ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ – ตอนที่ 51

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

           ขอบคุณทุกท่านที่เข้าสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต

 

           ถึงจะเป็นวันหยุดฤดูร้อน แต่งานสภานักเรียนไม่มีหยุด บางครั้งก็จะถูกขอให้มาช่วยงานที่โรงเรียนบ้างแม้ว่าจะไม่บ่อยนักอย่างเช่นวันนี้

           ฉันมาถึงโรงเรียนในช่วงประมาณ 9 โมงเช้า เพราะถูกรุ่นพี่ในทีมสภานักเรียนขอให้มาช่วยเคลียร์งานเอกสารต่างๆ ของเทอมที่แล้ว รวมถึงเตรียมงานบางส่วนสำหรับเทอมใหม่ด้วย

           โรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะ นับเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงและมีคนอยากจะเข้ามาเรียนที่นี่มากเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาคนี้ โดดเด่นทางด้านวิชาการและกิจกรรม ส่งต่อนักเรียนเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยมากมายนับไม่ถ้วน

           ว่ากันว่าคนที่เข้ามาเรียนที่นี่ได้ก็คือเพชร ส่วนคนที่จบจากที่นี่ไปคือเพชรที่เจียระไนแล้วพร้อมที่จะส่องประกายเจิดจ้าและเพิ่มคุณค่าราคาของตัวเองในรั้วมหาวิทยาลัย

           ฉันมองโรงเรียนที่ตัวเองเข้าเรียนมาได้หนึ่งเทอมตรงหน้า ซึมซับความโอ่อ่ากว้างขวางที่ปกติไม่ได้สังเกต คงเป็นเพราะนักเรียนหายไปโรงเรียนจึงได้ดูใหญ่ขึ้น

           ทางเดินเงียบเหงาไม่จ้อกแจ้กจอเหมือนช่วงเวลาเปิดเรียนปกติ นานๆ ทีจะเห็นนักเรียนหรืออาจารย์เดินอยู่ไกลๆ สักคน บรรยากาศคนละเรื่องกับตอนที่เปิดเรียนทำให้รู้สึกเหมือนว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาหนึ่งเทอมเป็นแค่เรื่องโกหก

           เดินมาจนถึงห้องสภานักเรียนก็พบว่าประตูห้องเปิดอยู่ ฉันชะโงกหน้าเข้าไปมองภายในห้องพบว่ามีแค่คุณทาเคโนะอุจิยืนอยู่เพียงคนเดียว

           [‘คนอื่นยังไม่มาหรือว่าเขาไปไหนกันหว่า?’]

           มองซ้ายมองขวาก็ยังไม่เห็นใครฉันจึงตัดสินใจทักคุณทาเคโนะอุจิก่อน

           “อรุณสวัสดิ์คุณทาเคโนะอุจิ”

           “อ๊ะ อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณโอโตเมะ”

           คุณทาเคโนะอุจิหันกลับมาทักทายฉัน ใบหน้าสวยได้รูปที่รอยยิ้มประทับอยู่จนดวงตาคู่งามโค้งน้อยๆ

           …สวยหยาดเยิ้มจนชวนตะลึง

           โชคดีที่ฉันพอจะมีภูมิคุ้มกันบ้างแล้วเลยฟื้นตัวกลับมาได้ไว หลังจากวางกระเป๋าแล้วจึงหันไปถามคุณทาเคโนะอุจิเรื่องที่สงสัยในตอนแรก

           “ประธานกำลังประชุมกับพวกหัวหน้าฝ่ายและก็ประธานชมรมกีฬาน่ะ เรื่องงานกระชับไมตรีเบญจภาคี เห็นว่าปีนี้จะจัดช่วงหลังวันหยุดฤดูหนาวน่ะ”

           พวกชมรมกีฬาท่าทางจะเหนื่อยนะน่ะ…

           คุณทาเคโนะอุจิพูดแบบนั้นด้วยท่าทางน่ารักน่าชังจนฉันอยากจะถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก

           [‘เอ๊ะ!! หรือจริงๆ ฉันมีรสนิยมแบบยูรินะ’]

           เผลอมองคุณทาเคโนะอุจิแวบเดียวถึงกับทำให้ฉันเผลอจินตนาการแปลกๆ ไปซะได้ ฮึมม… ทาเคโนะอุจิ ยูบิ ช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

           ถึงแม้จะเพ้อเจ้อแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาให้คุณทาเคโนะอุจิเห็น ฉันเตือนสติตัวเองก่อนจะเข้าไปช่วยเธอเรียงเอกสาร คุณทาเคโนะอุจิบอกขอบคุณฉันแล้วเราก็คุยกันไปพลางทำงานตรงหน้าไปพลาง

           รู้ตัวอีกทีเอกสารกองเท่าภูเขาตรงหน้าก็หายไปแล้ว เหลือเพียงกองภูเขาลูกใหม่ที่เกิดจากกองเอกสารตรงหน้าฉันเมื่อกี้แต่ตอนนี้ถูกจัดเรียงและเย็บเรียบร้อยแล้ว

           ดูเวลาก็พบว่าเกือบ 11 โมงแล้ว ใช้เวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมง มิน่า… ถึงได้เมื่อยขาขนาดนี้

           ทั้งฉันและคุณทาเคโนะอุจิเราตัดสินใจพักการทำงานไว้ก่อนพากันไปหาเครื่องดื่มมาเติมพลังกัน ระหว่างนั้นก็แวะไปหาเพื่อนของคุณทาเคโนะอุจิที่ชมรมดนตรีแล้วก็ที่ชมรมบาส

           จากที่ตั้งใจว่าจะแค่แวบออกไปกลับกลายเป็นว่าไปยาว แวบเดียวของพวกเราจึงผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมง

           หลังจากพูดคุยกับคุณทาคิซาว่าเล็กน้อยเราสองคนก็รีบกลับมาที่ห้องสภานักเรียน ระหว่างทางที่เดินออกมาจากโรงยิมก็เจอกับพวกชมรมกรีฑายืนอยู่ท่าทางคงจะเพิ่งเลิกซ้อมกัน

           [‘ซ้อมหนักน่าดูเลยแฮะ’]

           ฉันมองไปทางกลุ่มพวกเขาเห็นนิโนะมิยะที่ยืนโดดเด่นอยู่ในกลุ่มรุ่นพี่ปีสองและปีสาม เท่าที่รู้เขาเป็นเอชความหวังใหม่ของชมรมกรีฑาทั้งการวิ่งระยะสั้นและระยะกลาง เป็นคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริงจนแม้แต่พวกรุ่นพี่ยังยอมรับ

           ตอนที่เดินผ่านทางตรงนั้นรู้สึกได้ว่าคนในกลุ่มพวกเขาชี้ไม้ชี้มือมาทางฉันและคุณทาเคโนะอุจิแม้พวกเราไม่ได้สนใจ แต่หางตาฉันเหมือนจะเห็นว่านิโนะมิยะมองมาที่พวกเราด้วยเหมือนกัน

           ตั้งแต่กลับจากเที่ยวทะเลวันนั้นฉันก็ไม่ได้คุยกับนิโนะมิยะเป็นการส่วนตัวเลย แม้กระทั่งกลุ่มไลน์ฉันก็แค่อ่านแต่ไม่ได้ตอบ ถ้าให้พูดตามความรู้สึกก็ไม่ได้รังเกียจหรือโกรธอะไรเขาเพียงแต่ไม่รู้จะคุยอะไรกัน อยู่ๆ จะให้ทักหากันมันก็อึดอัดใจ

           ฉันทิ้งความคิดเกี่ยวกับนิโนะมิยะไว้แล้วเดินเข้าห้องสภานักเรียนพร้อมคุณคาวากุจิ ตรงหน้าคือประธานที่น่าจะเพิ่งประชุมเสร็จกับพวกรุ่นพี่คนอื่นๆ

