บทที่ 301 พร้อมลุย
ไป๋เยี่ยกังวลเรื่องการก่อตั้งสถาบันวิจัยกระดูกมาก เพราะมันคือก้าวแรกของแผนจัดตั้งองค์กรแพทย์
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องทำมัน!
แผนของไป๋เยี่ยคือการรวมฐานการทดลองและฐานปฏิบัติงานเข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินการแผนต่างๆ มาก
ในส่วนของฐานการทดลองนั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก ทว่าสิ่งสำคัญคือการเลือกฐานปฏิบัติงานอย่างโรงพยาบาลนั่นเอง
ไป๋เยี่ยรออยู่สามถึงสี่วัน จนในที่สุดก็ได้รับข่าวจากเกาเย่ว์หยาง
“เสี่ยวเยี่ย ผมหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงพยาบาลมาและนัดผู้รับผิดชอบมาให้คุณแล้ว คืนนี้เรามานั่งคุยกันสักหน่อยเถอะ”
ไป๋เยี่ยได้ฟังดังนั้นก็ตอบรับอย่างรวดเร็ว ตราบใดที่เลือกโรงพยาบาลได้แล้ว ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นเยอะ
เกาเย่ว์หยางส่งที่อยู่ของโรงพยาบาลให้ไป๋เยี่ยไปดูสภาพที่นั่นก่อน
ไป๋เยี่ยจึงขอให้คนขับรถพาเขาไปส่งที่จุดหมายในช่วงบ่าย เมื่อมาถึงสถานที่แล้ว ไป๋เยี่ยก็มองไปยังอาคารรอบๆ สภาพของมันเก่าจนไม่น่ามองเลยสักนิด
อย่างไรเสียที่นี่ก็คือโรงพยาบาลทหาร การตกแต่งจึงเน้นความเรียบง่ายเป็นหลัก ต่างจากโรงพยาบาลเอกชนโดยสิ้นเชิง
แต่แบบนี้ก็ไม่ได้แย่นัก ไป๋เยี่ยชอบการตกแต่งแบบนี้มากกว่า เพราะโรงพยาบาลคือสถานที่ที่มีไว้รักษาโรค ไม่ใช่เพื่อให้คนมาท่องเที่ยว
ต่อให้มีงบตกแต่งทำนุบำรุง ก็สู้เอามาปรับปรุงมาตรฐานและคุณภาพการรักษาพยาบาลดีกว่า
สถานที่แห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ ข้างๆ โรงพยาบาลมีที่ดินผืนหนึ่งเป็นพื้นที่เปิดโล่ง คาดว่าน่าจะเป็นสถานที่สำหรับการแสดงและการฝึกอบรม ทั้งยังมีอาคารหอพักด้วย
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทรัพย์สินของกองทัพจึงมีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นที่ดินแปลงใหญ่ในเมืองปักกิ่งเช่นนี้ยังทำเงินได้มากจากการพัฒนาพื้นที่ให้กลายเป็นอสังหาริมทรัพย์ใหญ่โต
หลังจากที่เดินสำรวจรอบๆ ในช่วงบ่ายแล้ว ไป๋เยี่ยก็รู้สึกพึงพอใจกับที่นี่มาก ทั้งทำเลที่ตั้ง ขนาดพื้นที่และสภาพแวดล้อมโดยรอบนั้นดีมาก
ที่สำคัญคือ ไป๋เยี่ยพบว่าโรงพยาบาลดังกล่าวมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมาก แม้แต่เครื่องซีทีสแกน[1]และเอ็มอาร์ไอ[2]ก็ยังเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีราคาแพงลิบ
ที่นี่เป็นโรงพยาบาลรัฐ จึงมีเตียงผู้ป่วยกว่าพันหลังและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
อีกทั้งพยาบาลของที่นี่ก็มีความพร้อมและปฏิบัติงานได้ทันที แน่นอนว่าพยาบาลเหล่านี้ไม่ใช่คนจากกองทัพ แต่มาจากการรับสมัคร
พยาบาลเกือบทุกคนเป็นหญิงสาวอายุน้อยหน้าตาสดใส อันที่จริงแล้ว เมื่อพูดถึงพยาบาลในโรงพยาบาลใหญ่ๆ ที่ปักกิ่งและโรงพยาบาลทหาร แต่ละสถานที่ต่างก็มีข้อบังคับสำหรับเจ้าหน้าที่พยาบาล
