เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า – ตอนที่ 163 อยู่โลกมนุษย์

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 163 อยู่โลกมนุษย์

ราชครูจิ้งไป๋มาจากอารามเต๋าน้ำค้าง…มองจากชื่อ นี่เป็นอารามเต๋าที่มีชื่อเหมือนกับคนโหดบางคนของแดนบูรพา แต่ความจริงไม่เกี่ยวข้องกัน

สำนักเต๋ากับฝ่ายพุทธตัดสลับกัน สองแดนประจิมกับบูรพาต่างแตกกิ่งของตน แดนประจิมมีวัดยอดเสียงอัสนี แดนบูรพามีอารามมารดาราชาประจิม วัดพุทธเล็กใหญ่ อารามเต๋า ย่อมมีให้เห็นทุกที่

หญิงชราที่ถือโคมไฟมองใบหน้าเด็กสาวที่ซีดขาวทีละนิดด้วยเหตุผลบางอย่าง

นั่นเป็นใบหน้าที่งดงามจริงๆ…ทำให้คนอยากเข้าไปบีบ กระทั่งลองชิมแก้มสักหน่อย

จิ้งไป๋ไม่เคยเจอหญิงที่งดงามเช่นนี้มาก่อน

นางเลิกคิ้วขึ้น แส้จามรีสีเทาอมขาวถูกลมพัดขึ้นในอ้อมกอด แสงไฟในโคมไฟแกว่งไกว จิ้งไป๋เทพสุขความเงียบเช่นนี้…แม่นางน้อยที่เพิ่งเข้าวังคนนั้นไม่เข้าใจอะไรเลย เป็นลูกแกะที่ขาดการอบรม ตนชอบแม่นางน้อยเช่นนี้มากที่สุด

เด็กสาวคนนั้นหน้าซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะกลัวรึ

ราชครูจิ้งไป๋ขยับเข้ามาใกล้ทีละนิด นางเค้นเสียงมาจากในลำคอ “ไม่ต้องกลัว…ไม่เจ็บมากหรอก”

นางไม่เห็นเลยว่าสวีชิงเยี่ยนที่ถอยไปไม่หยุด ได้จิกฝ่ามือจนเลือดออกมาแล้ว

ความซีดขาวบนใบหน้าสวีชิงเยี่ยนไม่ใช่เพราะกลัว หลังผ่านคลื่นลมภูเขาแดงมา เด็กสาวคนนี้รู้ทุกอย่าง โลกนี้มีคำถามมากมาย ไม่ใช่ว่าความกลัวจะแก้ไขได้

ราชครูจิ้งไป๋หยิบแส้จามรีขึ้น นางเป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตแรก แต่สติปัญญามีขีดจำกัด อาศัยแค่การบำเพ็ญของตนยังไปไม่ถึงขอบเขตที่สองด้วยซ้ำ

แต่หากวางผู้บำเพ็ญกับคนที่ไม่เคยฝึกบำเพ็ญไว้ด้วยกัน เช่นนั้นแสงดาราเบาบางนั้นก็ยังดีกว่าไม่มีเลย

ในแส้จามรีซ่อนแสงดาราขอบเขตแรกของนางไว้ ฟาดที่ผู้บำเพ็ญ เดาว่าคงทำลายพลังคุ้มกันไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่หากฟาดใส่คนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกบำเพ็ญ โดยเฉพาะหญิงอ่อนแอ เกรงว่าคงจะมีเนื้อแตก

ในวังให้ความสำคัญกับสูงส่งและต่ำต้อย ทุกปีจะมีนางกำนัลเข้าวังมาด้วยเหตุผลต่างๆ มากมาย ส่วนใหญ่จะกอดความบริสุทธิ์และสูงศักดิ์ที่ว่า ไม่ยอมรับการสั่งสอน แม้แต่สูงส่งกับต่ำต้อยยังไม่รู้จักแบ่งแยก ย่อมไม่มีโอกาสได้เฉิดฉาย

ราชครูจิ้งไป๋มีแนวทางการสอนตามใจตัวเองมาตลอด พลังบำเพ็ญนางไม่สูง แต่มีอำนาจมาก ให้หญิงที่เพิ่งเข้าวังตายอยู่ในวังไปชั่วชีวิตได้ง่ายดาย

แต่ว่ากันตามตรงนางก็เป็นเพียงคนชั้นล่างสุดในห่วงโซ่ผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่นี้เท่านั้น

แส้จามรีนี้หุ้มด้วยสายลม ฟาดลงดังเพี๊ยะ แรงลมพัด กลับไม่โดนสวีชิงเยี่ยน หญ้าน้ำค้างลอยขึ้น เด็กสาวที่เอียงตัวล้มลงหลบได้อย่างหวุดหวิด มือเท้าพันกัน ซวนเซล้มลงกับพื้น

ราชครูจิ้งไป๋ขมวดคิ้ว นางพูดเสียงดัง “เจ้ากล้าหลบรึ!”

สวีชิงเยี่ยนกัดฟัน นางเอาสองมือดันพื้น หมุนตัวกลับ พูดอย่างเย็นชา “ไฉนข้าจะไม่กล้าหลบ ข้าไม่มีความแค้นกับเจ้า เจ้า…มีสิทธิ์อะไรมาตีข้า”

จิ้งไป๋หน้ามืดทะมึน นางปล่อยโคมไฟในมือตกดังตึง สะเก็ดไฟกระจาย

“มีสิทธิ์อะไรหรือ ก็เพราะเจ้าล่วงเกินคนใหญ่คนโตที่ไม่ควรล่วงเกิน พอหรือไม่” จิ้งไป๋ยิ้มเยาะ นางไม่รู้ว่าเป็นคนใหญ่คนโตท่านใด แต่ย้ายมาจากในวังมาห้องบูรพา มอบหมายงานเพียงประโยคเดียว นั่นคือ ‘สั่งสอน’ เด็กสาวแซ่สวีคนนี้ให้ดี ให้นางจ่ายในสิ่งที่ทำไว้กับตน

“ในวังนี้เงียบเหงาที่สุด ไม่มีใครมาสนใจอะไร ‘ไห่กงกง’ ท่านนั้นไปแล้ว” จิ้งไป๋กดเสียงต่ำลง เอ่ยขึ้น “ห้องบูรพาห่างไกลผู้คนอย่างยิ่ง หากเจ้าอยากเล่นแมวจับหนู ดีเลวอย่างไรข้าก็เป็นผู้บำเพ็ญ มาดูกันว่าสุดท้ายแล้ว…ใครจะชนะ”

สองมือสวีชิงเยี่ยนบีบหญ้าน้ำค้าง นางเอ่ยทีละคำ “หรือว่ากฎในวังให้เจ้าทำตามใจตัวเองได้กัน เจ้าตีข้า ไม่กลัวกรรมตามสนองรึ”

จิ้งไป๋พลันเงียบลง

นางมองสวีชิงเยี่ยน พบว่าผิวพรรณของเด็กสาวขาวเนียนยิ่ง หากตนฟาดแส้จามรีลงไปจะต้องเกิดรอยเลือดแน่นอน…มีผู้มีอิทธิพลอยากให้สั่งสอนเด็กสาวคนนี้ ตนลงมือย่อมเต็มที่ได้ แต่หากเป็นรอยแผลเป็น ตนคงไม่ได้ดีเช่นกัน

ราชครูจิ้งไป๋เอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าจะสอนมารยาทที่ควรเรียนให้กับเจ้า หากเจ้าเคารพข้า ย่อมไม่ถูกตี ถูกอบรม หากฝ่าฝืน ต่อให้เอาบรรทัดตีเจ้า ก็ยังเป็นไปตามกฎ”

สวีชิงเยี่ยนหันหน้าไปโดยจิตใต้สำนึกถึงได้พบว่าเป็นตำหนักวังที่กว้างแต่ก็เงียบเหงา วัชพืช เสาหิน ไกลออกไปเป็นกำแพงสูงสีแดง รอบๆ นอกจากลานบ้านห้องบูรพาสีดำแล้ว ก็เป็นหญิงชั่วช้าที่ถือโคมไฟนี่

ไม่มีทางหนี

นางนึกถึงคำพูดนั้นที่ ‘ไห่กงกง’ พูดกับตน

ระวังคำพูดระวังการกระทำ ทนได้ก็ทน

สวีชิงเยี่ยนปัดฝุ่นบนตัว นางก้มหน้าลงถามเสียงเบา “ข้าต้องเรียนอะไร”

“เจ้าต้องเรียนทุกอย่าง…แต่ต้องเริ่มเรียนจากที่ง่ายที่สุดก่อน”

ราชครูจิ้งไป๋หรี่ตาลง นางนึกถึงข้อมูลบางอย่างที่ในวังเคยเอ่ยถึงกับตน แม่นางแซ่สวีคนนี้ หากไม่มีอะไรผิดพลาด อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในสวนห้องบูรพาครึ่งปี ตนมีเวลาอบรมอยู่ ถึงตอนนั้นหากฝ่าบาทนึกขึ้นได้จริงๆ พบว่าเด็กสาวแซ่สวีคนนี้ไม่เป็นอะไรเลย ไม่เข้าใจอะไรเลย คงจะผิดหวังอย่างมาก ส่งคนมาลงโทษ ตนแค่บอกว่าหญิงคนนี้ ‘กินเก่งและขี้เกียจ’ เท่านี้ก็จะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแล้ว

เมื่อคิดได้ดังนั้น นางพลันยิ้ม มองเด็กสาวที่กำลังปัดฝุ่นตามตัว เฝ้ารอชีวิตในสวนห้องบูรพายิ่งขึ้น

“เริ่มพรุ่งนี้” จิ้งไป๋ยิ้ม “เริ่มจากการยกน้ำชารินน้ำชาก่อน จากนั้นต้องเรียนการจัดระเบียบทำความสะอาด…หากเจ้าเรียนได้ดี ก็วางใจได้เลย ข้าเป็นคนพูดคุยง่าย หากเจ้าเรียนไม่ดี ก็อย่าหาว่าข้าพลิกหน้าไม่รู้จักกันแล้วกัน”

……..

“จิ๊ มือเล็กนี่นุ่มขนาดนี้เชียว…ไม่เคยทำงานมาตั้งแต่เด็กเลยสิ ยกเร็วๆ หน่อย! รูปปั้นลายครามสวนห้องบูรพานี้ หากเสียหายไป วันนี้ไม่ต้องกินข้าวกลางวัน!”

สวนห้องบูรพามีคนมาทำความสะอาดโดยเฉพาะ แต่ราชครูจิ้งไป๋บอกกับในวังว่าไม่ต้องส่งคนมาอีก

นางนั่งเก้าอี้ราชครู หรี่ตาลง เบิกบานเป็นสุข มองแม่นางคนนั้นในลานบ้าน ยกรูปปั้นลายครามแก้วสูงเกือบครึ่งคนในสวนห้องบูรพาพลางหัวเราะเยาะ “รู้หรือไม่ว่ารูปปั้นลายครามนี่มีค่าเท่าไร ขายชีวิตแพศยาของเจ้าไปยังซื้อไม่ได้เลย”

สวีชิงเยี่ยนยังคงเงียบ นางขยับรูปปั้นลายครามอย่างยากลำบาก ตัวโอนเอน

เมื่อคืนวานนางไม่ได้นอนทั้งคืน สวนห้องบูรพามีห้องหลายห้อง แต่ราชครูจิ้งไป๋ให้นางไปห้องเก็บฟืน บนกองฟืนมีเตียงเตา แต่ที่นอนชื้น สวนห้องบูรพาสะอาดมาก คนใช้ห้องเมื่อก่อนทำความสะอาดไว้ดีมาก ดังนั้นจิ้งไป๋จึงให้นางย้ายรูปปั้นลายคราม

แก้มสวีชิงเยี่ยนแนบกับรูปปั้นลายครามนี้ ทักษะการเผาเครื่องลายครามของต้าสุยสูงมาก ตอนที่นางอยู่บ้านตรอกฝนพรำ ก็เคยจัดวางเครื่องลายครามในห้องมาบ้าง ไม่สนเล็กใหญ่ วัดแค่มูลค่า ใน ‘ของเล่น’ เมื่อก่อนของสวีชิงเยี่ยน นำออกมาสักชิ้นก็แพงกว่ารูปปั้นลายครามชิ้นนี้ที่ราชครูจิ้งไป๋พูดถึงมาก

ทันทีที่นึกถึงเรื่องเมื่อก่อน นางก็รู้สึกโดนเสียดสี

จิ้งไป๋บอกว่าตนไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน…ตนเป็นเพียงนกในกรง เจ้าของกรงตอนที่อยากจะดีกับตน ขาดแค่เด็ดดวงจันทร์บนฟ้ามาให้ แต่ตอนที่รังเกียจตน ก็อยากจะแช่กรงในน้ำใจจะขาด

โลกนี้มีความรู้สึกมากมายที่ว่างเปล่าลอยล่อง

สวีชิงเยี่ยนพลันรู้สึกว่าเรื่องต้องห้ามนั้นที่พูดกับตนปาวๆ สู้รังแกแบบฉีกหน้ากันเลยจะดีกว่า

นางยอมรับความเจ็บปวดของโลกได้อย่างสบาย

ราชครูจิ้งไป๋ที่พิงเก้าอี้ราชครูถือถ้วยน้ำชาในมือ เพิ่งเข้าใกล้ริมฝีปากก็คิ้วขมวดโดยพลัน ก่อนพูดเสียงแหลม “มานี่เดี๋ยวนี้!”

เด็กสาวที่ยกรูปปั้นลายครามเงียบๆ งุนงงเล็กน้อย ยังไม่ทันวางรูปปั้นลายครามก็ได้ยินเสียงลม

ราชครูจิ้งไป๋ปาถ้วยลายครามออกมา เฉียดผ่านแก้มนาง กระแทกใส่ผนัง น้ำชากระจาย น้ำชาร้อนกระเด็นใส่แก้มนาง

หญิงสูงศักดิ์ที่ลุกขึ้นยืนถือแส้จามรี ครั้งนี้นางไม่ได้ใช้แสงดารา แต่เดินมาหน้าสวีชิงเยี่ยน อาศัยจังหวะที่เด็กสาวยังไม่เอาสองมือออกจากฐานรูปปั้นลายคราม ตัวยังโคลงเคลงอยู่ ก็ง้างแส้จามรี

แส้จามรีนี้ ฟาดที่หน้าสวีชิงเยี่ยนเต็มๆ

รูปปั้นลายครามตกลง แตกกระจายบนพื้น เศษไถลออกไป

เด็กสาวล้มลงกับพื้น นางกัดฟันเงียบและหัวดื้อ มองเงานั้นที่ยืนตรงหน้าตน

เสียงจิ้งไป๋กระแทกเข้ามาต่อ

“น้ำชาร้อนขนาดนี้ เจ้าอยากลวกข้าตายรึ”

“เจ้าย้ายรูปปั้นลายครามเดียว เรื่องเล็กแค่นี้ยังทำแตกอีกหรือ”

นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากันข้างหน้า แส้จามรีไม่แรง ฟาดแขนเล็กเป็นรอยแดง แสบร้อน นักพรตหญิงฟาดลงมาสามสี่ครั้งก็ลังเลเล็กน้อยและไม่ฟาดอีก

จิ้งไป๋หรี่ตาลง พูดอย่างเย็นชา “ข้าตีเจ้า เพราะเจ้าทำไม่ดี ครั้งนี้ไม่เลว ไม่หลบ…หากหลบ ข้าจะตีเจ้าอีกเป็นเท่าตัว”

นักพรตหญิงมองรอยแดงน่าตกใจบนแก้มสวีชิงเยี่ยน นางไม่ได้ใช้แสงดารา แส้จามรีฟาดไม่ถือว่าเจ็บเท่าไร แต่ผิวเด็กสาวเนียนนุ่มมาก จึงเกิดห้อเลือดทันที

เด็กสาวคนนั้นไม่พูด แค่เก็บเศษบนพื้นเงียบๆ ควันของถ้วยชา และยังมีเศษของรูปปั้นลายคราม

จิ้งไป๋พอใจกับท่าทีของสวีชิงเยี่ยนมาก นางคลายน้ำเสียงลง พูดอย่างเย็นชา “แผลพวกนี้ไม่ถือว่าเท่าไร จะมีคนจากในวังมาดู ครึ่งเดือนครั้ง ตอนนั้นห้อเลือดคงจะหายแล้ว ส่วนรูปปั้นลายครามที่เสียหายนั่น ทุกชิ้นในสวนห้องบูรพาจะมีคนบันทึกไว้ ถึงตอนนั้นพวกเขาจะรู้เรื่อง…เจ้ารู้นะว่าควรพูดอย่างไร”

สวีชิงเยี่ยนเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยตอบ “ข้าไม่ระวังทำแตกเอง”

จิ้งไป๋ตอบอืม นางมองเด็กสาวหัวดื้อที่นั่งยองกับพื้น พลันแค่นยิ้ม “เจ้าคงไม่คิดจะเก็บเศษขึ้นมาแทงข้าหรอกนะ”

สวีชิงเยี่ยนมีความคิดเช่นนี้จริงๆ

นางออกแรงกำเศษถ้วยลายคราม ตรงมุมคมบาดผิวนาง

เลือดหยดลงมาทีละหยด

จิ้งไป๋มองเด็กสาวจากเบื้องบน พูดด้วยรอยยิ้ม “ขอเตือนเจ้าอีกครั้ง ข้าเป็นผู้บำเพ็ญ เจ้าจะลองดูก็ได้…หากเจ้ามีจิตสังหาร ใครในวังก็ช่วยเจ้าไม่ได้ ข้าจะตีเจ้าให้ตายทั้งเป็นก่อนพวกเขารู้เรื่องด้วยซ้ำ”

สวีชิงเยี่ยนเงียบ

จิ้งไป๋เดินไปไกล นางเก็บทำความสะอาดเงียบๆ เลือกเศษถ้วยลายครามที่เล็กยาวและคมที่สุดมาชิ้นหนึ่งจากในนั้น เอาผ้าห่ออย่างระมัดระวัง ใส่เข้าไปในกระเป๋าเอวของตน

สวีชิงเยี่ยนเงยหน้าขึ้น

ฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว

โลกที่ตนอยู่ยังคงมืด

นางนึกถึงคำพูดที่คุณชายหนิงอี้เคยพูดกับตนที่ภูเขาแดง

หลังฟ้าสาง…จะสวยงามมาก

แต่ว่า

อยู่โลกมนุษย์ ต้องผ่านความทุกข์ยากเท่าไรถึงจะไปถึงฟ้าสาง

……………………..

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท