บทที่ 233 เมื่อม้าไม่ได้กินหญ้ายามราตรีก็จักไม่เติบโต
“ต้องห้าม?”
สวี่ชิงมึนงง เขาไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน และไม่รู้ว่าต้องห้ามที่ว่าคืออะไร
แต่ไม่นานจากการที่บรรพจารย์สำนักวัชระสื่อสารกับเจ้าเงาแล้วแจ้งแก่เขา สวี่ชิงก็รู้จักสิ่งต้องห้าม ตัวตนที่อยู่เหนือของวิเศษเวทแล้ว
ส่วนเจ้าเงารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร บรรพจารย์สำนักวัชระเองก็เข้าไปถามอย่างรู้ใจ คำตอบของเจ้าเงาคือตัวมันก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เหมือนเมื่อได้เห็นก็รู้ทันที
ขณะเดียวกันเจ้าเงาก็แผ่คลื่นอารมณ์ที่รุนแรงออกมา มีความปรารถนาแรงกล้า คิดจะเข้าไปกลืนกิน
สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงครุ่นคิด แต่เขาก็ยังไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของเจ้าเงา นอกจากว่าเขาจะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม มิเช่นนั้นของล้ำค่าเช่นนี้เขาไม่มีทางปล่อยให้เจ้าเงาไปสูดรับง่ายๆ แน่นอน
ไม่แน่ว่าระหว่างที่สูดรับอีกฝ่ายจะก่อเรื่องอย่างการทรยศอีกหรือไม่ ดังนั้นหลังจากสวี่ชิงครุ่นคิดก็ปิดกล่องไม้ลง เจ้าเงาก็ดูอาลัยอาวรณ์
จากนั้นเขาจึงมองเจ้าเงาผาดหนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า
“ถ้าหากเจ้าทำตัวดีๆ อนาคตข้าจะพิจารณาให้เจ้าสูดรับมัน”
เจ้าเงาตื่นเต้นทันที บรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ข้างๆ ก็จิตใจสั่นสะท้านขึ้นมา ใจที่ระแวดระวังเจ้าเงาก็ยิ่งทวีความรุนแรงกว่าเดิม เขารู้สึกว่าตนเองจำเป็นต้องใช้วิธีอะไรบางอย่าง ไม่เช่นนั้นคงถูกเจ้าเงาโง่แย่งความโปรดปรานไปง่ายๆ แน่
สวี่ชิงตรวจสอบถุงเก็บของของซือหม่าหลิงต่อโดยไม่สนใจบรรพจารย์สำนักวัชระกับเจ้าเงา สิ่งของที่เหลือทั้งหมดด้านใน เขาค้นหาอยู่นาน ก็พบว่าล้วนเป็นของจิปาถะทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งของอะไรซ่อนอยู่อีก
จึงเลิกค้นหา ท้ายสุดก็หยิบเอายาลูกกลอนทั้งห้าขึ้นมาดม จากนั้นดวงตาสวี่ชิงก็เผยความเด็ดเดี่ยว หยิบหนึ่งเม็ดโยนเข้าปากไปทันที พริบตาต่อมาสวี่ชิงสั่นระรัวไปทั้งร่างจากการละลายของยาลูกกลอน
เขาสัมผัสได้ว่ามีพลังระเบิดอย่างรุนแรงในร่างกาย กำลังรวมตัวอย่างบ้าคลั่ง
นี่ไม่ใช่พลังวิญญาณ ดูคล้ายกับลูกกลอนที่สร้างขึ้นจากตำรับยาชั้นสูงประเภทหนึ่งใช้เปิดช่องเวทโดยเฉพาะ
ขณะที่กำลังรวมตัวอย่างต่อเนื่องนี้ สวี่ชิงยังไม่ได้เปิดตำแหน่งช่องเวทที่แปดสิบสี่ ความรู้สึกชายิ่งรุนแรงขึ้น จนกระทั่งพริบตาที่พลังระเบิดขึ้นครืนครัน พุ่งตรงไปทะลวงตำแหน่งช่องเวทที่แปดสิบสี่ฉับพลัน
สวี่ชิงสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ดวงตาเปล่งแสงสีม่วง เผยความยินดีปรีดา
“ยาลูกกลอนหนึ่งเม็ด กลับเปิดช่องเวทข้าได้หนึ่งช่องเลย!”