ข้อบังคับแรกไม่ใช่วุฒิการศึกษา แต่เป็นเรื่องส่วนสูงและมารยาท พยาบาลจะต้องมีวุฒิการศึกษาระดับอนุปริญญาขึ้นไปเท่านั้น และต้องใช้ความรู้ทางวิชาชีพในการปฏิบัติงานได้ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
นอกจากนี้ พยาบาลที่ได้รับคัดเลือกเข้าไปยังโรงพยาบาลบางแห่งจะได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่คอยกดลิฟต์และให้บริการด้านต่างๆ เป็นเวลาสามถึงสี่เดือนของช่วงฝึกงาน ในช่วงเวลานี้ หน้าที่หลักของพยาบาลคือการจดจำบุคลากรทั้งรายใหญ่และรายเล็กในโรงพยาบาล
จากนั้นจึงจะเริ่มการฝึกอบรมและการฝึกภาคปฏิบัติ แม้ว่าจะฟังดูไร้สาระเล็กน้อย แต่นี่ก็ถือเป็นข้อเท็จจริงที่เถียงไม่ได้
หลังจากเข้าทำงานแล้ว เงินเดือนที่พยาบาลได้รับจะไม่ได้ถูกจัดแบ่งอย่างเท่าเทียมกัน ยิ่งทำงานเยอะก็ยิ่งได้เงินเยอะ พยาบาลจึงทำงานกันจนเหนื่อย พออายุได้สักสามสิบกว่าปีก็ทำต่อไม่ไหวและต้องออกจากงานไป
โรงพยาบาลไม่มีทางเลี้ยงพนักงานไว้จนอายุมาก เมื่อทำงานไปเรื่อยๆ เงินเดือนก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทว่านั่นก็ขึ้นอยู่กับปริมาณงานเช่นกัน
เนื่องจากโรงพยาบาลเหล่านี้ไม่ขาดแคลนบุคลากร จึงมีการหมุนเวียนบุคลากรกันเป็นรุ่นๆ ไป
มีพยาบาลในเมืองใหญ่จำนวนมากที่ทำงานต่อไม่ไหวแล้วจึงไปทำงานในเมืองเล็กๆ แทน เพราะว่างานไม่หนักมากและตนก็มีทักษะที่ดีพอ โรงพยาบาลเล็กๆ ส่วนใหญ่จึงให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
หลังจากที่ไป๋เยี่ยดูจนทั่วแล้ว เขาก็ยิ่งพึงพอใจ พื้นที่เปิดโล่งนั้นใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารวิจัยได้ อีกทั้งที่นี่ยังมีอาคารหอพักให้ด้วย ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบมาก
ทว่าสิ่งที่ไป๋เยี่ยกังวลก็คือต้นทุนที่อาจจะสูงตามไปด้วย
คืนนั้น ไป๋เยี่ยก็ทำตามคำแนะนำของเกาเย่ว์หยาง เขามาถึงโรงแรมแห่งที่นัดหมายกันไว้ก่อนเวลาและจองทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้ว เหลือแค่รอการมาถึงของเกาเย่ว์หยางและผู้รับผิดชอบโรงพยาบาล
หลังจากรออยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เกาเย่ว์หยางก็เข้ามาพร้อมกับชายร่างสูงคนหนึ่ง
ชายคนนี้เป็นทหารยศพันเอก เดิมทีเขาเป็นผู้รับผิดชอบของโรงพยาบาล จึงมีความเข้าใจในตัวโรงพยาบาลแห่งนี้แทบทุกด้าน
ไป๋เยี่ยมองว่าชายตรงหน้าดูไม่ค่อยกะตือรือร้นนัก แต่ดูเป็นพวกคิดจะพูดอะไรก็พูดออกมาเลย
หลังจากรับประทานอาหารและพูดคุยกันเกือบชั่วโมง ไป๋เยี่ยก็เข้าใจสภาพทั่วไปของโรงพยาบาลแล้ว
โรงพยาบาลแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่มากกว่าแปดหมื่นตารางเมตร มีพื้นที่สิ่งก่อสร้างราวๆ ห้าหมื่นตารางเมตร เตียงผู้ป่วยหนึ่งพันหลังและเครื่องมือการแพทย์ล็อตใหม่ล่าสุด ได้แก่ เครื่องเอ็มอาร์ไอของฟิลลิปส์ เครื่องตรวจวินิฉัยหลอดเลือด…ไหนจะเครื่องซีทีสแกนอีก…มีทรัพย์สินมูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่าสามร้อยล้านหยวน
สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั้น อีกฝ่ายยังไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน แต่ไป๋เยี่ยก็คิดไปแล้วว่ามันต้องมากกว่าหนึ่งพันล้านหยวนแน่นอน
และนั่นยังไม่รวมถึงค่าที่ดินด้วยซ้ำ
ทว่าไป๋เยี่ยก็ยอมรับได้เพราะราคาค่อนข้างสมเหตุสมผล และเพราะเขาเองต้องการก่อตั้งสถาบันวิจัยขึ้นมา จึงไม่กลัวที่จะใช้เงินอย่างแน่นอน
เงินมูลค่าพันล้านเหล่านี้เป็นการลงทุนก้อนแรกเท่านั้น ต่อไปจะต้องสร้างฐานทดลอง ซ่อมแซมหอผู้ป่วยและการขยายห้องผ่าตัดอีกหลายห้อง ซึ่งคาดว่าจะตัองใช้เงินจำนวนมาก
แม้ว่าจะยังไม่ทราบราคาที่แน่นอน แต่ไป๋เยี่ยก็พอมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับโรงพยาบาลอยู่บ้าง
ขั้นต่อไปก็เหลือแค่รอฟังข่าวแล้ว เมื่อไหร่ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ไป๋เยี่ยก็จะซื้อสถานที่แห่งนี้และเตรียมปรับปรุงใหม่ จากนั้นจึงจัดการประชุมเพื่อเริ่มดำเนินการในขั้นแรก
ระหว่างรอ ไป๋เยี่ยจึงไม่มีอะไรทำมากนัก โมลโดและอาคามอสต่างก็กลับเยอรมันไปแล้ว ตอนนี้เขาจึงได้แต่อดทนรอต่อไป
ทันใดนั้นไป๋เยี่ยก็นึกถึงเฉินเจิ้นปั่ง จึงต่อสายหาเขาทันที “ผู้บัญชาการครับ ช่วงนี้ผมสะดวกไปทดสอบแล้ว”
อีกฝ่ายได้ยินเช่นนั้นก็ตอบรับอย่างรวดเร็ว
เฉินเจิ้นปั่งแจ้งเรื่องนี้ให้ทางโรงพยาบาลภาคสนามทราบและจะจัดให้ไป๋เยี่ยเข้ารับการทดสอบในเร็วๆ นี้
คิดว่าไป๋เยี่ยกังวัลไหม
ไม่เลย!
ไป๋เยี่ยมั่นใจในการแพทย์ฉุกเฉินเลเวลเจ็ดของเขามาก
ทว่าก็ต้องยอมรับว่าประสิทธิภาพในการดำเนินการของกองทัพนั้นแข็งแกร่งจริงๆ ในบ่ายวันนั้นเองไป๋เยี่ยก็ได้รับแจ้งให้ไปทำการทดสอบในวันรุ่งขึ้น
เรื่องนี้ทำให้ไป๋เยี่ยอดถอนหายใจด้วยความคาดหวังไม่ได้เลย
ว่ากันว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์ของกองทัพนั้นล้ำหน้าการแพทย์ระดับพลเรือนไปหลายขุม ไป๋เยี่ยจึงอยากเห็นว่าศักยภาพของโรงพยาบาลแห่งนี้จะอยู่ในระดับใด
จะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงคนใดบ้าง
ด้วยดวงตารอบรู้ที่ไป๋เยี่ยมีนั้น ทำให้เขายิ่งอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่นี่
เช้าวันรุ่งขึ้น จ้าวหู่ชิวก็มารับไป๋เยี่ยถึงที่ ใช้เวลาขับรถกว่าสองชั่วโมงก็มาถึงเขตกองทัพ
หลังจากที่จ้าวหู่ชิวพาไป๋เยี่ยมาส่งที่โรงพยาบาลแล้ว ก็พบว่าเฉินเจิ้นปั่งกำลังรออยู่ที่นั่นพร้อมกับกลุ่มแพทย์มืออาชีพ
คนเหล่านี้คงจเป็นเจ้าหน้าที่ทดสอบของไป๋เยี่ย
เฉินเจิ้นปั่งเหลือบมองไป๋เยี่ย ก่อนจะเอ่ยขึ้นทันทีโดยไม่ทันให้ไป๋เยี่ยได้เตรียมตัว “เตรียมพร้อม เริ่มได้!”
[1] เครื่องซีทีสแกน (Computerized Tomography Scan) คือ เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคต่างๆ โดยจะสร้างภาพสามมิติของอวัยวะภายในร่างกายออกมา
[2] เครื่องเอ็มอาร์ไอ (Magnetic Resonance Imaging) คือ เครื่องมือในการตรวจหาความผิดปกติของร่างกาย โดยใช้เครื่องสนามแม่เหล็ก และคลื่นความถี่วิทยุ สร้างภาพที่มีความละเอียดสูง