บทที่ 299 ลาออก
ต้องใช้คำว่า ในราชสำนักย่อมมีขุนนาง และในหมู่ขุนนางก็ย่อมมีคนที่ทำงานดี
ถ้าเกาเย่ว์หยางไม่ได้ทำงานในวงการแพทย์ เขาคงไม่มีทางรู้เรื่องนี้เลย
ตอนแรกเกาเย่ว์หยางไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้เลย จุดที่เขายืนอยู่ไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจกับเรื่องเหล่านั้นด้วยซ้ำ
แต่ไม่น่าเชื่อว่าอยู่ดีๆ ไป๋เยี่ยจะคิดอยากตั้งสถาบันวิจัยพร้อมกับโรงพยาบาลขึ้นมา นับเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ
กระบวนการขออนุญาตจัดตั้งสถาบันดำเนินไปได้เร็วขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากเกาเย่ว์หยาง ไม่นานนักขั้นตอนต่างๆ ก็เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว
ไป๋เยี่ยรู้สึกติดหนี้บุญคุณเกาเย่ว์หยางมากขึ้นเล็กน้อย ถ้าบอกว่าเหล่าหลิวคือผู้มีพระคุณ เช่นนั้นเกาเย่ว์หยางก็คงไม่ต่างกัน
บางครั้ง คนที่เปลี่ยนแปลงตัวคุณได้มากที่สุดในชีวิตก็คือคนเก่งๆ ที่คุณพบในชีวิต
แม้ว่าไป๋เยี่ยจะไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาก็จดจำมันไว้ในใจ ดั่งเช่นคำพูดที่จูกัดเหลียงพูดกับเล่าปี่ในวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก ‘ร่ำไห้ให้กับบุญคุณจากมิตรที่เพิ่งพบพานกัน’
ในชีวิตของแต่ละคนอาจจะมีบุคคลมากความสามารถซึ่งอาจเปลี่ยนวิถีชีวิตเดิมของคุณได้เข้ามาในชีวิต
หลังจากพินิจพิจารณามาหลายวันแล้ว จู่ๆ โมลโดก็ตัดสินใจเปลี่ยนชีวิตตนเองโดยการลาออก!
และในวันเดียวกันนั้น โมลโดก็ได้จองเที่ยวบินกลับเยอรมนีไปที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยไฮเซนเบิร์ก
ในฐานะที่เขาเป็นถึงหัวหน้าแผนกศัลยกรรมกระดูกของโรงพยาบาลในเครือ เป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลและผู้อำนวยการสถาบันวิจัยศัลยกรรมกระดูกของมหาวิทยาลัยไฮเซนเบิร์ก ถ้าจะบอกว่าสถานะของโมลโดนั้นสูงส่งคงไม่เกินจริง
หลังจากกลับมาที่เยอรมัน โมลโดก็ใช้เวลาทั้งคืนไปกับการเขียนจดหมายลาออกนับหลายฉบับ เช้าวันรุ่งขึ้น เขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่และไปที่ห้องผู้อำนวยการตั้งแต่เช้าตรู่
‘โจนส์’ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยไฮเซนเบิร์กเห็นโมลโดกลับมาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “โอ้ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะโมลโด พักผ่อนเป็นไงบ้าง”
โมลโดและโจนส์เป็นเพื่อนเก่าและเพื่อนร่วมชั้นมาหลายปี ด้วยความที่เป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยไฮเซนเบิร์กและได้ร่วมงานกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยมาจนถึงทุกวันนี้ จึงกล่าวได้ว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ฉันมิตรกันมาก
โมลโดยิ้ม “ฉันมีความสุขมากโจนส์ ในที่สุดฉันก็ค้นพบสิ่งที่ฉันตามหามาตลอดชีวิตแล้ว หวังว่านายจะยินดีกับฉันด้วยนะ!”
โจนส์ตะลึง “โอ้ ไม่ๆๆ! เมียนายดีกับนายมากเลยนะ เธอมีลูกให้นายตั้งสี่คน นายแน่ใจนะว่าทำแบบนี้จะไม่ทำให้เธอเสียใจน่ะ ไม่เอาน่า ในฐานะที่เป็นเพื่อนรักกัน ฉันว่านายควรจะไปคุยกันดีๆ ก่อนนะ”
โมลโดกลอกตาและยักไหล่ “คิดอะไรอยู่น่ะ ฉันรักเมียจะตาย ที่ฉันหมายถึงคือฉันเจอสิ่งที่อยากวิจัยจริงๆ แล้ว!”
โจนส์ได้ยินดังนั้นก็พลอยยิ้มออกไปด้วย “โอเค ยินดีด้วยนะ นายนี่มันเก่งมาโดยตลอดจริงๆ แล้วมีอะไรให้ฉันช่วยล่ะ”
โจนส์ยิ้มพร้อมกับหยิบขวดไวน์แดงขวดหนึ่งออกมาจากใต้โต๊ะเงียบๆ “ฉันคิดว่าฉันควรฉลองให้นายสักหน่อย”
โมลโดยิ้ม “รู้อยู่แล้วว่านายจะต้องสนับสนุนฉัน”
โมลโดพูดจบก็วางจดหมายลาออกลงบนโต๊ะพลางดันมันไปตรงหน้าโจนส์ ก่อนจะเอ่ยอย่างสบายใจ “ชนแก้ว!”
เมื่อโจนส์ที่กำลังคิดจะดื่มอวยพรให้โมลโดเห็นจดหมายลาออกมาอยู่ตรงหน้า เขาก็อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะลุกพรวดขึ้นมา “โอ๊ะ! ไม่ๆๆ โมลโด นายเมาแล้วแน่ๆ ไม่งั้นนายก็คงแค่ล้อเล่นอยู่ใช่ไหม”
ขณะที่โจนส์พูดอย่างนั้นเขาก็ค่อยๆ ดันจดหมายออกไป
ทว่าโมลโดกลับหยุดเขาไว้ พร้อมกับดันจดหมายลาออกคืนไปแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “โจนส์ นายควรจะยินดีกับฉันสิ ฉันพบเป้าหมายในชีวิตแล้ว ฉันคิดมาดีแล้วจริงๆ”
หลังจากที่ทั้งคู่เจรจากันเป็นเวลานาน
โจนส์ก็ถอนหายใจ เขานั่งลงบนเก้าอี้และดื่มไวน์ในแก้วหมดในอึกเดียว
เขารู้จักโมลโดดี โมลโดเป็นคนที่มีความคิดยอดเยี่ยม ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ประสบความสำเร็จดั่งเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
โมลโดยิ้ม “โจนส์ จริงๆ นะ ฉันเจออาจารย์แล้ว เขาเก่งมากจริงๆ ฉันจะตามไปเรียนกับเขา ฉันคิดว่าถ้าได้ไปที่นั่นฉันจะต้องพัฒนามากขึ้นแน่ๆ”
โจนส์ตกตะลึง โมลโดเป็นคนที่จริงจังกับการวิจัย ศักยภาพด้านการปฏิบัติงานในวอร์ดและในด้านการทำวิจัยของเขาโดดเด่น ทำให้เขาเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ดังนั้นเมื่อเห็นเขากล่าวชมคนอื่นทั้งยังยกย่องเป็นอาจารย์แบบนี้แล้ว โจนส์ก็อดคิดไม่ได้ว่าคนที่เขาพูดถึงเป็นคนแบบไหน
โจนส์อดใจถามไม่ได้ “เขา…เขาเป็นใคร เป็นคนจากมหา’ลัยนั้นเหรอ”
โมลโดยิ้มอย่างมีเลศนัย “เขามาจากจีน ชื่อของเขาคือไป๋เยี่ย!”
พูดจบ โมลโดก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับตบไหล่โจนส์แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยินดีกับฉันเถอะโจนส์ ถ้าครั้งหน้านายไปจีน ฉันจะเป็นไกด์ให้เอง ฉันไปแล้วนะ ต้องไปลาออกจากโรงพยาบาลอีก เฮ้อ…ไอ้แก่นั่นก็คุยยากซะด้วยสิ”
หลังจากที่โมลโดจากไป โจนส์ก็ลองค้นหาชื่อไป๋เยี่ยจากบนอินเทอร์เน็ตด้วยความสงสัย เขาคิดว่าถ้าไป๋เยี่ยเก่งจริงก็คงจะเจอข้อมูลบ้าง
แต่หลังจากลองค้นหาดูแล้ว โจนส์ก็เจอบทความเพียงสิบฉบับเท่านั้น ซึ่งล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับสัตววิทยาทดลองและจุลชีพภายในในลำไส้ คงจะไม่ได้เป็นของคนคนเดียวจริงๆ ใช่ไหม
ยิ่งโจนส์คิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งสงสัยว่าไป๋เยี่ยเป็นใครมากขึ้นเท่านั้น
ทว่าสิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ วันรุ่งขึ้นอาคามอสก็มาหาเขาพร้อมกับยื่นจดหมายลาออกให้เช่นกัน
โจนส์มองอาคามอสด้วยสายตาตื่นตระหนก เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยชื่อไป๋เยี่ยขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขาก็แทบโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ไป๋เยี่ยคือใครกันแน่ เขาดึงคนเก่งๆ จากเราไปทีละคนแบบนี้ มันชักเกินไปแล้วนะ
สีหน้าของโจนส์ฉายแววไม่พอใจ เขาเซ็นชื่อบนจดหมายลาออกของอาคามอสพลางมองสีหน้าเบิกบานใจของอีกฝ่าย ในขณะที่ภายในใจเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจในตัวบุคคลที่ไม่เคยได้พบมาก่อนอย่างไป๋เยี่ย…
ตอนนี้เขากังวลมากว่าจะอธิบายการลาออกของโมลโดและอาคามอสในที่ประชุมอย่างไรดี ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นความรับผิดชอบของเขาทั้งสิ้น!
โจนส์คิดแล้วก็ล้มตัวลงบนเก้าอี้ด้วยความรู้สึกหดหู่…
การลาออกของโมลโดและอาคามอสทำให้เกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือดภายในไฮเซนเบิร์ก ทุกคนต่างอ่านข่าวนี้อย่างไม่อยากเชื่อ
ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดศาสตราจารย์โมลโดและอาคามอสถึงลาออก
มีเพียงกลุ่มคนที่ได้ไปร่วมโครงการทดลองที่เมียนมาเท่านั้นที่ตื้นตันใจ
ต้องเป็นเพราะไป๋เยี่ยแน่ๆ!
โยฮันกำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในห้องทำงาน เขาควรจะมีความสุขที่อาคามอสลาออกไป เพราะเขาจะได้มีโอกาสปรับปรุงตนเองมากขึ้น อีกทั้งโจนส์ก็ยังเพิ่งมาคุยว่าจะให้ตำแหน่งใหญ่ๆ กับเขาด้วย
ทว่า…โยฮันกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ!
โยฮันสนิทกับอาคามอสมาก เขาเป็นผู้ช่วยให้กับอาคามอสมาหลายปีแล้ว เรียกได้ว่ารู้จักกันดียิ่งเสียกว่ารู้จักภรรยาตนเองอีก
โยฮันคิดว่าการลาออกของอาคามอสนั้นจะต้องมีเหตุผลแฝงอยู่แน่นอน!
คงเป็นเพราะไป๋เยี่ย แต่…เพราะอะไรล่ะ
เขาเองก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เอาเถอะ มันต้องเป็นเรื่องดีแน่ๆ!
เพียงแต่ว่าสิ่งที่เขาเสียดายมากที่สุดในตอนนี้ก็คืออาคามอสเป็นคนเสนอตัวเป็นศิษย์ของไป๋เยี่ยเสียก่อน ไม่เช่นนั้นคนที่ได้เป็นศิษย์ก็คงเป็นตัวเขาเองมากกว่า
ตอนนี้โยฮันมีแรงกระตุ้นมากมายที่จะเดินทางไปจีนเพื่อค้นหาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมทั้งโมลโดและอาคามอสถึงตัดสินใจลาออกในเวลาไล่เลี่ยกัน