ตอนที่ 354 หัวใจไม่รักดีที่ไม่เชื่อฟังเจ้าของ
ตอนที่ 354 หัวใจไม่รักดีที่ไม่เชื่อฟังเจ้าของ
ช่วงสุดสัปดาห์ เฉินเจียเหอพาหลินเซี่ยและหู่จือไปเยี่ยมเอ้อร์เลิ่งที่คลินิกของแพทย์แผนจีนเย่
เนื่องจากหู่จือต้องไปโรงเรียนทุกวัน เขาจึงไม่มีโอกาสได้เจอเอ้อร์เลิ่งตั้งแต่อีกฝ่ายย้ายมาที่ไห่เฉิงจนกระทั่งตอนนี้
เมื่อไม่กี่วันก่อน เฉินเจียเหอพาเอ้อร์เลิ่งไปพบจิตแพทย์วิชาชีพที่โรงพยาบาลประจำไห่เฉิงแห่งที่สาม ซึ่งเย่ไป๋เป็นผู้แนะนำ
แพทย์วินิจฉัยแล้วว่าอาการของเอ้อร์เลิ่งไม่ร้ายแรง และไม่เป็นอันตรายต่อใคร จึงไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาแบบอยู่ประจำ
หมอกบอกว่าอาการของเขาเกิดจากเส้นประสาทถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงจากภาวะอารมณ์และความผิดหวังด้านการศึกษา ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายเล็กน้อยต่อเซลล์สมอง ทำให้เกิดความผิดปกติของสมองขึ้นในที่สุด เป็นผลให้การรับรู้ อารมณ์ ความตั้งใจ และกิจกรรมทางจิตใจอื่น ๆ ล้วนมีอุปสรรคในระดับที่แตกต่างกัน กลายเป็นเหมือนคนปัญญาอ่อน ความทรงจำสับสน
สถานการณ์นี้ต้องอาศัยการใช้ยา ประกอบกับการบำบัดทางจิตและกายภาพร่วมกัน แม้อาการของเอ้อร์เลิ่งจะปรากฏมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ไม่ได้เข้าขั้นร้ายแรงมากนัก ตราบใดที่ได้รับการรักษาอย่างดี ก็มีโอกาสที่เขาจะกลับมาเป็นปกติได้
คำพูดของหมอทำให้เฉินเจียเหอมีความมั่นใจและสบายใจมากขึ้น เขาติดต่อรับยาสำหรับเอ้อร์เลิ่งจากโรงพยาบาล จากนั้นก็ส่งเขาไปหาหมอแผนจีนเย่
พร้อมกับบอกหมอแผนจีนเย่ว่าจิตแพทย์วินิจฉัยว่าอย่างไรบ้าง
หมอแผนจีนเย่จึงกำชับของเฉินเจียเหอให้เอ้อร์เลิ่งหมั่นกินยาอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังขอให้เขาซึ่งเป็นเพื่อนคนเดียวของอีกฝ่ายหมั่นพูดคุยกับเอ้อร์เลิ่งให้บ่อยขึ้น ให้ความรู้แก่เขา นอกจากนี้ก็ทำการฝังเข็มและรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสองเดือน แล้วรอดูว่ามีพัฒนาการอย่างไรบ้าง
ในขณะนี้ หู่จือหยิบอมยิ้มที่เขาซื้อมาฝากเอ้อร์เลิ่งออกมาจากกระเป๋าของเขา แล้ววิ่งไปที่ลานบ้านของหมอแผนจีนเย่ ทันทีที่เขาเห็นเอ้อร์เลิ่งซึ่งกำลังทำงานอยู่ที่สนามหญ้า ก็พาขาสั้น ๆ วิ่งไปหาแล้วร้องเรียกว่า “ลุงเอ้อร์เลิ่ง”
“หู่จือ?”