           “ขอโทษที่เถลไถลค่ะ”

           คุณคาวากุจิขอโทษขอโพยบรรดารุ่นพี่ที่กำลังเก็บข้าวเก็บของอยู่ทำเอาทุกคนหันมามองด้วยใบหน้าสงสัยรวมทั้งฉันด้วย

           [‘จะเป็นคนดีเกินไปไหมเนี่ย’]

           ถึงในหัวจะคิดแบบนั้นแต่ฉันก็ขอโทษทุกคนไปพร้อมกับคุณทาเคโนะอุจิ

           อืมม… ขอโทษโดยที่ไม่ได้รู้สึกผิดนี่มันรู้สึกผิดยังไงไม่รู้แฮะ

           “ไม่เป็นไรหรอกทั้งสองคน ยังไงงานเช้านี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วนิ ทำได้เร็วกว่าที่คิดไว้ซะอีก ขอบใจมากนะ”

           ประธานบอกให้พวกเราทำตัวตามสบายไม่ต้องคิดมาก ฉันที่กำลังสับสนว่าตกลงตัวเองรู้สึกผิดไหมหันไปมองคุณทาเคโนะอุจิเห็นเธอแอบถอนหายใจ พอเธอเห็นว่าฉันมองอยู่ก็หันมาหัวเราะเบาๆ เหมือนแก้เขิน

           [‘เอิ่มมม… ที่ขอโทษเมื่อกี้นี้แสดงหรอ แสดงใช่ไหม ใช่แน่ๆ’]

           มองตามคุณทาเคโนะอุจิที่เดินไปเก็บข้าวเก็บของของตัวเองแล้วก็รู้เหมือนตัวเองได้รู้เห็นความลับของโลกเข้าเสียแล้ว

           [‘ทาเคโนะอุจิ ยูบิ แอบร้ายกาจนะเนี่ย’]

           สรุปสุดท้ายแล้วทุกคนในสภานักเรียนก็ออกมากินอาหารกลางวันกันหมด แต่ก็ไม่ได้ไปด้วยกันหมดหรอกนะ บางคนก็ไปซื้อขนมปังที่โรงอาหาร (เพิ่งรู้ว่าเปิดขายช่วงปิดเทอมด้วย) บางคนไปร้านสะดวกซื้อ บางคนก็หาร้านอาหารหรือคาเฟ่แถวๆ สถานี

           ฉันกับคุณทาเคโนะอุจิเองก็ออกไปหาร้านอาหารใกล้สถานีกินกันโดยมีเพื่อนๆ ของเธอไปด้วย บรรยากาศคล้ายๆ กับวันที่พวกเราไปซื้อกล่องข้าวกลางวันด้วยกัน แต่ครั้งนี้ดูมีความเป็นกันเองมากขึ้น น่าเสียดายที่เซริไปทำงานพิเศษ ถ้าเธอมาด้วยคงสนุกกว่านี้

           ฉันดูดน้ำอัดลมพลางมองไปที่คุณทาคิซาว่าที่กำลังเล่าเรื่องที่พวกผู้ชายในชมรมของเธออยากให้คุณทาเคโนะอุจิไปเป็นผู้จัดการทีมให้ด้วยท่าทางตลกขบขัน

           “จริงซิคุณโอโตเมะ ได้ข่าวว่าคบกับนิโนะมิยะคุงแล้วหรอ?”

           “แค่กก.. แค่กๆ”

           สำลักค่ะ…

           จู่ๆ เป้าหมายของคุณทาคิซาว่าก็เปลี่ยนจากคุณทาเคโนะอุจิมาเป็นฉันแบบไม่ทันให้ตัว ทำเอาสำลักน้ำที่กำลังดูดอยู่เลยค่ะ

           สูดดดด…ฟู่…

           ฉันปรับลมหายใจตัวเองแล้วจึงมองไปที่สามสาวที่ตอนนี้มองมาที่ฉันด้วยสายตาเป็นห่วงแปลกๆ

           “เอ่ออ…ทำไมทำหน้าแบบนั้นกันล่ะ ฉันแค่สำลักเอง ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”

           พอเอ่ยปากไปแบบนั้นสีหน้าทั้งสามคนดูเหมือนจะผ่อนคลายลง แต่ก็ดูมีความลำบากใจหลงเหลืออยู่

           “ขอโทษแทนริกะด้วยนะคะ”

           คุณทาเคโนะอุจิเอ่ยปากขอโทษแทนเพื่อนที่นั่งข้างๆ กัน คุณทาคิซาว่าเองก็พนมมือขอโทษฉันด้วย พอหันไปมองคุณซาซากิเธอก็ขอโทษฉันเบาๆ อีกคน

           [‘นี่มันเรื่องอะไรกัน?’]

           ฉันที่ตามเรื่องราวไม่ทันทำได้แค่นั่งงงไม่เข้าใจว่าพวกเธอขอโทษฉันทำไม หรือฉันทำอะไรให้พวกเธอเข้าใจผิดหรือเปล่านะ

           “เอ่ออ…ทุกคนไม่ต้องขอโทษฉันหรอกนะ คือเอาตรงๆ เลยนะ ขอโทษฉันเรื่องอะไรกันหรอ?”

           คราวนี้ทางฝั่งนั้นทำหน้างงบ้าง เห็นแล้วก็ได้แต่คิดในใจว่าวันนี้จะคุยกันรู้เรื่องไหมเนี่ย

           คุณทาคิซาว่ายื่นหน้ามาใกล้ๆ แล้วกวักมือเรียกฉันให้โน้มตัวเข้ามา พวกเราสี่คนเลยอยู่ในสภาพเหมือนสุมหัวแอบทำเรื่องไม่ดีไม่งาม

           “คุณโอโตเมะไม่โกรธที่ฉันถามละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคุณโอโตเมะหรอกหรอ?”

           “เอ๊ะ? ละลาบละล้วง? เรื่องนิโนะมิยะหรอ?”

           “อื้ม ใช่ คืองี้นะ พวกผู้ชายที่ชมรมน่ะ…”

           คุณทาคิซาว่าเล่าข่าวลือที่เธอได้ยินมาจากพวกผู้ชายในชมรมว่าพวกผู้หญิงชมรมกรีฑาอกหักกันเป็นแถวๆ เพราะนิโนะมิยะคุงพาแฟนไปเที่ยวทะเลมา มีประจักษ์พยานหลายคนเห็นเหตุการณ์แถมยังหวานแหววกันไม่เกรงใจใคร แล้วพอถามว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครก็ได้คำตอบกลับมาว่าเป็นคนห้องเดียวกัน พวกเธอเลยคิดว่าผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นฉันแน่ๆ

           “เอ๊ะ!? ได้ไงล่ะ ที่ไปด้วยกันไม่ได้มีฉันคนเดียวนิ ผู้หญิงในห้องที่ไปด้วยกันมีอีกตั้ง 9 คนนะ”

           “ก็คนที่น่าจะเป็นไปได้ก็มีแค่คุณโอโตเมะนินา ว่าไง ตกลงคบกันแล้วหรอ?”

           คุณทาคิซาว่าถามฉันอีกครั้ง คราวนี้แววตาของเธอแฝงไว้ด้วยความสนใจใคร่รู้เต็มเปี่ยม

           เห็นแบบนั้นฉันก็ได้แต่ทอดถอนใจ เห้อออ…

           “คืองี้นะคุณทาคิซาว่า ฉันกับนิโนะมิยะคุงเราเป็นแค่เพื่อนกันน่ะ จริงอยู่ว่าอาจจะดูสนิทกันนิดหน่อยแต่ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น เพราะงั้นฉันขอละนะ อย่าเอาฉันกับนิโนะมิยะคุงไปลือแปลกๆ กันเลย”

           อธิบายให้คุณทาคิซาว่าฟังไปหนึ่งรอบพร้อมกับขอให้ช่วยอธิบายหากมีใครมาพูดอะไรแปลกๆ ให้ฟังอีกหนึ่งรอบเป็นอันจบหัวข้อสนทนา

           “คุณโอโตเมะนี่แปลกเนาะ ทั้งๆ ที่รู้ว่านิโนะมิยะชอบแต่กลับไม่เล่นด้วย ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงดีใจจนเนื้อเต้นไปแล้ว”

           “ไม่รู้ซิ ฉันก็ไม่ได้รังเกียจหรือไม่ชอบอะไรนิโนะมิยะคุงหรอกนะ แต่ก็ไม่คิดจะไปสารภาพรักกับเขาหรอก แล้วเขาเองก็ไม่ได้มาสารภาพรักกับฉันด้วย”

           เห… ไม่จริงน่า

           คุณทาคิซาว่าพึมพำอะไรฟังไม่ได้ศัพท์เห็นแล้วนึกถึงเซริตอนกำลังมโนอะไรสักอย่างอยู่

           “สรุปแล้วคุณโอโตเมะไม่ได้ชอบนิโนะมิยะคุงซินะ”

           คุณซาซากิที่นั่งฟังเงียบๆ มาตลอดเอ่ยถามในจังหวะที่ทุกคนเงียบกัน

           “ชอบหรอ… ก็ชอบนะ แต่เป็นแบบชอบที่เราชอบดาราไอดอลน่ะ แบบหล่อจัง เท่จัง อะไรแบบนี้มากกว่า”

           “งั้นหรอกหรอ…”

           “อือ อีกอย่างฉันไม่ค่อยชอบเวลามีข่าวลือกับเขาสักเท่าไร เพราะพวกผู้หญิงในโรงเรียนจะชอบมองฉันแปลกๆ น่ะ”

           แบบนี้นี่เอง

           พึมพำแบบนั้นแล้วคุณซาซากิก็เงียบตามคุณทาคิซาว่าไปอีกคน เหลือแค่คุณทาเคโนะอุจิคนเดียวที่มองฉันพร้อมกับยิ้มไปด้วย

                                                                  —

           “แล้วเจอกันค่ะ” / “แล้วเจอกัน”

           ฉันกับคุณทาเคโนะอุจิแยกย้ายกันที่สถานีเนื่องจากพวกเราลงกันคนละสถานี

           หลังจากลงจากรถไฟฉันมุ่งหน้าตรงกลับบ้านทันที

           ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นเวลาเย็นย่ำค่ำมืดแต่อย่างไรเพราะมันเพิ่งจะสี่โมงเย็น แต่สาเหตุที่ทำให้ต้องรีบกลับบ้านเพราะว่ามันร้อน

           แม้จะเป็นเวลาเย็นแล้วแต่อากาศยังร้อนสมกับเป็นหน้าร้อนจริงๆ เดินเพียง 15 นาที ก็รู้สึกว่าเหงื่อเริ่มซึมออกมาที่หลังเสียแล้ว

           อยากจะกลับไปนอนตากแอร์ใจจะขาดแล้วววว…

           วืดดดด….

           คลื่นความสั่นสะเทือนส่งผ่านกระเป๋านักเรียนตรงมาที่แขนเบาๆ พอให้รับรู้ได้ว่ามีคนโทรเข้ามาที่โทรศัพท์

           ฉันเดินไปพลางหยิบโทรศัพท์ออกมาพลาง หน้าจอแสดงรูปภาพพี่สาวเป็นคนโทรเข้ามา ฉันรับสายแล้วเดินไปคุยไป

           “เอ๋… แต่หนูจะถึงบ้านแล้วนะคะ… โถ่… มันร้อนนิคะ… ก็ได้ แต่หนูซื้อไอศกรีมด้วยนะ… อ๊ะ… ทำไมไม่ออกมาเองเนี่ย…”

           ฉันเดินย้อนกลับมาพลางบ่นกระปอดกระแปดใส่โทรศัพท์ไปด้วย

           เพราะโดนพี่สาวฝากให้ช่วยซื้อของสำหรับทำโซเมงพรุ่งนี้เลยต้องเดินย้อนกลับไปซูเปอร์มาเกตที่ผ่านมา

           โชคดีที่เดินย้อนกลับไปไม่ไกลแต่ถึงจะไม่ไกลก็เล่นเอาเหงื่อออกเหมือนกัน

           พอเดินเข้าไปในซูเปอร์มาเกตความรู้สึกเหมือนตัวเองทะลุมาอยู่ต่างโลกก็โผล่ขึ้นมาในหัว ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศปะทะกับเหงื่อที่ซึมออกมาก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นความเย็นยะเยือกแต่ก็สดชื่นอยู่ในที

           รู้สึกดีจังเลยยย~

           ฉันเพลิดเพลินไปกับการเดินตากลมจากเครื่องปรับอากาศพลางเลือกซื้อขนมและไอศกรีมแต่ก็ไม่ลืมซื้อของที่พี่ฝากซื้อแม้ว่าตอนคิดเงินแล้วค่าเสียหายจากขนมจะมากกว่าก็เถอะ

           ทันทีที่พ้นประตูเลื่อนออกมาคลื่นไอร้อนก็กลับมาแผดเผาฉันอีกรอบ ฉันคาบแท่งไอศกรีมอยู่ในปากขณะที่ทิ้งห่อกระดาษของมันลงถังขยะตรงบริเวณนั้น พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอกับป้ายโฆษณาขนาด A3

           ส่วนใหญ่แล้วถ้าพูดถึงหน้าร้อนก็ต้องทะเล สระว่ายน้ำ ไม่ก็เทศกาลงานวัดและดอกไม้ไฟ ซึ่งป้ายโฆษณาตรงหน้านี้ก็คือป้ายงานเทศกาลขนาดใหญ่ที่จะจัดขึ้นทุกปีที่วัดประจำเมือง แถมมีการจุดดอกไม้ไฟที่สวยและยิ่งใหญ่จนคนจากต่างเมืองแห่มาชมกันจนล้นหลาม

           [’ 28 หรอ ปีนี้จัดช้าแฮะ’]

           ฉันเลิกสนใจใบประกาศนั่นและมุ่งหน้าเดินกลับบ้าน ไม่ใช่ว่าไม่สนใจงานเทศกาล แต่เพราะเคยไปบ่อยแล้วเลยไม่ได้ตื่นเต้นอะไร แถมคนก็ยังเยอะค่อนข้างจะวุ่นวายเลย

           “ปีนี้พี่คงจะไม่ได้ชวนไปแล้วล่ะมั่ง ก็ต้องไปทำงานที่อื่นนินะ”

           ฉันเดินกินไอศกรีมไปพลางคิดถึงงานเทศกาลปีที่แล้วไปพลาง แล้วก็ภาวนาให้อากาศเย็นขึ้นกว่านี้ไปพลาง

           ปิดเทอมฤดูร้อนยังอีกยาวนานก็จริง แต่การบ้านก็ยังเหลืออีกเยอะเช่นกัน

           เฮ้อออ…ชีวิตวัยรุ่นของฉันทำไมมันไม่สดใสเอาซะเลยนะ

 

 

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

Status: Ongoing
อาคิยามะ เออิชิ เด็กหนุ่มที่เคยมีชีวิตที่ยอดเยี่ยม… วันแรกของชีวิต ม.ปลาย เขาถูกรุ่นพี่ลากไปพัวพันกับการมีเรื่องทะเลาะวิวาทและจบลงด้วยการพาไปเลี้ยงอาหารขอโทษ ที่นั่นเขาได้เจอกับเด็กสาวผู้มีนัยน์ตางดงาม โอโตเมะ อามายะ แต่เธอกลับมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “นี่ นายน่ะ เป็นเด็กเกเรใช่ไหม?” ประโยคเปิดตัวที่ไม่ธรรมดา จะนำพาความสัมพันธ์ของพวกเขาไปในทิศทางใด…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท