บทที่ 294 ความทะเยอทะยานของไป๋เยี่ย
ทันทีที่ไป๋เยี่ยเปิดประตูเข้ามาเจอผู้เป็นแม่ เขาก็เอ่ยเสียงดังทั้งรอยยิ้ม “แม่ ผมกลับมาแล้ว!”
หูไฉ่อวิ๋นสวมถุงมือยางซักเสื้อผ้าของไป๋เยี่ยอยู่ เมื่อเธอเห็นว่าไป๋เยี่ยกลับมาก็นิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะจ้องมองไป๋เยี่ยด้วยสายตาอ่อนโยน “กลับมาแค่คนเดียวเหรอ”
ไป๋เยี่ยยิ้มแห้ง “ใช่แล้ว กลับมาครบสามสิบสองเลย! ไม่ได้กลับมาแค่ครึ่งเดียวซะหน่อย ผมไม่เป็นอะไรเลย! ดูสิ ผิวผมก็ไม่ได้แตกนะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า!”
หูไฉ่อวิ๋นเหลือบมอง “อย่ามาแกล้งบื้อนะ ลูกสะใภ้แม่ล่ะ”
ไป๋เยี่ยถึงกับกระแอมก่อนจะค่อยๆ ฝืนยิ้ม “โธ่ แม่ แม่ก็รู้ว่าเราไม่ควรใจร้อนกับเรื่องความสัมพันธ์นี่ สำคัญคือเราต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ…”
ไป๋เยี่ยกำลังจะอธิบายต่อ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “ใครครับ”
ไป๋เยี่ยถามพร้อมกับเดินไปเปิดประตู ทันทีที่ประตูเปิดออก ก็เห็นว่าหลีจื่อเหยียนในเสื้อขนเป็ดสีขาวและหมวกขนสัตว์ใบเล็กกำลังยืนมองเขาด้วยดวงตากลมโตอยู่ที่หน้าประตู
“เธอมาที่นี่ได้ยังไง”
ไป๋เยี่ยมองหลีจื่อเหยียนด้วยสายตางุนงง ก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าเธอกำลังถือกระเป๋าไว้สองใบ หลีจื่อเหยียนเอ่ยพลางยิ้มตาหยีให้ “ฉันมาคืนเสื้อผ้าของนายน่ะ แล้วก็เอาของฝากจากเมียนมามาให้คุณป้าด้วย”
เมื่อหูไฉ่อวิ๋นได้ยินดังนั้นเธอก็ลุกพรวดขึ้นไปถอดถุงมือทิ้งและจัดการตนเองที่หน้ากระจก ก่อนจะเดินมาที่ประตู
“เสี่ยวเยี่ย เพื่อนมาทั้งทีก็ให้เขารีบเข้ามาสิ ข้างนอกมันหนาวนะ!” ทันทีที่หูไฉ่อวิ๋นเห็นหลีจื่อเหยียน เธอก็เบิกตากว้างพลางคลี่รอยยิ้มอันอบอุ่นดั่งสายลมในฤดูใบไม้ผลิออกมา
หลีจื่อเหยียนเห็นหูไฉ่อวิ๋นมาอยู่ตรงหน้าก็ใจเต้นโครมครามด้วยความกังวลเล็กน้อย
แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงยิ้มรับ “ขอบคุณค่ะคุณป้า”
หลังจากเข้ามาในบ้านแล้ว หูไฉ่อวิ๋นก็รีบชวนหลีจื่อเหยียนมานั่ง “ไอ้หยา หนูสวยมากเลยนะ นี่หนูกับเสี่ยวเยี่ยเป็น…เพื่อนกันเหรอ”
รอยยิ้มของหลีจื่อเหยียนสดใสดั่งแสงอาทิตย์ในเดือนมีนาคม ช่างเป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์และสบายตาอย่างยิ่ง
“คุณป้าก็ดูดีมากเลยค่ะ หนูเป็นเพื่อนร่วมงานของไป๋เยี่ยน่ะค่ะ เราไปที่เมียนมาด้วยกัน ตอนอยู่ที่นั่นเขาช่วยหนูไว้มากเลยค่ะ!”
คำชมจากหลีจื่อเหยียนทำให้หูไฉ่อวิ๋นมีความสุขไม่น้อยเลย หูไฉ่อวิ๋นจึงยิ้มรับและหันไปทางไป๋เยี่ย “เสี่ยวเยี่ย ไปรินชาให้หนูน้อยคนนี้หน่อยสิ เอาชาที่พ่อเพิ่งซื้อกลับมานะ”
ทว่าหลีจื่อเหยียนกลับพูดขัด “ไม่รบกวนคุณป้าแล้วดีกว่าค่ะ หนูมาคืนเสื้อผ้าแล้วก็เอาของฝากจากเมียนมามาให้ค่ะ”
ผู้หญิงมักมีความเอาใจใส่พิถีพิถันมากกว่าผู้ชายเป็นปกติ ก่อนที่ไป๋เยี่ยจะกลับมาถึงจีน เขาเหนื่อยจนต้องรีบพักผ่อน เขาไม่อยากออกไปเลย มีหรือจะคิดเรื่องซื้อของฝากกลับมา ต่างจากหลีจื่อเหยียนที่นึกขึ้นได้
“อันนี้คือหวีไม้แบบพิเศษจากเมียนมาค่ะ คุณป้าชอบไหมคะ”
ผู้หญิงมักจะสนิทกันได้ไวมาก เช่นเดียวกับหูไฉ่อวิ๋นและหลีจื่อเหยียน ส่วนไป๋เยี่ยซึ่งเป็นคนในเหตุการณ์กลับได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่เดินไปไหน
ทั้งสองคนคุยกันนานถึงสามสี่ชั่วโมง จนกระทั่งเป็นเวลาราวๆ หกโมงเย็น ไป๋ตงหลินและไป๋หลิงก็กลับมาพอดี ซึ่งทั้งสองคนนั้นก็มีเรื่องพูดคุยอีกไม่รู้จบ
หูไฉ่อวิ๋นยืนกรานที่จะพาหลีจื่อเหยียนออกไปกินข้าวด้วยกัน ทว่าหลีจื่อเหยียนกลับปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าที่บ้านไม่มีใครทำอาหารให้พ่อของเธอ
หลังจากที่หลีจื่อเหยียนออกไปแล้ว หูไฉ่อวิ๋นก็กลับมานั่งคุยกับไป๋เยี่ยถึงเรื่องหลีจื่อเหยียน
วันต่อมา ทางโรงพยาบาลได้จัดงานมอบรางวัลเกียรติยศเพื่อเป็นการชื่นชมทีมแพทย์ที่อาสาไปช่วยเหลือผู้คนที่เมียนมาในครั้งนี้ พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาแด่ทุกคน
ทว่าไป๋เยี่ยกลับลางาน เพราะเขาจำเป็นต้องสงบสติอารมณ์ตนเองลงและจัดการกับองค์ความรู้ที่เขาได้รับมา
องค์ความรู้หลักที่เขาได้รับในครั้งนี้คือทักษะการแพทย์ฉุกเฉินเลเวลเจ็ด ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นทักษะที่ทะลุขีดจำกัดไปแล้ว อีกทั้งทักษะนี้ยังจัดระเบียบความคิดได้ยากเพราะว่ามันเกี่ยวโยงกับหลายอย่างมากเกินไป
นอกจากนี้ก็มีทักษะศัลยกรรมกระดูก ซึ่งทักษะภาคปฏิบัติของไป๋เยี่ยล้วนถึงเลเวลหกแล้ว ทว่าเขายังมีความรู้สึกว่าแนวทางปฏิบัติของสาขาศัลยกรรมกระดูกแห่งชาติในปัจจุบันยังอยู่ที่ประมาณเลเวลห้า แม้แต่แนวทางปฏิบัติระดับโลกก็ยังอยู่ที่ประมาณเลเวลหกเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทักษะศัลยกรรมกระดูกของไป๋เยี่ยก็อยู่ที่ 39012/100000 แล้ว ไหนจะยังมีทักษะกายภาพบำบัดซึ่งมีเลเวลสูงกว่าที่ เลเวลหก 51024/100000 อีกไม่นานเลเวลของทั้งสองทักษะนี้ก็จะพุ่งไปยังเลเวลเจ็ดแล้ว
ส่วนทักษะที่ไป๋เยี่ยสร้างขึ้นเองอย่างการศัลยกรรมกระดูกฉุกเฉินก็เพิ่มขึ้นเป็นเลเวลหกโดยอัตโนมัติแล้ว ต่อไปก็แค่ต้องค่อยๆ ศึกษาด้วยตนเอง
การจะอัปเลเวลทักษะจากเลเวลหกไปเลเวลเจ็ดนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความขยันอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการร่วมมือกันด้วย
อาคามอสและโมลโดพักอยู่ที่โรงแรมใกล้บ้านของไป๋เยี่ย ทุกๆ วันไป๋เยี่ยจะไปที่นั่นเพื่อทำการศึกษาและสรุปข้อมูลกับทั้งสองคน
เหตุผลหลักๆ ที่อาคามอสและโมลโดตามมาที่นี่ก็เพราะพวกเขาได้รับประสบการณ์และแรงบันดาลใจจากสิ่งที่ไป๋เยี่ยเคยบรรยายที่เมียนมา จึงอยากมาทำโครงการวิจัยหลังจากที่กลับจากเมียนมา
ทว่าแนวคิดของพวกเขายังไม่สมบูรณ์ดีนัก ทั้งคู่จึงหวังว่าจะติดตามไป๋เยี่ยต่อไปเพื่อสร้างระบบของโครงการวิจัยขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามาถึงปักกิ่งและได้ช่วยไป๋เยี่ยจัดระเบียบองค์ความรู้นั้น พวกเขาก็ต้องตกตะลึงไปในทันที!
ที่แท้สิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้มาก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงแค่เนื้อหาผิวเผิน หรืออาจจะเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ด้วยซ้ำ
พวกเขายังไม่ได้เรียนรู้ถึงแนวคิดดั้งเดิมของไป๋เยี่ยเลยสักนิด แต่เมื่อได้รู้เช่นนั้นแล้วทั้งคู่ก็เริ่มหันมาขบคิด
หลังจากที่ไป๋เยี่ยสรุปและจัดการความคิดมาตลอดสองวันนี้ เขาก็เกิดไอเดียขึ้นมา!
เราจะสร้างสถาบันวิจัยกระดูกขึ้นมา!
เหตุใดเขาจึงบังเกิดความคิดนั้นขึ้นมา อันที่จริงไป๋เยี่ยได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว โดยประการแรก ถ้าเขาต้องการส่งเสริมองค์ความรู้มากมายขนาดนี้ เขาจะต้องมีแพลตฟอร์มของตนเอง เพราะเขาต้องอาศัยความช่วยเหลือจากแพลตฟอร์มอื่นๆ ด้วยถึงจะเกิดประโยชน์
ตอนนี้เขามีภูเขาที่เต็มไปด้วยขุมทรัพย์ แพลตฟอร์มที่ว่าก็เปรียบเสมือนพาหนะที่จะขนส่งสมบัติเหล่านั้นไปทั่วโลก
ประการที่สอง คือ ไป๋เยี่ยต้องการปรับปรุงทักษะการศัลยกรรมกระดูกของเขาต่อไป เขาต้องการก้าวข้ามขีดจำกัดและสร้างทักษะวิชาระดับสูงอย่างแท้จริงขึ้นมา ซึ่งเขาต้องร่วมกันทำงานกับผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ เช่นเดียวกันกับที่เขาเคยทำที่เมียนมา เขานำความคิดของหลายๆ คนมาบูรณาการเข้าด้วยกันจนบรรลุผล
ประการที่สาม ซึ่งมีความสำคัญที่สุดก็คือ ไป๋เยี่ยคิดว่าเขาควรจะสร้างโลกแห่งการแพทย์ของเขาขึ้นมา เกียรติยศและตำแหน่งนั้นเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว สิ่งที่เป็นของเขาอย่างถาวรจะต้องเป็นสิ่งที่เขาถือครองไว้ด้วยมือตนเองเท่านั้น
ก็เหมือนกับตอนแรกที่ไปเยือนเมียนมา ศูนย์การแพทย์ทั้งหมดในประเทศเมียนมาล้วนเป็นของตระกูลต้วนเจ๋อหมิง หากไป๋เยี่ยต้องการร่วมมือกับทางนั้น เขาก็ต้องมีความแข็งแกร่งในระดับที่เทียบเคียงกันได้
มิเช่นนั้น แม้แต่ความร่วมมือก็ดูจะกลายเป็นเรื่องไร้สาระ!
ท้ายที่สุดแล้ว เราก็กำลังทำเพื่อผู้อื่นอยู่
นอกจากนี้ ต่อไปเลเวลสมาชิกของไป๋เยี่ยก็จะสูงขึ้นไปด้วย เขาคงไม่มีทางแบกรับค่าธรรมเนียมรายเดือนที่มากขนาดนั้นได้แน่
นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมไป๋เยี่ยจึงบังเกิดแนวคิดนี้ขึ้นมา จะบอกว่านี่เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวก็ย่อมได้!
สถาบันวิจัยประเภทนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ อีกทั้งแต่ละแห่งยังมีเทคโนโลยี สถาบันวิจัยเหล่านี้ล้วนอยู่ในเครือบริษัทกองทุนทั้งสิ้น จึงการันตีได้ว่าพวกเขามีทุนเพียงพอต่อการทำวิจัย ในทำนองเดียวกัน เมื่อสถาบันวิจัยเหล่านั้นวิจัยสำเร็จ บริษัทกองทุนก็ได้รับผลประโยชน์มากมายด้วย
อย่างไรก็ตาม สถาบันวิจัยประเภทนี้ค่อนข้างหายากในจีน ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่ไป๋เยี่ยต้องการทำ!
แต่ถึงกระนั้น สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ ไป๋เยี่ยต้องการสร้างกลุ่มการแพทย์ขึ้นมา แม้ว่าในยามที่เขาแก่ตัวลงแล้ว ก็ยังส่งต่อมรดกให้กับคนรุ่นหลังต่อไปได้