บทที่ 289 กินข้าวคงไม่ใช่เรื่องง่ายแบบหรอก
เสียงเสนาะหูของข้อความแจ้งเตือนจากระบบทำให้ไป๋เยี่ยเข้าใจได้ในทันทีว่าตอนนี้ตนเองเป็นคนที่สูงส่งและมีคลาสมากแค่ไหน ทั้งยังเป็น…คนที่โคตรเทพอีกด้วย
อย่างน้อยๆ เมื่อไป๋เยี่ยมองไปยังแถบทักษะเลเวลเจ็ดที่ส่องแสงเป็นประกายนั่น เขาก็จะรู้สึกว่าตัวเองสุดยอดมาก
เยี่ยมจริงๆ!
ทุกคนเก็บสัมภาระและขึ้นรถบัสไปยังเมืองใกล้เคียง ซึ่งไฟล์ทบินจะเป็นของวันพรุ่งนี้
ทว่าไป๋เยี่ยกลับไม่ได้คาดหวังอะไรเลย ต้องรู้ว่าในฐานะที่เขาเป็นคนชั้นสูงคนหนึ่งแล้ว เป้าหมายของเขาย่อมเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ดั่งดวงดาวและมหาสมุทร…
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขามาถึงโรงแรม เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของเขาก็ต้องถูกพับเก็บไปก่อน รอให้ถึงวันที่มีอารมณ์คิดเรื่องนั้นแล้วค่อยเอาออกมาคิดอีกที
อย่างน้อยๆ หมูตุ๋นที่แซมด้วยชั้นไขมันเยิ้มๆ ตรงหน้าก็พอจะดึงดูดประสาทสัมผัสของไป๋เยี่ยเอาไว้ได้
หลิวเสี่ยวกังและคนอื่นๆ เองก็ต่างตื่นเต้นกับมื้ออาหารอันโอชะเช่นนี้
หลิวเสี่ยวกังกำลังจะคีบซี่โครงหมูเข้าปาก แต่กลับเหลือบไปเห็นว่าไป๋เยี่ยกำลังมองมาทางเขา เขาจึงสะดุ้งและชะงักไป
ไป๋เยี่ยถาม “คุณกินอะไร”
หลิวเสี่ยวกังผงะ เขาจ้องมองที่ซี่โครงในมือและครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง จนในที่สุดเขาก็เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ซี่โครงซี่ที่เก้าจากทางด้านซ้ายของหมูคือจุดตัดของซี่โครงด้านหน้าและด้านหลัง!” พูดจบเขาก็ลงมือแทะเนื้อหมูจนเผยให้เห็นกระดูกแล้วมองดูด้วยสีหน้าอันแน่วแน่ก่อนจะพูดต่อ “ใช่แล้ว ต้องเป็นแบบนี้แหละ ดูที่รอยสิ นี่คือรอยข้างขอบกระดูกซี่โครงซี่ที่เก้า…เสี่ยวเยี่ย ผมพูดถูกไหม”
ไป๋เยี่ยดูสับสนเล็กน้อย เขาแค่อยากถามหลิวเสี่ยวกังว่าอีกฝ่ายกำลังกินอะไรอยู่ แต่เขาไม่คิดว่าหมอนี่จะพูดมากขนาดนี้ ก็แค่ซี่โครงเอง ต้องอธิบายละเอียดขนาดนี้เลยเหรอ
ไป๋เยี่ยถอนหายใจ เขาส่ายหัวแล้วคีบไส้หมูให้ซ่งเจี๋ยที่อยู่ข้างๆ ซ่งเจี๋ยมองไส้หมูที่ไป๋เยี่ยคีบมาให้
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าเซลล์ทั้งร่างของเขาเริ่มหดตัวลง ต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อส่งออกซิเจนทั้งหมดไปยังเซลล์สมอง ซ่งเจี๋ยใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาขมวดคิ้วแน่น ในแววตาของเขาลุกเป็นประกายราวกับคบเพลิง จนในที่สุดเขาก็โพล่งออกมาว่า “นี่คือลำไส้ใหญ่ส่วนล่างของหมู…มีบทบาทสำคัญในด้านการทำงานของลำไส้”
ไป๋เยี่ยได้แต่มองทุกคนด้วยสายตาว่างเปล่าและทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
แน่นอนว่าเขาจะโทษทุกคนก็ไม่ได้ มันเป็นเพราะช่วงนี้ไป๋เยี่ยเองก็เข้มงวดกับทุกคนมากจริงๆ
กล่าวคือ ไป๋เยี่ยเอาใจใส่ในการกระตุ้นให้ทุกคนก้าวไปข้างหน้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลิวเสี่ยวกังจากแผนกศัลยกรรมกระดูก เขาดูจะตื่นตาตื่นใจกับการอยู่ใต้อำนาจของไป๋เยี่ยมาก
แน่นอนว่าพูดแบบนี้ก็อาจจะฟังดูเกินจริงไปหน่อย แต่ทุกวันนี้ในฐานะที่ไป๋เยี่ยเป็นคนดูแลฐานการแพทย์ เขาก็มักจะสอนทุกคน โดยสอนทั้งความรู้และทักษะให้พวกเขาและยังถามคำถามเป็นครั้งคราวเพื่อทดสอบ
ดังนั้นหลังจากที่ไป๋เยี่ยเผลอเอ่ยปากถามไปส่งๆ ทุกคนจึงทำตามความเคยชินเท่านั้นเอง
หลี่หมิงหัวเราะเบา ๆ และหันไปพูดกับไป๋เยี่ย “เสี่ยวเยี่ย ไหนๆ การกู้ภัยก็จบลงแล้ว ในที่สุดทุกคนก็ได้พักผ่อนกินของอร่อยๆ อย่าทดสอบพวกเขาเลย”
พูดจบ หลี่หมิงก็คีบหัวมันเทศให้หลีจื่อเหยียน “อะ จื่อเหยียน อันนี้อร่อยดี ลองชิมดูสิ”
พอได้ฟังหลี่หมิงพูดแบบนั้น ไป๋เยี่ยกลับรู้สึกประหม่า เขาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย…
ไป๋เยี่ยคิดแล้วก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ พอดีกับที่เขาเหลือบไปเห็นหลีจื่อเหยียนกำลังหัวเราะ
ไป๋เยี่ยจึงกระแอมไล่ความประหม่า ก่อนจะหันไปยิ้มให้หลีจื่อเหยียน “จื่อเหยียน กินเยอะๆ สิ มันเทศพวกนี้เป็นของดีนะ!”
หลีจื่อเหยียนตัวสั่น ดวงตาของเธอหม่นมัวลงเล็กน้อย เธอมองไป๋เยี่ยด้วยสีหน้าสิ้นหวังก่อนจะเอ่ยอย่างเนิบนาบ “อาจารย์ไป๋ ฉันเรียนแพทย์แผนปัจจุบันมาน่ะ ไม่รู้สรรพคุณของมันเทศหรอก…”
ไป๋เยี่ย “…”
เราจะยังกินข้าวอย่างมีความสุขได้อยู่ไหม
เราจะยังพูดคุยกันอย่างมีความสุขได้ไหม
แล้วพวกเราจะยังเป็นความสบายใจของกันและกันอยู่ไหม
สัญญาระหว่างพวกเรามันหายไปแล้วเหรอ
พนักงานเสิร์ฟที่อยู่ด้านข้างได้ฟังก็ตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นมื้ออาหารเย็นที่มีบรรยากาศเช่นนี้ ทันใดนั้นผู้จัดการก็เดินเข้ามาพูดกับพนักงานเสิร์ฟ “โต๊ะนี้เป็นแขกวีไอพี ต้องดูแลให้ดี พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญศาสตราจารย์ระดับโลกเชียวนะ…”
ทำให้พนักงานเสิร์ฟคนนั้นตระหนักได้…มิน่าล่ะ! เป็นที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ได้ความรู้มาเยอะเลย นี่สินะวิธีร่วมโต๊ะกินอาหารของพวกอัจฉริยะ
เฮ้อ ได้ความรู้เยอะจริงๆ!
ไม่แปลกใจว่าทำไมพวกเขาถึงประสบความสำเร็จ ที่แท้ความสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันเป็นเรื่องของความเพียรทั้งนั้น!
เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอก็กะว่ากลับบ้านไปจะซื้อกระดูกสันหลังแพะกลับไปให้ลูกชายที่กำลังเรียนอยู่ในวิทยาลัยแพทย์นำไปศึกษาโครงสร้างของกระดูกสันหลังบ้าง
มื้ออาหารที่อัดแน่นไปด้วยวิชาการกินเวลานานเกือบสองชั่วโมง เนื่องจากทุกคนต้องพิจารณาตนเองว่าควรจะคีบอาหารชิ้นนั้นขึ้นมาหรือไม่…
อย่างเช่นซ่งเจี๋ย เขาไม่มองอาหารจานอื่นนอกจากไส้หมูเลย แถมเขายังเอาแต่กินไส้หมูอย่างเดียวมาสองชั่วโมงแล้ว เขากินแม้กระทั่งต้นหอมหัวหอมที่ผัดคู่กับไส้หมูจนเกลี้ยง แม้แต่พริกไทยก็ยังกินเข้าไป เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เขากล้ากินแค่อาหารจานนี้ซึ่งก็ไม่ได้เยอะมาก เขาจึงยังไม่อิ่มสักนิด…
เขาได้แต่กินข้าวสวยตัดเลี่ยน โชคดีที่ไป๋เยี่ยไม่ได้ถามถึงสรรพคุณของข้าวสวย มิเช่นนั้นเขาคงไม่กล้าแตะข้าวสวยด้วยแน่…
ส่วนหลิวเสี่ยวกังก็กินแต่ซี่โครงหมู เขาดูดไขกระดูกและซดน้ำสต็อกหมูจนหมด
มีแค่ไป๋เยี่ยเท่านั้นที่ได้ลิ้มรสอาหารทั้งโต๊ะ เขากล้ากินทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะโดยไม่สนว่าตนเองจะดูเด่นเพียงใด
ทำเอาทุกคนอดคิดในใจไม่ได้ การเรียนเก่งนี่มันดีจริงๆ เลย! พวกเด็กเรียนเนี่ยสุดยอดชะมัด! จะกินอะไรตามใจก็ได้…
หลังจากที่เข้าพักผ่อนในโรงแรมตอนช่วงบ่ายแล้ว ก็มีการพูดคุยกันว่าจะจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำในตอนเย็นวันนี้ ทุกคนต่างมองหน้าและพยักหน้าให้กัน พร้อมกับเขียนประโยคหนึ่งขึ้นมาในหัว ‘ถ้ายังรักชีวิตก็ออกห่างจากไป๋เยี่ยซะ’
เมื่อรวมโมลโดและอาคามอสแล้วก็จะมีทั้งหมดสิบสามคน ห้องพักที่จองไว้จึงเป็นห้องธรรมดาที่นอนได้ห้องละสองคน
ดังนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ไป๋เยี่ยจึงกลายเป็นคนที่ได้นอนห้องเดี่ยว
เมื่อหลิวเสี่ยวกังและซ่งเจี๋ยกลับมาที่ห้องก็ปิดประตูลงก่อนจะเผลอหยิบถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมา…
พวกเขาทั้งสองชะงักไปก่อนจะหันไปมองหน้ากันอย่างรู้ใจ ทั้งสองคนพยักหน้าให้กันและเริ่มต้มบะหมี่ทันที
เฮ้อ การหามิตรแท้ในโลกอันแสนวุ่ยวายนี่มันยากชะมัด!
ตัดมาที่ห้องของหลีจื่อเหยียนและหลี่หมิง หลี่จื่อเหยียนตกใจที่เห็นพ่อของเธอกำลังต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “พ่อ ไหงมากินบะหมี่ล่ะ”
หลี่หมิงยิ้มแห้ง “ตอนเที่ยงพ่อรู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ กินไม่เยอะ ตอนนี้เลยเริ่มหิวแล้ว”
แต่ถ้าให้พูดตามตรง เขากลัวจะขายหน้าถ้าไป๋เยี่ยยิงคำถามมาแล้วเขาตอบไม่ได้ อย่างไรเขาก็เป็นถึงหัวหน้าแผนกเชียวนะ…ไม่แน่ต่อไปเขาอาจจะได้เป็นพ่อตาก็ได้ เขาจะมาเสียหน้าเพราะเรื่องขี้ปะติ๋วแบบนี้ได้อย่างไร
ข้าวน่ะกินหรือไม่กินก็ได้ แต่ศักดิ์ศรีน่ะต้องมี!
หลีจื่อเหยียนมองผู้เป็นพ่ออย่างเข้าอกเข้าใจ “พ่อ หนูก็อยากกินเหมือนกัน เรามากินด้วยกันไหม”
หลี่หมิงถึงกับหน้าซีด “…”