ประสิทธิภาพเช่นนี้เหนือกว่าลูกกลอนวิญญาณที่สวี่ชิงซื้อมาจากตลาดมืดก่อนหน้า พูดได้ว่าจนถึงตอนนี้ นอกจากลูกกลอนวิญญาณที่หลอมจากวิญญาณไป๋ลี่แล้ว ถือเป็นลูกกลอนที่มีประสิทธิผลดีที่สุด
เวลานี้เขาสัมผัสได้ถึงการโคจรครืนครันของช่องเวทที่แปดสิบสี่ในร่างกาย จึงหยิบเอาลูกกลอนเม็ดที่สองกลืนลงไปอย่างไม่ลังเล ครู่ต่อมา ร่างกายสวี่ชิงก็สั่นสะท้านอีกครั้ง ลมหายใจหอบถี่
ช่องเวทที่แปดสิบห้าเปิดออกด้วยเช่นเดียวกัน!
”ประสิทธิภาพไม่ได้ลดทอนลงเลย!” สวี่ชิงตระหนักถึงความล้ำค่าของลูกกลอนนี้ได้อย่างชัดเจน คิดแล้วมูลค่าของมันจะต้องมหาศาลเป็นแน่ นอกจากนี้เขารู้ซึ้งถึงความร่ำรวยของอัจฉริยะฟ้าประทานพันธมิตรเจ็ดสำนักแล้ว
“ยังมีอีกสามเม็ด” ในดวงตาสวี่ชิงเปล่งประกาย กลืนยาลูกกลอนเม็ดที่สามลงไป เพียงไม่นานช่องเวทที่แปดสิบหกก็เปิดออก
สวี่ชิงยังไม่หยุด จัดการกลืนยาลูกกลอนสองเม็ดที่เหลือลงไป หลังผ่านไปหนึ่งชั่วก้านธูป ช่องเวทแปดสิบแปดในร่างกายเขาก็ก่อพลังเวทที่น่าตกตะลึงออกมา ในร่างกายเขาราวกับมีมังกรไฟกำลังหมุนเวียนอย่างรุนแรง แผ่พลังเปลวไฟร้อนแรงเกินกว่าก่อนหน้านี้ออกมา
“เหลืออีกสองช่องเวท ก็จดไฟชีวิตดวงที่สามได้แล้ว!”
ในดวงตาสวี่ชิงเผยความตื่นเต้น
หลายวันถัดจากนั้น เขาจึงคิดจะรวบรวมลูกกลอนวิญญาณในเจ็ดเนตรโลหิตมาทะลวงช่องเวทสองช่องสุดท้าย แต่ของอย่างลูกกลอนวิญญาณ การหาซื้อยังต้องใช้เวลาอยู่บ้าง ยากที่จะหาซื้อมาได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนเลือดเนื้อความเป็นเทพสองชิ้นนั้น สวี่ชิงลองทดสอบดูแล้ว ประสิทธิภาพยังไม่ได้ดีที่สุด สวี่ชิงจึงเลือกไปใส่ไว้ในเรือใหญ่เวท
แต่สวี่ชิงก็ยังมีทางเลือกอื่น เขาออกจากท่าจอดเรือ ตรงไปยังคุกกรมปราบพิฆาต
ที่นั่นมีผู้บำเพ็ญนกเขาราตรีอยู่มากมาย แม้พลังบำเพ็ญจะอ่อนแอมาก แต่พอจำนวนมากเข้า สวี่ชิงก็รู้สึกว่าถ้าเอามารวมกันจนปริมาณมากพอ บางทีอาจจะสามารถเปิดช่องเวทได้
นอกจากนี้ในขณะหลอมวิญญาณ สวี่ชิงก็ทำการปรับสภาพกับความเป็นพิษของลูกกลอนพิษต้องห้ามไปด้วย ทำให้ร่างกายตนสามารถค้นคว้าได้นานขึ้นอีกหน่อย กระทั่งเขาก็กำลังพิจารณาว่าจะทำให้แมลงสีดำรวมเข้ากับยาลูกกลอนพิษนี้อย่างไร
นี่เป็นหัวข้อใหม่ สวี่ชิงรู้สึกว่าหากอยากจะได้ ก็ยังต้องทำการทดลองอีกมากมายจึงจะสำเร็จ
เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่านเช่นนี้
การเฉลิมฉลองของเจ็ดเนตรโลหิตยังคงดำเนินต่อไป ทุกวันยังคงมีต่างเผ่าเข้ามา ทำให้ท่าเรือทั้งหมดคึกคักอย่างมาก เพียงแต่จิตใจของศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตกลับหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
เพราะการท้าทายจากเจ็ดสำนัก แม้ชักช้าไปบ้างจากเรื่องของสวี่ชิง แต่ไม่นานนักก็เริ่มขึ้นใหม่อีกครั้ง
เหมือนว่าพันธมิตรเจ็ดสำนักจะท้าทายลากยาวไปสามเดือนอย่างไรอย่างนั้น ส่วนเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องจากสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า แม้จะลงมือแค่ครั้งเดียวก็ไม่ได้ลงมืออีก แต่เขาก็ยังพักอยู่ในยอดเขาลำดับหนึ่ง
ด้านนอกจุดที่เขาพัก ตะเกียงลมครวญเจ็ดสีที่ครอบลงมาสะท้านฟ้ากระเทือนดิน สะกดพลังของศิษย์ยอดเขาลำดับหนึ่ง ทำให้ต่างเผ่าและพันธมิตรที่มาจากภายนอกพากันเงียบงัน
ท่าทีของพันธมิตรเจ็ดสำนักชัดเจนอย่างมาก
การทุบตีเช่นนี้ไม่ใช่แค่การแสดงท่าทีเฉยๆ แต่เป็นการเตือนโดยอ้อมๆ อย่างหนึ่ง
เตือนเจ็ดเนตรโลหิตว่าอย่าได้มีความคิดที่จะเป็นอิสระ ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือว่าหลังจากงานเลี้ยงเฉลิมฉลองนี้ เจ้ายอดเขาทั้งเจ็ดของเจ็ดเนตรโลหิตจะถูกพันธมิตรเจ็ดสำนักจัดระเบียบทั้งหมด จัดหาเจ้ายอดเขาคนใหม่เข้ามารับช่วงต่อ
ทั้งๆ ที่เจ็ดเนตรโลหิตเป็นฝ่ายรบชนะเผ่าสิงซากสมุทร ยิ่งไปกว่านั้นยังทรงพลังโดดเด่นช่วงเวลาหนึ่ง แต่กลับถูกพันธมิตรเจ็ดสำนักสะกดไว้เช่นนี้ ขณะเดียวกันบรรพจารย์ของเจ็ดเนตรโลหิตเองก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดอีกด้วย
สวี่ชิงก็สัมผัสได้ถึงความหดหู่ในสำนัก แต่เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องธรรมดาๆ โดยเฉพาะตอนที่นายกองพูดถึงสิ่งที่เห็นในยอดเขาลำดับหก ทำให้สวี่ชิงเกิดลางสังหรณ์ว่าเหมือนสำนักกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง
“ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นการติดสินใจและการวางหมากของพวกระดับสูง” สวี่ชิงส่ายหัวไม่สนใจ จมดิ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญต่อ และช่วงนี้นายกองเองก็กลับมาแล้ว หลังจากสื่อเสียงแจ้งสวี่ชิงก็ไม่รู้กำลังวุ่นอยู่กับอะไร
ส่วนสวี่ชิงหลายวันมานี้แม้จะยังเปิดช่องเวทจากการหลอมวิญญาณอย่างต่อเนื่องไม่สำเร็จ แต่กลับค้นคว้ายาลูกกลอนพิษต้องห้ามได้บางส่วน ไม่เพียงแค่ร่างกายที่ปรับตัวได้มากขึ้น แต่ยังแน่ใจกับแนวคิดที่จะหลอมขึ้นใหม่ด้วย
นอกจากนี้เขายังลองควบคุมแมลงสีดำให้ผสานเข้าไปในลูกกลอนพิษต้องห้ามอีกด้วย เพียงแต่ขั้นตอนนี้ทำให้แมลงสีดำเสียหายไปอย่างมาก ผสานเข้าไปหลายฝูง แต่ก็ไม่สำเร็จเลยแม้แต่ตัวเดียว
เมื่อเข้าใกล้ก็ตายหมด
แต่สวี่ชิงก็ไม่ท้อถอย เขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในคุกใหญ่ตอนนี้ หยิบขวดที่บรรจุแมลงสีดำไว้ทั้งหมดออกมา
