ตอนที่ 172 คดีลึกลับจวนเขาคราม
เส้นทางกลับจวน หนิงอี้พบจุดแปลกบางอย่าง
ไม่ได้กลับเมืองหลวงมาสักระยะแล้ว
ต่างกับเด็กสาว ตอนหนิงอี้อยู่ในเมืองหลวง เขาจะออกไปข้างนอกทุกวัน เขาจำถนนทุกเส้นในเมืองหลวงได้ เล็กใหญ่ๆ พ่อค้าที่ตะโกนเสียงดังสองข้างทาง ส่วนใหญ่จะมีสถานที่อยู่แน่นอน รากแตกแขนงของกรมผู้คุมกฎจัดการเรื่องเล็กใหญ่ในเมืองหลวงแห่งนี้
ถนนใกล้กับจวนขุนนางรองท่องกระบี่ ใบหน้าคุ้นตาพวกนั้นยังอยู่ เพียงแต่มีร้านค้าเล็กขายเนื้อวัวตุ๋นพะโล้ร้านหนึ่ง เปลี่ยนเจ้าของ จากเดิมทีเงียบเหงา ตอนนี้ขายดีอย่างมาก แววตาเจ้าของร้านมองกลุ่มคนที่เบียดเสียด อยากจะเขย่งสองเท้ากระโดดสูงมองตน ทว่าการค้าดีมากจริงๆ สายตาของเขาจึงถูกกลืนกินไปในศีรษะคน
หนิงอี้เกาศีรษะ
เดินหน้าไปอีก หนิงอี้เห็นใบหน้าแปลกตาหลายคน คนพวกนี้ตะโกนเรียกและยิ้มให้ตน ทักทาย เมื่อก่อนก็เป็นเช่นนี้…พ่อค้าในเมืองหลวงอัธยาศัยดีมาตลอด
หนิงอี้ยิ้มตอบกลับ จากนั้นกลับจวน
“ช่วงนี้มีคนมาหาที่จวนหรือไม่” เขามาถึงหน้าประตูก็ขมวดคิ้ว เอ่ยถาม
“เรียนขุนนางรอง ตอนท่านไม่อยู่จวน ไม่มีใครมาเลย” นักพรตชุดคลุมหยาบตอบกลับด้วยความเคารพ “ผู้มีอิทธิพลหลายท่านจากสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวเคยส่งจดหมายมาสองสามฉบับ อย่างอื่นก็ไม่มีอีก”
หนิงอี้ตอบอืม ก่อนจะผลักประตูจวน
เด็กสาวนั่งในลานบ้าน เหมือนกำลังรอหนิงอี้กลับจวน
“เราถูกคนจับตามอง”
พอหนิงอี้กลับมา เผยฝานก็ลุกขึ้น นางพูดอย่างจริงจัง “ข้าไปซื้อเกราะที่หอสัประยุทธ์ก็เจออะไรแปลกๆ หลายอย่าง”
บนโต๊ะแปดเซียนวางของเป็นกอง ล้วนเป็นอาหารที่เด็กสาวซื้อกลับมาระหว่างทางกลับ บางส่วนแกะออกแล้ว
ที่เด่นตาที่สุดคือเนื้อวัวพะโล้กล่องเล็กที่เปิดออกครึ่งหนึ่ง
“เมื่อก่อนเจ้าเคยบอกข้าว่าเนื้อวัวพะโล้สวีจี้ใช้ได้ ให้น้ำเยอะ ใช้มีดหั่นขวางและเป็นเนื้อวัวดำ” เด็กสาวก้มหน้าลง นางยกกล่องอาหารขึ้น น้ำของเนื้อวัวพะโล้ไม่เต็ม และหยิบขึ้นมาตามลายเส้น “นี่หั่นแบบตั้ง หั่นไม่ดี แต่เพราะมีดคมมาก เนื้อวัวพวกนี้เลยดูสมบูรณ์…นี่คือเนื้อวัวเหลือง เป็นเนื้อที่ขุนนางในเมืองหลวงต้าสุยกินกัน”
“คนคุมมีดเป็นยอดฝีมือ” หนิงอี้ใช้สองนิ้วคีบเนื้อวัวขึ้นมาเคี้ยวช้าๆ ดวงตาพลันเป็นประกาย ก่อนจะพูดไม่ชัด “อู้…เนื้อวัวเหลืองอร่อยกว่าเนื้อวัวดำจริงด้วย พ่อครัวของสามกรมเก่งขนาดนี้เชียว แค่ให้น้ำน้อยไปหน่อย”
พูดถึงช่วงท้าย หนิงอี้มีสีหน้าเสียดายเล็กน้อย
“สามกรมรึ”
เด็กสาวหรี่ตาลง
