ตอนที่ 162 การศึกษาในวัง
หลังเอ่ยจบ สวีชิงเยี่ยนรู้สึกว่าน้ำหนักทั้งตัวเบาขึ้นเล็กน้อย
บางคำ พูดออกมาก็จะสบายขึ้นมากจริงๆ
หินก้อนหนึ่งกดในทรวงอกเด็กสาว นางควบคุมความรู้สึกตัวเองมาตลอด ในที่สุดตอนนี้ก็ได้พูดออกมาแล้ว
ควันน้ำชาถูกสายลมพัดหายไป เผยทางนั้นของโต๊ะแปดเซียน เป็นเด็กสาวเผยฝานที่อยู่ใกล้ตนมาก
ใบหน้าสะสวยเยาว์วัยก้มหน้าลงพร้อมกับครุ่นคิดอย่างจริงจัง
“แม่นางสวีชอบ ก็บอกกับหนิงอี้เองเถอะ”
คำพูดนี้ทำให้สวีชิงเยี่ยนอึ้งไปเล็กน้อย
เผยฝานพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บแปลบเล็กๆ นางพูดเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “หนิงอี้บอกข้าว่าโลกนี้มีบางคำต้องพูดกันต่อหน้า พูดไปด้วยตัวเอง อย่างเช่นเรื่องที่เจ้าชอบเขา”
สวีชิงเยี่ยนกุมถ้วยชา เข้าสู่ห้วงความคิด
นางไม่รู้ว่าโลกนี้มีบางอย่างที่ไม่อาจทำด้วยตนเองได้
อย่างเช่นเด็กสาวคนหนึ่งไหว้วานเด็กสาวอีกคน ให้ช่วยบอกเรื่องรักใคร่เช่นนี้
แต่นางเป็นคนฉลาด ดังนั้นไม่นานก็เข้าใจความหมายของเด็กสาว
“อืม…ข้าเข้าใจแล้ว”
สวีชิงเยี่ยนเอาสองมือกุมถ้วยชา วางน้ำชาลงบนโต๊ะ นางมองดวงตาของเด็กสาวก่อนพูดอย่างจริงจัง “ขอบคุณท่าน”
เผยฝานส่ายหน้า จิตใจนางไม่สงบนิ่ง ทะเลสาบจิตที่เดิมทีสงบเกิดฝนตกพรำ ความรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยหลั่งไหลขึ้นหัวใจ นางมองสวีชิงเยี่ยนก่อนจะพบว่าไม่ว่าอย่างไรตนก็ไม่รู้สึกรังเกียจหญิงคนนี้ ได้แต่พูดเสียงเบา “ดูท่าพวกเจ้าสองคนคงผ่านเรื่องที่ยากจะลืมกันในภูเขาแดงมา”
สวีชิงเยี่ยนไม่พยักหน้าและก็ไม่ส่ายหน้า เหมือนเข้าสู่การรำลึกช่วงสั้นๆ
อยากจะพูดแต่ก็เงียบไป
พลันมีเสียงเคาะประตูเบาดังมาจากข้างนอก
ถึงเวลาแล้ว หลังขุนนางชราเคาะประตูห้องสามครั้งเบาๆ ก็ไม่รีบร้อนผลักประตู แต่กระแอมไอ ถือเป็นการเตือนด้วยเจตนาดี
สวีชิงเยี่ยนลุกขึ้นยืน
“ข้าไม่ใช่คนโชคดี คนพวกนั้นที่เกี่ยวกับข้าก็ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น”
นางเค้นรอยยิ้ม “หลังข้าเข้าวัง จะตัดสัมพันธ์กับคุณชายหนิงอี้เอง แม่นางเผย เจ้าเป็นคนดีมาก คุณชายหนิงอี้เอ่ยถึงเจ้าที่ภูเขาแดงบ่อยๆ หลังจากข้าไปแล้ว…รบกวนเจ้าฝากบอกขอบคุณให้ด้วย ส่วนอีกเรื่อง ไม่ต้องแล้ว”
ขุนนางชราเปิดประตูใหญ่ของจวนขุนนางรองท่องกระบี่
สุดท้ายสวีชิงเยี่ยนมองไปทางประตูห้องหนิงอี้ นางยิ้มจากนั้นยื่นฝ่ามือมาคลึงแก้มตนเอง ตอนนั้นที่หมุนตัวจากไปก็กลับมามีใบหน้าไร้ความรู้สึก
นางไม่ชอบยิ้ม ตอนถูกขังในลานบ้าน นางไม่เคยยิ้มเลย
แต่ชีวิตคนก็ต้องมีเรื่องที่ทำให้มีความสุขบ้าง อย่างเช่น…พบคุณชายหนิงอี้
สวีชิงเยี่ยนเดินผ่านข้างกายขุนนางชรา ก่อนเอ่ยนิ่งๆ “ไปเถอะ”
เผยฝานนั่งข้างโต๊ะแปดเซียน นางเหม่อมองแผ่นหลังของสวีชิงเยี่ยน พลันรู้สึกว่าในตัวเด็กสาวคนนี้มีพลังที่รวดเร็วและดุดัน บางครั้งบริสุทธิ์เหมือนกระดาษขาว บางครั้งก็เหมือนลูกนกหยิ่งผยอง
นกเพลิงอุสา
นกที่บินไปทางเหนืออย่างอิสระที่สุด หัวดื้อไม่มีวันยอมหยุดพัก
บนฟ้าสูง มีเงาสีแดงเพลิงหลายร่างบินผ่านไป
น้ำแข็งละลาย ต้นใบไม้ผลิมาถึง พวกมันผ่านเมืองหลวงอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เป็นขากลับ
……
เกี้ยวคันหนึ่งหยุดอยู่นอกประตู
สวีชิงเยี่ยนเดินเข้าไป ยืนหน้าประตู มองข้ามสายตาตกใจและอิจฉาสิบกว่าคู่
ตอนที่นางเดินออกจากจวนขุนนางรองท่องกระบี่ มาหน้าเกี้ยว
สวีชิงเยี่ยนท่องอยู่ในใจ
คุณชายหนิงอี้…ไว้พบกันใหม่
จากนั้นเปิดม่านรถขึ้นช้าๆ
คนเรามีพบก็ต้องมีจาก
ขุนนางชราถอยไปอย่างนุ่มนวล โค้งตัวเล็กน้อย ปิดประตูใหญ่ของจวนขุนนางรองท่องกระบี่ ยิ้มให้นักพรตชุดคลุมหยาบทางซ้ายและขวา ก่อนหมุนตัว ใบหน้าเคร่งขรึม พูดอย่างคล่องแคล่ว
“ขึ้น…เกี้ยว”
จอมพลังร่วมแรงยกเกี้ยวขึ้น
หญิงที่นั่งในเกี้ยวหลับตาลงช้าๆ
ในความคิดนางเป็นภาพต่างๆ ผ่านไปช้าๆ สายลมใบไม้ร่วงที่อารามรู้กรรมพัดผ่าน ฝนตกภูเขาแดง เส้นทางมืดมิด สุสานก้นทะเลลึก…มีคนเปิดประตูบานนั้นให้ตน
ขุนนางชราพลิกตัวขึ้นม้า กลุ่มคนเดินหน้าต่อไป ออกจากจวนขุนนางรองท่องกระบี่
อากาศในเมืองหลวงไม่หนาวขนาดนั้นอีก ผู้คนสัญจรบนถนนตะโกนเรียก เสียงดอกไม้ไฟบนฟ้า เสียงต่างๆ ในทางโลก เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับเด็กสาวในเกี้ยว
เมื่อเข้าวัง…ลึกเหมือนสมุทร
หญ้าน้ำค้างรก หินป่าไม่ใหญ่ไม่เล็กหลายก้อน
เสียงเจี๊ยวจ๊าวถูกโยนไว้ข้างหลังหู
การเคลื่อนไหวทุกอย่างหายไป
สุดท้ายเกี้ยวหยุดลง
ขุนนางชราเปิดม่านรถให้สวีชิงเยี่ยน ก่อนเอ่ยเสียงเบา “เข้าวังแล้ว…เราส่งแม่นางสวีได้แค่นี้”
สวีชิงเยี่ยนลงเกี้ยว นางเอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาทอยากพบข้ารึ”
ขุนนางชราส่ายหน้า
เขาเอ่ยเนิบนาบ “แม่นางสวี…ที่นี่อยู่เหนือไปทางใต้ ทำเลดีมาก ไม่มีใครอยู่มานานหลายปีแล้ว แต่ก็ส่งคนมาทำความสะอาด มีชื่อว่า ‘ห้องบูรพา’”
หลังจากชะงักไปเล็กน้อย เขาก็พูดเสียงเบา “ฝ่าบาทตรัสเพียงเท่านี้ จะให้ท่านเข้าวัง ย่อมต้องดูแลอย่างดี จึงรับสั่งด้วยตนเอง ดังนั้นที่พักของแม่นางสวี การดำรงชีวิต เรื่องต่างๆ มากมาย…จะมีคนอื่นจัดการให้”
สวีชิงเยี่ยนสับสนเล็กน้อย
“คนอื่นรึ” นางครุ่นคิดถึงคำนี้
“ทุกปีจะมีแม่นางเข้าวังเยอะมาก” ขุนนางชราพูดเสียงเบา “วังใหญ่มาก ใหญ่มากๆ บางคนร้อยปีก็แก่ตายแล้ว ก็ยังไม่ได้พบฝ่าบาท ฝ่าบาทอาจจะลืมไปแล้ว หรือไม่ก็คนอื่น ‘ซ่อนนางไว้’”
สวีชิงเยี่ยนเงียบ
ในที่สุดนางก็เข้าใจนิดๆ ว่าคนอื่นที่ขุนนางชราพูดถึงหมายถึงอะไร
คนพวกนี้ไม่รู้ว่าตนเป็นน้องสาวของสวีชิงเค่อ เป็นเนื้อต้องห้ามขององค์ชายสาม แดนประจิมไม่เคยให้ตนพบใคร…หากแดนประจิมไม่ได้ก้าวออกมาแสดงท่าที เผยตัวของตน เช่นนั้นตนก็จะเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอไร้อำนาจและไร้พลัง มาถึงวัง ทุกคนอาจจะกลายเป็น ‘คนอื่น’ ที่คนชราท่านนี้พูดถึง
ขุนนางชราพูดเสียงเบา “แต่ว่าแม่นางสวี ท่านต่างกับคนอื่น คนอื่นไม่มีสิทธิ์ให้ข้ามารับด้วยตนเอง”
ขุนนางชราหัวเราะเสียงเบามาก มองไม่ออกเลยว่านี่เป็นยอดผู้บำเพ็ญขอบเขตราชันดารา ใบหน้ายิ้มของเขาเหมือนคนชราอัธยาศัยดี พูดจากใจจริง ระหว่างพูดอยู่นั้น สวีชิงเยี่ยนยังเกิดความรู้สึกดีกับเขา
“แม่นางที่เพิ่งเข้าวังพวกนั้นไม่ได้โชคดีเท่าท่าน ได้อยู่ในเรือนเพียงคนเดียว โดยเฉพาะยังเป็นห้องบูรพาที่มีฮวงจุ้ยเลิศล้ำ ในเมื่อฝ่าบาททรงตรัสด้วยตนเอง ให้เจ้าเข้าวัง ดูท่าชีวิตลำบากคงอยู่อีกไม่นาน ตอนนี้เรื่องการเมืองของเมืองหลวงซับซ้อน ต้องรอฝ่าบาททรงงานเรียบร้อยก่อน เกรงว่าถึงจะนึกถึงแม่นางสวี”
ขุนนางชราก้มตัวลง พูดเสียงเบา “ช่วงเวลานี้ แม่นางสวีก็รออยู่ในห้องบูรพา จะมีครูเฉพาะทางมาสอนแม่นางสวี”
ขุนนางชรายังมีสิ่งที่ไม่ได้พูดอีก
แม่นางพวกนั้นไม่มีใครเลยที่งดงามเท่าแม่นางสวี
ใบหน้านี้…ต่อให้เขาเจอหญิงงามในวังมามากมายก็ยังตกใจ
ความจริงขุนนางชรายังมีความกังวลในใจเล็กน้อย
ในวัง หน้าตางดงาม เป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง นี่เป็นเรื่องดี
และก็ไม่ใช่เรื่องดี
ใบหน้างดงามเกินไปคงหนีไม่พ้นความริษยา ถูกคนตำหนิ กระทั่งสร้างปัญหาที่ไม่ควร
เขาจัดห้องบูรพาให้แม่นางสวีด้วยเจตนาเห็นแก่ตัว ภายนอกบอกว่าเป็นเจตนาของฝ่าบาท…ใช้สิ่งนี้หวังจะลบความคิดหมายปองของบางคน แม้เขาจะมีตำแหน่งสูง แต่ก็มีอำนาจในวังจำกัด ทำให้แม่นางสวีได้เพียงเท่านี้
เงามืดมาเยือน
ขุนนางชราพูดด้วยความกังวล “การต่อสู้ในวัง พวกเราสอดปากไม่ได้ แม่นางสวีต้องจำเอาไว้ ระวังคำพูดและการกระทำ ทนได้ก็ทน”
สวีชิงเยี่ยนเม้มริมฝีปาก
“การต่อสู้ของแดนบูรพาและประจิมลุกลามมาถึงในวัง คือการส่งต่อของเจตนารมณ์แม่นางทั้งสอง” ขุนนางชรายกนิ้วหนึ่ง ก่อนพูดอย่างจริงจัง “แม่นางสวีอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ ที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยที่ดี ผู้อาวุโสฆราวาสของเขาวิญญาณกับสำนักเต๋า บ้างเข้าสู่ทางโลก มีตำแหน่งในวัง…นี่เป็นสงครามที่ไร้เขม่าควัน ตอนพักอยู่ห้องบูรพา ก็หวังว่าแม่นางสวีจะไม่ก่อปัญหาที่ไม่ควร”
ขุนนางชรานิ่งไปก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้ารู้ว่าแม่นางสวีเหมือนจะมีอดีตกับคุณชายหนิงอี้ ขุนนางรองท่องกระบี่ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งท่านนี้ เกรงว่าหากก่อเรื่องขึ้นมา ตามกฎในวังแล้ว เขาก็สอดมือไม่ได้เช่นกัน”
คำพูดนี้ถือเป็นการเตือนลับๆ
หากก่อเรื่องขึ้นมาจริงๆ…หนิงอี้ก็ช่วยเจ้าไม่ได้
สวีชิงเยี่ยนเงียบ จนขุนนางชรานำคนจากไป นางก็ไม่ได้บอกคนชราใจดีท่านนี้ว่าตนเป็นน้องสาวของสวีชิงเค่อแห่งแดนประจิม เป็นนกลายทองขององค์ชายสาม
ยืนอยู่ตรงประตูลานบ้านห้องบูรพา
สวีชิงเยี่ยนพลันรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย…ที่คนอื่นในแดนบูรพาไม่รู้ตัวตนของนาง
ตนมาในวังเช่นนี้ ความจริงในความหมายบางอย่าง เป็นการหักหลังต่อองค์ชายสามที่ร้ายแรงที่สุด…
ในลานบ้านห้องบูรพา มีร่างเงาหนึ่งถือแส้จามรี ลุกขึ้นนั่งช้าๆ
คนนั้นรอขุนนางชรากลับไปอย่างอดทน จากนั้นจุดไฟเทียน พูดเสียงเบา มีความเย้ยเยาะเย้าหยอกสองสามส่วน
“นี่…ยอดหญิงงาม กลับมาแล้วรึ”
สวีชิงเยี่ยนเลิกคิ้วขึ้น
นี่เป็นสตรีนางหนึ่ง
สวมชุดคลุม สวมหมวกเต๋า เส้นผมหวีตรงเรียบร้อย นางถือโคมไฟ เอ่ยอย่างเฉยชา “ขอแนะนำตัว…ข้าชื่อจิ้งไป๋ ประมุขน้อยที่คอยต้อนรับคนใหม่ห้องบูรพาโดยเฉพาะ ในเมื่อเจ้าเพิ่งเจ้าวัง…ข้าก็จะสอนความรู้ทั่วไปกับเจ้า”
นางถือโคมไฟเดินมาช้าๆ
สวีชิงเยี่ยนจับปากกระบอกแขนเสื้อแน่น ถอยหลังไป มองใบหน้าหญิงที่ถูกแสงเทียนส่องจนดูขาวซีดมาก
จิ้งไป๋หยุดเดิน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าเจ้าหักหลังองค์ชายสามรึ”
“การสอนของข้า…รับรองว่าจะทำให้เจ้าไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต”
………………………