เอ้อร์เลิ่งดีใจมากเมื่อเห็นหู่จือ เขารีบยืนขึ้นและเข้ามาหาหู่จือ ก่อนจะกอดหู่จือไว้อย่างอบอุ่น
“ในที่สุดเธอก็มาหาฉัน ฉันอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว ฉันคิดถึงเธอมาก”
“ผมก็คิดถึงลุงเหมือนกัน”
หู่จือพูดพร้อมกับหยิบขนมที่ซื้อมาฝากเขาโดยเฉพาะออกมาจากกระเป๋า “ลุงเอ้อร์เลิ่ง กินขนมนี้สิ”
“ขอบคุณ” เอ้อร์เลิ่งยัดขนมเข้าปากอย่างมีความสุข “หวานมาก หวานมาก ๆ เลย”
“พ่อกับแม่ของผมก็มาเยี่ยมคุณเหมือนกันนะ”
เอ้อร์เลิ่งปล่อยมือจากหู่จือ แล้วส่งยิ้มกว้างอย่างโง่เขลาเมื่อเห็นหลินเซี่ย “ภรรยาคนสวยของต้าเหอก็อยู่ที่นี่ด้วย ฮิๆ”
“ใช่ เราเจอกันอีกแล้ว”
เฉินเจียเหอถามเอ้อร์เลิ่งว่า “เอ้อร์เลิ่ง นายกินยาตรงเวลาหรือเปล่า? เชื่อฟังหมอแผนจีนเย่และให้ความร่วมมือในการฝังเข็มไหม?”
“ฉันให้ความร่วมมือดีมาก หมอแผนจีนเย่บอกว่า ตราบใดที่ฉันกินยาและฝังเข็มเป็นประจำ เสี่ยวเจินก็จะกลับมาหาฉัน”
หลังจากที่เอ้อร์เลิ่งพูดจบ เขาก็มองเฉินเจียเหอด้วยดวงตาสดใสแล้วถามว่า “จริงไหมล่ะ ต้าเหอ”
ช่วงนี้เอ้อร์เลิ่งพูดถึงชื่อของเสี่ยวเจินมากขึ้นเรื่อย ๆ เฉินเจียเหอขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังคงตอบกลับว่า “อืม”
เขามองไปที่กระดานไม้ในสนามแล้วถามเอ้อร์เลิ่งว่า “นี่อะไรเหรอ?”
“ฉันว่าจะเอากระดานไม้พวกนี้มาต่อทำเป็นเตียงไม้ ฉันไม่ค่อยชินกับการนอนบนเตียงโครงเหล็กนั่น พอตื่นแล้วรำคาญเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ตอนกลางคืนเสียงยิ่งดังรบกวนมาก ฉันเห็นแผ่นไม้สองสามวางพิงผนังอยู่ตรงนั้น หมอเย่บอกว่าเขาไม่ได้ใช้ ก็เลยยกให้ฉันเอาไปสร้างเตียงไม้กระดาน”
เย่ไป๋ก็หมั่นแวะเวียนมาเรียนและช่วยเป็นลูกมือของหมอแผนจีนเย่ในช่วงสุดสัปดาห์ หลังจากส่งผู้ป่วยออกไปแล้วเห็นว่าเฉินเจียเหอและคนอื่น ๆ มาหา เขาก็ยิ้มและพูดว่า “เอ้อร์เลิ่งฉลาดมากทีเดียว สายตาเฉียบแหลมแล้วยังฝีมือดีอีกด้วย”
เฉินเจียเหอบอกว่า “เขาช่วยพ่อทำงานช่างไม้มาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ”
เฉินเจียเหอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อเขาพูดถึงพ่อของเอ้อร์เลิ่ง
เย่ไป๋กลับเข้ามาหลังจากส่งผู้ป่วยออกไป หันไปถามเอ้อร์เลิ่ง
“เอ้อร์เลิ่ง ฉันได้ยินมาว่านายเขียนอักษรด้วยพู่กันจีนได้ด้วยเหรอ?”