ด้วยสวี่ชิงเพิ่มเติมเสริมทัพไว้ก่อนอย่างต่อเนื่อง แมลงสีดำจึงมีถึงแปดขวด
ด้านในทุกขวดมีแมลงสีดำจำนวนมหาศาล ก่อนหน้าเขาทดลองใช้แมลงสดำหนึ่งขวดผสานเข้าไปยังลูกกลอนพิษแล้วตายทั้งหมด ตอนนี้จึงเปิดขวดที่สอง
หลังจากทำปางมือชี้ หมอกดำเข้มข้นหนาแน่นมากผืนหนึ่งก็ลอยออกมาจากขวดเล็กทันที หมุนวนโอบล้อมตัวสวี่ชิง
ถ้าคนภายนอกมาเห็นภาพนี้จะต้องตกตะลึงแน่นอน
เพราะพลังคุกคามของแมลงสีดำนี้ ขนาดแก่นลมปราณพบเข้ายังต้องพรั่นพรึง
แต่เห็นได้ชัดว่าสวี่ชิงยังไม่พอใจพลานุภาพของพวกมัน จึงเปิดกล่องปรารถนา เมื่อชี้ไป หมอกดำรอบๆ ก็พุ่งตรงไปที่กล่องปรารถนาทันที
แต่พริบตาที่เข้าใกล้ แมลงสีดำทั้งหมดในหมอกดำเหล่านี้ก็พากันร่วงหล่น เน่าสลายตายไปในพริบตา
สวี่ชิงขมวดคิ้วทดลองต่อ เพียงไม่นานก็เป็นขวดที่สาม ขวดที่สี่ ขวดที่ห้า…
แมลงสีดำนับไม่ถ้วนตายไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งขวดสุดท้าย ก็ยังไม่มีสักตัวที่ทำสำเร็จ ล้มตายทั้งหมด
สวี่ชิงลอบถอนใจ เขาไม่กล้าใช้ขวดสุดท้ายที่เหลืออยู่ต่อแล้ว ต้องใช้มันเป็นเมล็ดพันธุ์เพาะเลี้ยงแมลงสีดำให้มากขึ้นต่อไป
จึงสั่งให้กรมปราบพิฆาตคุมตัวส่งนกเขาราตรีในคุกอื่นมา เพื่อใช้สำหรับการเพาะเลี้ยงแมลงสีดำของเขาเพิ่มเติม
กระทั่งหยิบยืมเลือดเนื้อนกเขาราตรีเหล่านั้นเพาะเลี้ยงจำนวนของแมลงสีดำออกมาอีกครั้ง สวี่ชิงถึงได้เริ่มทดสอบให้มันปรับสภาพกับลูกกลอนพิษต่อ
เขายังเพิ่มหญ้าสมุทรไพรต้านพิษจำนวนมากเข้าไปในขั้นตอนเพาะเลี้ยง กระทั่งผสานเลือดของตนเองเข้าไปมากขึ้น
ถึงอย่างไรการต้านทานพิษร่างกายของเขา ได้รับพลังต้านพิษมามากยิ่งขึ้น
เวลาก็ผ่านไปถึงเจ็ดวันเช่นนี้
สวี่ชิงที่ควบคุมแมลงสีดำผสานเข้ากับลูกกลอนพิษต้องห้ามอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็ทำให้แมลงสีดำแปดตัวข้ามผ่านความตายระลอกแรกสำเร็จ
แต่หลังจากพวกมันผ่านไปได้ก็อ่อนแออย่างมาก ทว่าสวี่ชิงเองก็ยินดีมากเช่นกัน
เขารู้ว่าแปดตัวชุดแรกที่รอดมาได้นี้จะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ และใช้พวกมันสร้างแมลงสีดำชุดใหม่ขึ้นมา การต้านทานก็จะดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้เขายังสังเกตเห็นว่า แมลงสีดำแปดตัวนี้หลังจากผ่านช่วงอ่อนแอไปแล้ว ก็เหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น สีของพวกมันไม่ได้ดำสนิทอีกต่อไปแล้ว
“ในที่สุดข้าก็จะสามารถชุบเลี้ยงแมลงสีดำที่สามารถทนรับลูกกลอนพิษต้องห้ามอย่างสมบูรณ์ได้ด้วยวิธีการนี้แน่นอน ให้พวกมันฝังชีวิตไว้ในลูกกลอนพิษต้องห้ามเสีย สะสมอยู่ในนั้นทั้งวันทั้งคืน พลานุภาพก็จะยิ่งน่าตกตะลึงขึ้นไปอีก”
ขณะที่สวี่ชิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง ด้านนอกกรมปราบพิฆาตที่เขาอยู่ ด้านหน้าจวนที่ดูเหมือนที่ว่าการแห่งนี้ มีแขกที่มือขวาสวมถุงมือสีแดงไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งเดินเข้ามาท่ามกลางการสาดส่องของแสงตะวันยามเย็น
คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง อายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี เหยียบแสงตะวันพลบค่ำมา ทั้งตัวสวมชุดคลุมยาวสีม่วงปักดิ้นทอง ที่ตำแหน่งชายเสื้อ มองเห็นลวดลายเทาเที่ย[1]อยู่รางๆ
คลื่นพลังเวทก็ค่อยๆ แผ่ซ่านออกมาจากตัวชายหนุ่มชุดม่วงจากการเดินเข้ามา ขณะที่แผ่กำจายไปรอบทิศ ก็ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของคนผู้นี้ยิ่งฉายความไม่ธรรมดา
เพียงแต่แม้ใบหน้าของเขาจะหล่อเหลา แต่จมูกก็ใหญ่เกินไปหน่อย ทำลายความงดงามโดยรวมไป ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงอหังการมากกว่า
ขณะที่เดินเข้ามา ก้อนหินเล็กๆ มากมายบนพื้นด้านนอกจวนกรมปราบพิฆาตก็เหมือนถูกพลังดึงดูด ลอยขึ้นช้าๆ วนอยู่รอบตัวเขา ค่อยๆ ก่อตัวเป็นกระแสลมพายุ ทำให้ท่วงท่าของคนผู้นี้ยิ่งดูทรงพลัง
โดยเฉพาะแสงพลบค่ำบนฟากฟ้าที่ยังยอแสงอยู่ หลังจากคนผู้นี้เดินเข้ามา ก็เหมือนจะหม่นหมองไป และถุงมือที่มือขวาของเขากลับยิ่งแจ่มชัดขึ้นอย่างประหลาดในแสงสลัวนี้
ภาพนี้ ดึงความสนใจของศิษย์ที่เข้าเวรอยู่ด้านนอกกรมปราบพิฆาต แต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึม มองชายหนุ่มที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ราวกับศัตรูตัวฉกาจกำลังมาเยือน
ลมพายุพัดกวาดไปรอบทิศจากการที่อีกฝ่ายเข้าใกล้ พัดไปที่ตัวพวกเขา ทำให้ศิษย์ที่เข้าเวรอยู่หลายคนนี้ถอยหลังไปอย่างควบคุมไม่อยู่ จนกระทั่งถอยไปถึงประตูใหญ่ หนึ่งในนั้นก็หายใจหอบถี่ เส้นเลือดปูดโปนที่หน้าผาก คำรามเสียงต่ำ
“ผู้มาเยือนโปรดหยุดฝีเท้าด้วย!”
ชายหนุ่มชุดม่วงยกมือขวาขึ้น ไข่มุกสีม่วงเม็ดหนึ่งก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วด้านนอกถุงมือ เมื่อโบกมือ ไข่มุกสีม่วงเม็ดนี้ก็พุ่งตรงไปยังศิษย์ที่เข้าเวรอยู่
“ไม่ต้องกังวล เจ้านำสิ่งนี้ไปมอบให้สวี่ชิงเจ้ากรมของพวกเจ้า บอกเขาว่า ข้านำวาสนาใหญ่ครั้งนี้มามอบให้แก่เขา”
[1] เทาเทีย (饕餮) อสูรร้ายบรรพกาล 1 ใน 4 สัตว์ร้ายในบันทึกสื่อจี้ (史记) เรื่องลึกลับในประวัติศาสตร์จีนจาก ป่าท้อสิบหลี่ มีใบหน้าเป็นคนร่างกายเป็นแพะ ดวงตาอยู่ใต้รักแร้ เขี้ยวพยัคฆ์กรงเล็บมนุษย์