึกหดหู่เสียอย่างนั้น
และการท้าทายนี้ก็ถูกเผ่าต่างๆ ที่เข้ามาเป็นพยาน ความแข็งแกร่งของพันธมิตรเจ็ดสำนักเผยออกมาในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
ใครๆ ก็ล้วนมองออกว่าที่พันธมิตรเจ็ดสำนักมาครั้งนี้ก็เพื่อมาทุบตี มาเพื่อสร้างอำนาจ!
ที่เข้ามาเปรียบเทียบไม่ใช่พลังต่อสู้ระดับสูง
เพราะพลังต่อสู้ระดับสูงไม่จำเป็นต้องมาเปรียบเทียบ
ต่อให้คุณสมบัติของเสี่ยเลี่ยนจื่อจะน่าตกตะลึงและยังมีวาสนาที่ไม่อาจคาดเดา พลังบำเพ็ญทะลวงขั้นจากระดับสมบัติวิญญาณไปถึงมหาขั้นสู่อนัตตาเช่นเดียวกับบรรพจารย์สำนักทั้งหมดในเจ็ดสำนักก็ตาม แต่เขาก็เป็นเพียงคนคนเดียว
พลังต่อสู้ระดับสูงของพันธมิตรเจ็ดสำนัก ไม่ใช่เพียงแค่เจ็ดเท่านั้น แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เจ็ดสำนักนี้มีของวิเศษเวทต้องห้ามอยู่!
ดังนั้นพลังต่อสู้ระดับสูงไม่พูดก็เข้าใจ ครั้งนี้จึงไม่มีระดับสูงของพันธมิตรเจ็ดสำนักมา แต่กลับส่งศิษย์อัจฉริยะฟ้าประทานของแต่ละสำนักมาแทน ที่ต้องการ…ก็คือสะกดศิษย์ในยุคนี้ทั้งหมดของเจ็ดเนตรโลหิต หว่านเมล็ดที่ไม่อาจต้านทานได้ในใจพวกเขา
สวี่ชิงเข้าใจเรื่องนี้ดี แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา เขาไม่ใช่พวกองค์ชาย แม้จะเคยทำการใหญ่ เข้าสู่ลำดับ แต่เขาก็ไม่ใช่คนร้ายหลักของเรื่องนั้น ยังมีองค์ชายอีกมากมายอยู่ ย่อมไม่มีใครเข้ามาซักถามเขาแน่นอน
เวลาไหลผ่านไปทีละวันๆ เช่นนี้ ขณะที่อัจฉริยะฟ้าประทานเจ็ดสำนักท้าทายต่อเนื่อง อำนาจเพิ่มขึ้นตลอด ขณะที่ก้นบึ้งจิตใจของศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตกำลังหดหู่ กลางดึกวันนี้ สวี่ชิงที่กำลังค้นคว้าลูกกลอนพิษจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น ในแผ่นหยกสื่อเสียงเขา มีรายงานขอคำสั่งมาจากกรมปราบพิฆาต
“นายท่าน ท่าเรือเจ็ดสิบเก้ามีพวกนกเขาราตรีกลุ่มใหญ่รวมตัวกันเพื่อทำการแลกเปลี่ยน ส่วนคนที่มาแลกเปลี่ยน…เหมือนจะเป็นซือหม่าหลิง อัจฉริยะฟ้าประทานจากสำนักล่าสิ่งประหลาด!
“จะจัดการอย่างไร นายท่านโปรดตัดสินใจด้วย!”