“เขียนได้สิ”
หมอแผนจีนเย่ก็มีงานอดิเรกชอบเขียนอักษรด้วยพู่กันจีนเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงมีพู่กัน หมึก กระดาษ และหินฝนหมึกอยู่ในห้อง หลังจากขอคำปรึกษาจากหมอแผนจีนเย่แล้ว เย่ไป๋ก็หยิบพู่กันและกระดาษออกมา แล้วกางกระดาษลงบนโต๊ะหินในสวน
จากนั้นให้เอ้อร์เลิ่งเขียนอักษรพู่กันจีนเพื่อที่จะฝึกสมาธิ ทั้งยังถือได้ว่าเป็นการบำบัดทางจิตวิทยาด้วย
เอ้อร์เลิ่งหยิบพู่กันขึ้นมา จากนั้นจุ่มหมึก เขียนคำว่าเฉินจั่นเผิงด้วยลายมืออันประณีต
เย่ไป๋ถาม “เอ้อร์เลิ่ง นายเขียนชื่อใครเหรอ?”
เอ้อร์เลิ่งเอียงคอมอง คิดครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ดูเหมือนว่าจะเป็นชื่อจริงของฉันน่ะ”
เย่ไป๋พยักหน้า “ชื่อจริงของนายคือเฉินจั่นเผิง*เหรอ เป็นชื่อที่ดีมาก”
(*展 แปลว่าก้องกังวาน ขจรไกล 鹏 คือชื่อนกยักษ์ในตำนานโบราณ)
พ่อแม่ของเขาคงตั้งชื่อนี้ให้ลูกชายด้วยอารมณ์ที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง ชื่อถึงมีความหมายที่สวยงามมาก
“จั่นเผิง ใครเป็นคนสอนนายเขียนอักษรพู่กันจีน? เขียนได้ดีมาก” เย่ไป๋ถามอีกครั้ง
“ฉันลืมแล้วว่าใครเป็นคนสอน รู้แค่วิธีการเขียน”
เอ้อร์เลิ่งเขียนอักษรสามตัวเป็นคำว่า ‘เฉินเจียเหอ’ ถัดจากชื่อของเขา
เฉินเจียเหอถามเขาว่า “ลองคิดดูดี ๆ ในหมู่บ้านของเรามีใครเขียนกลอนคู่ฉลองตรุษจีนเป็นบ้าง”
พอเขาเตือนแบบนี้ เอ้อร์เลิ่งก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้ “คุณตาโจวเป็นคนสอนฉันเรื่องนี้”
หมอแผนจีนเย่เดินออกมา เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังให้ความสนใจการเขียนอักษรพู่กันจีนอยู่รอบตัวเอ้อร์เลิ่ง เขาจึงเดินเข้ามาดูด้วย
แม้ว่าลายมือจะธรรมดา แต่ในฐานะที่เป็น ‘ผู้ป่วยทางจิต’ ผลลัพธ์ที่ได้ก็ถือว่าไม่เลวเลย
หลังจากหมอแผนจีนเย่ย้ายกลับมาที่ไห่เฉิง เขามีคนไข้แวะเวียนมาขอรับรักษาทุกวัน ทั้งหมดล้วนเป็นโรคที่หายยากและมีความซับซ้อนซึ่งทางโรงพยาบาลไม่สามารถรักษาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เขาถามเฉินเจียเหอ
“เจียเหอ วันนี้ลองเชิญพ่อตาของเธอมาสิ หลังจากฝังเข็มให้เขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันค่อยนัดเสิ่นอวี้หลงมารักษา”
ทั้งเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยต่างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมกัน แต่สุดท้ายเย่ไป๋ก็อาสาโทรหาเซี่ยไห่เพื่อสอบถาม
เซี่ยไห่บอกว่าวันนี้เขางานยุ่งมาก อาจจะให้พี่สาวช่วยพาพี่ใหญ่ไปรับการรักษาแทน
จากนั้นเขาก็บอกให้เย่ไป๋ขอหมายเลขโทรศัพท์น้องสาวจากหลินเซี่ยเพื่อติดต่อเธอ
เย่ไป๋ขอเบอร์ของเซี่ยอวี่ จากนั้นก็กดโทรไปทันที
“สวัสดีครับ ผมเย่ไป๋นะ”
เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณเซี่ย ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนเหรอครับ?”
“อยู่ในรถค่ะ อีกเดี๋ยวก็ไปถึงแล้ว”
เอ้อร์เลิ่งเขียนอักษรพู่กันจีนเสร็จแล้ว เฉินเจียเหอก็ช่วยเขาต่อเตียงไม้ด้วยการตอกตะปู หลินเซี่ยจึงพาหู่จือไปรดน้ำแปลงดอกไม้ในสวน
เย่ไป๋เหลือบมองไปทางประตู จากนั้นก็ออกไปรอต้อนรับเซี่ยเหลยที่หน้าประตูด้วยตนเอง
ใช่แล้ว เขารู้สึกว่าเซี่ยเหลยซึ่งเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่สมควรได้รับความเคารพและการดูแลเป็นพิเศษจากเขา
เขารออยู่ที่หน้าประตูประมาณห้านาที ก่อนที่รถแท็กซี่จะขับตรงมา
คนที่ลงจากรถเป็นคนแรกคือหญิงสาว
เซี่ยอวี่สวมชุดเดรสยาวสีขาวนวล ผมของหล่อนถักเป็นเปียสองเส้นยาวระดับอก สวมแว่นกันแดดอันใหญ่ ดูทันสมัยและอ่อนกว่าวัยมากจริง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกหรือรูปพรรณสัณฐานก็ล้วนดูไม่เหมือนคนอายุเกือบสี่สิบ
หลังจากดูหนังที่หล่อนแสดง หัวใจของเย่ไป๋ก็เกิดความความคิดไม่รักดีขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งยังเต้นรัวอย่างอธิบายไม่ได้
เย่ไป๋พยายามข่มการเต้นของหัวใจที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย แล้วเดินไปหาพวกเขา
เขาขึ้นไปหาเซี่ยเหลยก่อน มองไปที่เขาและพูดอย่างสุภาพว่า “พี่ใหญ่เซี่ยเหลย เชิญเข้ามาก่อนครับ คุณหมอเย่กำลังรอคุณอยู่พอดี”
เซี่ยเหลยตอบกลับ “ครับ ลำบากกันแล้ว”
เย่ไป๋มองไปที่เซี่ยอวี่และพูดว่า “คุณเซี่ย เชิญครับ”
เซี่ยอวี่มองไปทางเย่ไป๋ผู้ทุ่มเทอย่างมาก นิสัยอันเย่อเยิ่งแต่เดิมของหล่อนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทันใดนั้นน้ำเสียงก็ผ่อนเบาลงเล็กน้อย “ขอบคุณค่ะ”
เมื่อเผชิญหน้ากับรอยยิ้มที่สดใสของหล่อน ดวงตาของเย่ไป๋ก็แปรเปลี่ยนเป็นลึกล้ำ เขาขยับแว่นตา และหลีกเลี่ยงการจ้องมองของหล่อน
ทันทีที่เซี่ยเหลยและเซี่ยอวี่เข้ามา พวกเขาก็เห็นว่าเฉินเจียเหอและคนอื่น ๆ ก็อยู่ที่นั่นด้วย เฉินเจียเหอและเอ้อร์เลิ่งต่อเตียงไม้เสร็จเรียบร้อยแล้ว หู่จือกำลังนอนอยู่บนนั้นและกลิ้งไปมา อีกหลายคนยืนดูอยู่ตรงนั้นพร้อมกับหัวเราะร่วน
เฉินเจียเหอโอบแขนเอาไว้บนไหล่ของเอ้อร์เลิ่งด้วย ดูเหมือนพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันพอสมควร
เซี่ยอวี่เดินเข้ามา ชี้ไปที่เอ้อร์เลิ่งอย่างระมัดระวังและถามหลินเซี่ยด้วยเสียงกระซิบ
“เซี่ยเซี่ย พวกเธอรู้จักเขาด้วยเหรอ?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อุ๊ย ท่าทางจะได้เห็นคู่รักต่างวัยอีกคู่หนึ่งที่ฝ่ายหญิงอายุเยอะกว่าฝ่ายชายเสียแล้วสิ
ไหหม่า(海馬)