“ยังไม่แน่ใจว่าเป็นใคร แต่คนแซ่ซ่งกำลังช่วยข้าสืบอยู่ เราถูกจับตามอง เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย” หนิงอี้นั่งลง หาเก้าอี้กลองเอวสบายมาตัวหนึ่ง และยังใช้มือถือกล่องอาหารไว้ คีบเนื้อวัวเหลืองใส่ปากตนทีละชิ้นโดยไม่สนใจภาพลักษณ์การกินของตน ไม่อาจบรรยายท่าทางได้ “ระหว่างทางกลับ ข้าก็เห็นเหมือนกัน…อู้ เนื้อวัวนี่อร่อยจริงๆ”
“สามกรมเหมือนจะส่งคนมาจับตาดูใกล้กับจวนขุนนางรองท่องกระบี่ ตลาดสด ตรอกเล็ก ร้านค้า ตอนนี้น่าจะอยู่ได้ไม่นาน เดาว่าคงจะเพิ่งเริ่มเท่านั้น” หนิงอี้กินเนื้อวัวเหลืองในกล่องอาหารหมดอย่างรวดเร็ว เขาใช้แขนเสื้อเช็ดมุมปาก พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ามาจากเทือกเขาประจิม ไม่มีบุพการี ชาติกำเนิดเป็นความลับ คนที่อยู่กับข้าก็มีเพียงน้องสาวอย่างเจ้าคนเดียว ครั้งแรกที่มาที่นี่ จะต้องมีคนในเมืองหลวงสนใจชีวิตของเราสองคนอย่างแน่นอน”
เด็กสาวขมวดคิ้ว นางเองก็ขยับเก้าอี้กลองเอวมาเช่นกัน “นี่ถือเป็นการตรวจสอบปกติรึ พวกเขาคงไม่ตรวจเจอในสิ่งที่ไม่ควรตรวจหรอกนะ”
“หากไม่มีเรื่องที่จวนเขาคราม พวกเขาก็น่าจะไม่เจออะไร หากจะตรวจจริงๆ ก็คงจะคว้าน้ำเหลว กระทั่งพวกเขาจะไม่ส่งใครมาจับตามอง” น้ำเสียงของหนิงอี้มีความจนปัญญาเล็กน้อย เขาไม่ได้ปิดบังเด็กสาว แต่พูดอย่างจริงจัง “ทุกปีมีคนมาเมืองหลวงเยอะมากจริงๆ คนของสามกรมก็ยุ่งมาก การจับตามองเรื่องนี้หมายความว่าพวกเขาเจอจุดน่าสงสัย กำลังตรวจสอบอยู่ตลอด แต่ผ่านมานานก็ยังไม่คืบหน้าเป็นจริงเป็นจัง เลยต้องใช้กลยุทธ์นี้”
เด็กสาวคลึงระหว่างคิ้ว พยายามให้ตัวเองไม่คิดมากขนาดนั้น
“ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไร ข้าจะอยู่กับเจ้าเอง”
หนิงอี้ตบบ่าเด็กสาว “ช่วงนี้…เรามีเรื่องสำคัญ”
หนิงอี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนห้องบูรพาตามจริง ไม่ได้ปิดบังเรื่องของสวีชิงเยี่ยน เด็กสาวได้ยินว่าจิ้งไป๋ตายแล้วก็มีสีหน้าผ่อนคลายลงอย่างชัดเจน ทำชั่วได้ชั่ว นักพรตหญิงชราชั่วนั่นสมควรแล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่เรื่องนี้ไม่ได้ลากผู้อยู่เบื้องหลังในวังออกมา
“คนแซ่ซ่งต้องการยันต์แผ่นหนึ่ง ยันต์นี้ต้องทำให้เขากับองค์หญิงต้าสุยฝ่าค่ายกลของสามกรมออกจากแดนทักษิณได้” หนิงอี้พูด “บังเอิญมาก…ค่ายกลพันธนาการของสามกรมสร้างโดยปรมาจารย์ค่ายกลของจวนขานฟ้า เรื่องคร่าวๆ ก็ประมาณนี้”
หลังฟังจบ เด็กสาวก็ครุ่นคิดอย่างละเอียด
“เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แค่เจ็ดวันก็พอ” เผยฝานคลึงระหว่างคิ้ว “เพียงแต่ถูกสามกรมจับตามอง ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายตัว เหมือนมีปลายแหลมจ่อหลัง”
“ข้าจัดการทุกอย่างเอง” หนิงอี้ลูบศีรษะเด็กสาว “วางใจได้เลย”
…….
“เจ้ารับรองให้ข้าวางใจได้อย่างไรกัน”
ตอนที่กู้เชียนมาถึงปากประตูห้อง ก็ได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวดุจฟ้าร้องมาจากข้างใน มือที่จะเคาะประตูนั้นหยุดอยู่ตรงปากประตูห้อง
เจ้าของเสียงในห้องใช้นิ้วมือกดหน้าผากของอีกคนไม่หยุด “กรมข่าวกรองยื่นมือมาในเมืองหลวงครั้งแรก กว่าจะแย่งเนื้อชิ้นนี้มาจากกรมผู้คุมกฎไม่ใช่ง่ายๆ ให้เจ้าไปตั้งร้านที่เมืองใต้…”
ประโยคสุดท้ายแทบจะตะโกนออกมา
“ข้า ให้ เจ้า ไป ขาย ของ เอา กำไร รึ!”
เสียงนั้นเงียบลง เหมือนอยากจะหอบหายใจ
บุรุษที่ถูกกดหน้าผากด่าทอไม่หยุดเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง
“ข้าให้เจ้าไปขายเนื้อวัว เจ้ากลับเอาเนื้อพิเศษของกรมข่าวกรองไป หลายวันมานี้เจ้าขายดิบขายดี เจ้าลืมไปแล้วรึว่าให้เจ้าไปจับตามอง” เสียงตะโกนนั้นโกรธขึ้นกว่าเดิม “คนเป็นสิบแออัดในร้านเจ้า เจ้าจะจับตามองใคร สวีจิ่น เจ้าจะจับตามองเนื้อวัวเหลืองที่บรรพบุรุษเจ้าให้มารึ”
เงียบ
กู้เชียนที่ชิดประตูห้องพยายามกลั้นขำ
“ดี”
“ดีมาก”
“เจ้าดีมาก”
จากนั้นเป็นการต่อว่าด่าทอเป็นชุด สวีจิ่นผลักประตูกรมข่าวกรองด้วยหน้าเป็นทุกข์ เห็นกู้เชียนที่ขำจนหน้าอกระนาบกับแผ่นหลังแล้วก็อดใจถีบไปไม่ได้ “ข้าโดนเจ้ากรมน้อยด่าเช่นนี้ เจ้ายังขำข้าอีกรึ”
กู้เชียนปัดก้นลุกขึ้น ก่อนจะตบบ่าสหายของตน เลิกคิ้วขึ้นพูด “คนแซ่สวี ได้ยินว่าช่วงนี้เนื้อวัวเหลืองสวีจี้ขายดิบขายดี เราสองคนโตมาด้วยกัน อย่าลืมเหลือเนื้อไว้ให้ข้าสักสองชิ้นล่ะ”
สวีจิ่นพลันพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “กู้เชียน เสิ่นหลิงด่าข้า ไม่มีอะไรหรอก เจ้ากรมน้อยปากมีด หัวใจเต้าหู้ ด่าจบก็จบ แต่ว่า…เรื่องการตรวจสอบขุนนางรองท่องกระบี่หนิงอี้ ข้ารู้สึกไม่เหมาะควรมาตลอดเลย การตรวจสอบตามระเบียบเมืองหลวง หลายปีมานี้พัฒนาขึ้นไม่น้อย หลังลบจุดน่าสงสัยออกก็จะมองผ่านไปได้ ต้าสุยเราไม่สงบสุข ครอบคลุมทุกอย่าง ขอแค่ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าใครก็เริ่มต้นใหม่ในเมืองหลวงได้”
กู้เชียนพลันเงียบลง
“เรื่องนี้กรมผู้คุมกฎเป็นคนดำเนินการมาตลอด ครั้งนี้เสิ่นหลิงดึงเรื่องการตรวจสอบหนิงอี้มา ได้ยินว่าตอนเข้าเมืองหลวงก็มีคนเคยตรวจสอบแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร” สวีจิ่นหรี่ตา หลุบตาลง “ตอนนี้เขาตรวจสอบหนิงอี้อย่างบ้าคลั่งเช่นกัน และยังคิดวางแผนส่งเจ้าไปกรมผู้คุมกฎอีก ไม่กลัวไปล่วงเกินผู้มีอำนาจรึ”
กู้เชียนพ่นลมหายใจยาว เขาส่ายหน้าก่อนพูดอย่างจริงจัง “นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้ากับข้าต้องกังวล เมืองหลวงน้ำลึกเพียงใด เจ้าสวีจิ่นกับข้ากู้เชียนไม่รู้…เสิ่นหลิงเป็นเพียงเจ้ากรมน้อย เขาอาจจะได้รับการหนุนจากผู้มีอิทธิพลบางคน คนอยู่เมืองหลวง ตัวไม่เป็นอิสระ หากเบื้องบนยึดมั่นจะตรวจสอบหนิงอี้ เช่นนั้นต่อให้หนิงอี้ขาวสะอาดจริงๆ ก็ต้องเจอเงื่อนงำบางอย่างแน่”
สวีจิ่นก้มหน้าลง เขาเข้าเมืองหลวงมาเก้าปี อายุสิบหกรู้จักกับเสิ่นหลิง ตอนนี้อยู่กรมข่าวกรองมาสิบเอ็ดปี
อยู่เมืองหลวงไม่ง่าย
เบื้องหลังอันโอ่อ่าของต้าสุยซ่อนความลับที่ไม่มีใครรู้มากมาย ในเรื่องชื่อเสียงและผลประโยชน์ เดิมทีไม่มีใครขาวสะอาด…เสิ่นหลิงเป็นคนที่ถูกต้องชอบธรรม ในสิบเอ็ดปีของสวีจิ่น เขาเคยเห็นแค่เสิ่นหลิงคนเดียวที่เป็นบุรุษผู้ขาวสะอาดไม่มีด่างพร้อย
“ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจข้าถึงมีลางสังหรณ์ไม่ดีมาตลอด…ช่างเถอะๆ” สวีจิ่นเงียบไปนานก่อนจะพูดเสียงเบา “เสิ่นหลิงยึดมั่นจะตรวจสอบก็ตรวจสอบไปเถอะ ต้าสุยไม่สงบสุข กลางวันแสกๆ เช่นนี้ จะมีใครทำชั่วอะไรได้”
กู้เชียนตบบ่าสหายตน
“เจ้าด้วย กู้เชียน…คนแซ่กงซุนของกรมผู้คุมกฎ แม้ตำแหน่งจะเล็ก เป็นเพียงทูตผู้ถือคำสั่ง แต่เบื้องหลังลึก เกรงว่าคงจะพัวพันไปถึงราชนิกุลบางท่านในเมืองหลวง เจ้าทำงานข้างเขาก็ต้องระวังด้วย” สวีจิ่นคลึงระหว่างคิ้วแล้วพูดอย่างจริงจัง “รอคดีจบแล้วไว้เราไปดื่มด้วยกัน”
“ได้ แน่นอน”
กู้เชียนยิ้ม เขาตบบ่าสวีจิ่นก่อนผลักประตูเข้าไป
ภายในห้องมีสายลมพัดผ่าน กระดาษ ม้วนคดีกระจายเต็มอากาศ บนโต๊ะระเกะระกะ น้ำหมึกกระจาย ม้วนตำรากางออก
เสิ่นหลิงไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้ว
เขายืนอยู่ตรงหน้าต่าง หันหลังให้กู้เชียน สีหน้ากลัดกลุ้ม
“ข้าได้ยินคำพูดพวกนั้นที่สวีจิ่นพูดแล้ว” เสิ่นหลิงเอาสองมือจับราว พูดเสียงแหบ “รอจบคดีแล้วพวกเจ้าสองคนจะได้เลื่อนขั้น เป็นทูตผู้ถือคำสั่งท้องถิ่นก่อน อย่ารังเกียจตำแหน่งเล็ก เลือกเอาในแดนบูรพาประจิม อีกไม่กี่ปีก็เป็นเจ้ากรมน้อยได้สบาย ข้าหาช่องทางในเมืองหลวงให้แล้ว ก่อนเป็นผู้ชำนาญการ ข้าจะช่วยพวกเจ้าก่อน”
กู้เชียนยิ้ม “สวีจิ่นรู้น้อย เขายังกังวลเรื่องพวกนี้อยู่ ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว”
“สวีจิ่นเป็นคนทึ่ม ตรงไปตรงมา” เสิ่นหลิงก้มหน้าลงแล้วส่ายหน้า “เบื้องหลังคดีนี้พัวพันลึกลับมาก ไม่บอกเขาจะเป็นการดีกว่า”
“องค์ชายรองอยากให้ตรวจสอบเด็กแซ่เผย สงสัยว่าปรมาจารย์ค่ายกลในคดีลึกลับจวนเขาครามก็คือน้องสาวของคนแซ่หนิง” เสิ่นหลิงคลึงแก้ม พูดงึมงำ “เอาบันทึกตัวตนของหนิงอี้กับเผยฝานขึ้นมาตรวจสอบอีกครั้ง เจ้ากรมใหญ่ให้บันทึกนี้กับข้า ข้าเจอจุดน่าสงสัยเยอะมาก…ไม่ใช่แค่คนแซ่เผยนั่น”
กู้เชียนยืนหน้าเสิ่นหลิง มองไปนอกหน้าต่างไกลๆ เช่นกัน
“ข้าคัดลอกม้วนคดีของกงซุนเยวี่ยมาแล้ว…ท่านต้องคาดไม่ถึงกับสิ่งที่อยู่ในม้วนคดีนี้แน่นอน”