[ภาคหนึ่ง] ตอนที่ 1 ผิดคน
ภาคหนึ่ง
ตอนที่ 1 ผิดคน
ควันไฟห้องครัว ร่องนาบ้านเรือน หมู่บ้านบนเขาที่ห่างไกลเงียบสงบถูกเสียงฝีเท้าควบมาอย่างเร่งรีบของม้าทำลายความสงบเงียบลง
คนกลุ่มหนึ่งมาจากนอกหมู่บ้าน ชายวัยกลางคนที่นำขบวนมาโปรยเหรียญทองแดงไปหนึ่งกำมือ ก็สืบข่าวที่ต้องการมาได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะควบตะบึงไปยังบ้านหลังหนึ่งท้ายหมู่บ้าน ชาวบ้านที่ว่างงานไม่มีอันใดให้ทำกันก็พากันรีบไล่ตามไป เดินไปก็พูดคุยคาดเดากันไปต่างๆ นานา
“คนจากครอบครัวของเด็กสาวผู้นั้นมาตามหานางแล้วกระมัง ข้าก็บอกแล้วเด็กสาวผู้นั้นต้องเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ คาดไว้ไม่ผิด!”
“ถุย ถุย ครั้งนี้ตาเฒ่าหวังสองผัวเมียสบายแล้ว”
…
กลุ่มคนนอกที่มากลุ่มนั้นไม่สนใจชาวบ้านที่ตามมาพร้อมคำวิพากษ์วิจารณ์ รีบตรงเข้าไปเคาะประตูหน้าของบ้านหลังนั้นพร้อมบอกจุดประสงค์ที่มา
“มารบกวนแล้ว ขอถามท่านลุงหน่อย สองวันก่อนได้ช่วยเหลือเด็กสาวผู้หนึ่งไว้ใช่หรือไม่” ชายวัยกลางคนประสานมือคำนับให้ชายชราที่มาเปิดประตูด้วยสีหน้าร้อนใจไม่อาจปิดบัง
ชายชราตกใจ ท่าทางทรงอำนาจของกลุ่มชายวัยกลางคนนี้ทำให้เขาไม่กล้ารอช้าให้เสียมารยาท รีบพยักหน้าตอบ “สองวันก่อนข้าไปเก็บฟืน ได้ช่วยเด็กสาวผู้หนึ่งไว้ ท่านคือ…”
ชายวัยกลางคนถอนหายใจเล็กน้อย กวาดสายตามองไปยังลานด้านในพลางอธิบายว่า “สองวันก่อน เด็กสาวจวนเราได้ขึ้นมาเที่ยวเล่นบนเขา ประสบเหตุตกหน้าผา คนที่จวนออกตามหากันมาตลอด วันนี้ได้ยินว่ามีลุงท่านหนึ่งในหมู่บ้านนี้ได้ช่วยเด็กสาวผู้หนึ่งกลับมา จึงได้มาตามหา…”
ชายวัยกลางคนชื่อว่าต้วนเหวินไป่ เป็นนายท่านรองของจวนรองเจ้ากรม เด็กสาวที่เขาเอ่ยถึงมิใช่บุตรสาวเขา แต่เป็นหลานสาวของเขา แซ่โค่ว นามว่าชิงชิง
สองวันก่อนโค่วชิงชิงขึ้นเขามาเที่ยวเล่นกับคุณหนูทั้งสามของจวนรองเจ้ากรม ไม่คาดคิดว่าจะประสบเหตุพลัดตกหน้าผา จึงได้เกิดเรื่องในวันนี้ขึ้น
ชายชราเชิญทุกคนเข้าไปในห้องโถง ชี้ไปยังห้องทางตะวันตกซึ่งมีม่านประตูเก่าคร่ำคร่า “เด็กคนนั้นอยู่ด้านใน…”
ในบรรดาผู้ติดตามของต้วนเหวินไป่มีเด็กสาวนางหนึ่งแต่งกายอย่างสาวใช้ เมื่อได้ยินดังนี้ก็รีบพุ่งเข้าไปทันที พอเห็นสาวน้อยที่นอนอยู่บนเตียงเตา[1]ก็ถลาเข้าไปร้องเรียกพร้อมน้ำตาร่วงเผาะๆ ไม่หยุด “ฮือ ฮือ ฮือ คุณหนู ทำบ่าวตกใจแทบตาย…”
เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของสาวใช้ ต้วนเหวินไป่จึงก้าวเท้าเข้าไป พอเห็นสาวน้อยก็วางใจลงในที่สุด สีหน้าคล้ายกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งลง “ดีจริงๆ ที่ชิงชิงไม่เป็นอันใด…”
สาวน้อยที่นั่งพิงอยู่นมีเส้นผมยาวสลวยดำขลับตัดกับใบหน้าซีดขาวราวหิมะ ดวงตาสีนิลเผยระลอกคลื่นแห่งความสงสัยที่ผุดขึ้นในหัวใจ
นางไม่รู้จักสาวน้อยตรงหน้าที่เรียกตัวเองว่าบ่าว ส่วนชายวัยกลางคนที่เรียกนางว่า ‘ชิงชิง’ นางก็ไม่รู้จักเช่นกัน
นางกำลังเศร้าเสียใจกับการตายของมารดา ตอนเร่งเดินทางจึงเหม่อลอยจนพลัดตกเขาสลบไป พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็มาอยู่ที่บ้านองสามีภรรยาเฒ่าคู่นี้แล้ว สองสามีภรรยาเฒ่าจิตใจดีงาม ดูแลนางดีมาก เดิมคิดว่าพักผ่อนอีกสองวันก็จะขออำลา ไม่คิดว่าจะมีคนแปลกประหลาดกลุ่มนี้ปรากฏตัวขึ้น
พวกเขาเห็นนางเป็นสาวน้อยที่ชื่อ ‘ชิงชิง’ หากไม่ใช่มั่นใจว่าตนเองไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง นางถึงกับคิดว่าเรื่องราวอัศจรรย์เหนือธรรมชาติจำพวกอาศัยร่างผู้อื่นคืนชีพที่มารดานางมักเล่าพวกนั้นจะเป็นจริงเสียแล้ว
บ่าวหญิงเห็นสาวน้อยนิ่งเงียบ ก็เริ่มตกใจ “คุณหนู เป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ ได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือ…”
ต้วนเหวินไป่ถามด้วยสีหน้าห่วงใย
ไม่ว่าบ่าวหญิงหรือชายวัยกลางคน สีหน้าล้วนไม่เหมือนเสแสร้ง สาวน้อยลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้นว่า “พวกท่านจำคนผิดแล้ว”
“คุณหนูพูดอันใดกันเจ้าคะ” บ่าวหญิงตกใจทันที จากนั้นก็คิดอันใดขึ้นมาได้ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน “คุณหนู คุณหนูคงไม่ใช่ตกกระแทกจนสูญเสียความทรงจำเหมือนเรื่องราวในนิยายพวกนั้นใช่ไหมเจ้าคะ”
ราชวงศ์ต้าซย่าอยู่เย็นเป็นสุขมาช้านาน เมืองหลวงก็เช่นกัน ตั้งแต่ขุนนางชนชั้นสูงระดับบนลงไปจนถึงชาวบ้านระดับล่าง ในบรรดาความบันเทิงที่ใช้เสพยามว่างก็มีนิยายอ่านเล่นรวมอยู่ด้วย สองปีมานี้ผู้คนล้วนหมกมุ่นอ่านกันมากยิ่งขึ้น
“ข้าไม่ใช่คุณหนูของพวกเจ้า” ในใจสาวน้อยรู้สึกสงสัยแทบไม่อยากเชื่อ แต่น้ำเสียงกลับนิ่งสงบ
ต้วนเหวินไป่มองประเมินสาวน้อยอย่างถี่ถ้วน แน่ใจว่าเป็นหลานสาวตนอย่างแน่นอน ไม่ว่าสมองของนางจะกระทบกระเทือนจนเกิดปัญหาจริง หรือว่าเล่นแง่อันใด ล้วนไม่ควรอยู่ที่หมู่บ้านนี้นานนัก เขาถอนหายใจเอ่ยเตือนว่า “ชิงชิง ตามอากลับจวนเถิด ให้หมอตรวจดูก่อนค่อยว่ากัน สองวันนี้ท่านยายคิดถึงเจ้าจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ”
สาวน้อยส่ายหน้า “พวกท่านจำคนผิดแล้วจริงๆ…”
“เช่นนั้นเจ้าคือใคร” ต้วนเหวินไป่ตัดบทซินโย่ว
“ข้าคือ…” สาวน้อยชะงักไป
ภาพศพเกลื่อนพื้นยังคงติดตา ทำให้นางอดหลับตาลงไม่ได้ พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาทั้งสองก็ลุ่มลึกลงจนแสงสว่างไม่อาจสาดส่องถึง
นางคือซินโย่วที่มายังเมืองหลวงเพื่อตามหาฆาตกรที่สังหารมารดานาง แต่กลับไม่อาจเอ่ยออกไปได้
“ชิงชิง ศีรษะกระแทกจนความทรงจำสับสนชั่วขณะไม่ใช่เรื่องแปลก เจ้าอย่าได้รู้สึกลำบากใจ”
ต้วนเหวินไป่กวาดตามองพลางเอ่ยน้ำเสียงเข้มว่า “ยังไม่รีบประคองคุณหนูลุกขึ้นอีก”
บ่าวหญิงสูงวัยรูปร่างกำยำแข็งแรงผู้หนึ่งก้าวเข้ามาแบกซินโย่วขึ้นด้วยการช่วยประคองของสาวใช้
ร่างกายซินโย่วยังไม่ฟื้นคืนดี ได้แต่หลุบตาลงเล็กน้อยยอมรับความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้นี้
ต้วนเหวินไป่หยิบก้อนเงินหยวนเป่า[2]สองก้อนออกมาจากถุงเงิน เพื่อขอบคุณสองสามีภรรยาเฒ่า
ชายชรารีบปฏิเสธทันที “มิได้ รับมิได้…”
หญิงชราที่เงียบมาตลอดก็โบกมือปฏิเสธเช่นกัน
“หากท่านลุงไม่รับ กลับจะแสดงว่าพวกเราไม่รู้จักบุญคุณ” ต้วนเหวินไป่ยัดก้อนเงินหยวนเป่าใส่มือ ชายชรา ก่อนจะก้าวออกไป
ลานด้านนอกมีคนในหมู่บ้านมามุงดูกันอยู่ไม่น้อย สายตามองไปยังร่างซินโย่วที่ถูกแบกไว้บนหลัง
“ก็ไม่รู้ตาเฒ่าหวังช่วยคุณหนูตระกูลใดไว้”
“ตาเฒ่าหวังโชคดีจริง”
ความคิดของชาวบ้านไม่ซับซ้อน ตาเฒ่าหวังช่วยคุณหนูตระกูลร่ำรวยไว้ คนในครอบครัวคุณหนูก็ย่อมมอบค่าตอบแทนเพื่อแสดงความขอบคุณที่มากเพียงพอจะทำให้ตาเฒ่าหวังมีเงินมีทองขึ้นมา
คำวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ นี้เข้าหูซินโย่ว นางหันไปมอง
“ท่านปู่หวัง ท่านย่าหวัง รอให้ข้ารักษาตัวหายดีแล้วจะกลับมาเยี่ยมพวกท่านนะ”
ท่านแม่นางบอกว่าไม่ควรมีจิตคิดทำร้ายผู้อื่น แต่จิตป้องกันผู้อื่นก็ไม่อาจขาดตก หากเพราะนางทำให้สองผู้เฒ่าจิตใจดีถูกคนชั่วอิจฉาตาร้อน ก็เป็นความผิดของนางแล้ว
สองสามีภรรยาเฒ่ารีบเอ่ยว่า “คุณหนู กลับบ้านอย่างวางใจเถิด”
รถม้าจอดรออยู่ปากทางเข้าหมู่บ้าน พอซินโย่วถูกประคองขึ้นรถ รถม้าก็ค่อยๆ เคลื่อนห่างจากหมู่บ้านออกไปเรื่อยๆ
สองข้างทางภูเขาสูงเขียวขจี ทิวทัศน์บุปผางามค่อยๆ กลายเป็นร้านค้าเรียงราย ผู้คนไปมาขวักไขว่ อาศัยความที่บ่าวหญิงมั่นใจว่าคุณหนูตนสูญเสียความทรงจำ เมื่อรถม้าจอดสนิท ซินโย่วจึงพอรู้สภาพการณ์ทั่วไปของชิงชิง
คุณหนูท่านนี้นามว่าโค่วชิงชิง เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของบิดาผู้เป็นเจ้าเมืองตำแหน่งจือฝู่ เมื่อสี่ปีก่อนบิดาตายจากไปกะทันหันระหว่างเดินทางย้ายไปดำรงตำแหน่ง มารดาที่เดิมล้มป่วยอยู่ได้ยินข่าวร้ายก็อาการทรุดลง พยายามฝืนเค้นแรงเฮือกสุดท้ายจัดการให้คนส่งบุตรสาววัยสิบสองปีมายังเมืองหลวงอันเป็นบ้านเดิมของนางก่อนจะจากไป บุตรสาวที่รักของเจ้าเมืองจึงได้กลายเป็นคุณหนูนอก[3]ของจวนรองเจ้ากรม มาได้เกือบสี่ปีแล้ว
สาวใช้ชื่อว่าเสี่ยวเหลียน เป็นสาวใช้ที่โค่วชิงชิงพามาจากบ้าน ต้วนเหวินไป่ที่นำคนออกตามหาหลานสาวเป็นบุตรชายของอนุกับท่านตาโค่วชิงชิง ตอนนี้ผู้ที่ปกครองจวนรองเจ้ากรมก็คือต้วนเหวินซงท่านลุงใหญ่ของนาง ตำแหน่งรองเจ้ากรมพระราชยานหลวง[4]
“ทำเอายายเป็นห่วงแทบแย่ ชิงชิงของยาย…” ซินโย่วเดินเข้ามาในห้อง ยังไม่ทันได้มองทุกคนในห้องก็ถูกหญิงชราแต่งกายหรูหราภูมิฐานโอบกอดเอาไว้
กลิ่นไม่คุ้นเคย กลิ่นอายคนแปลกหน้า
ซินโย่วขยับตัวอย่างอึดอัด ในที่สุดนายหญิงผู้เฒ่าก็ปล่อยนาง
“ชิงชิง เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
ผู้ที่เอ่ยถามก็คือหญิงอายุไม่ถึงสี่สิบผู้หนึ่ง สวมเสื้อคลุมยาวตัวนอกลายดอกสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้าเผยรอยยิ้มห่วงใย ซินโย่วเดาว่าผู้นี้ก็คือเฉียวซื่อ[5]ป้าใหญ่ของโค่วชิงชิง
หญิงอีกคนดูแล้วอายุน้อยกว่าเฉียวซื่อเล็กน้อย สบตากับซินโย่วก็พยักหน้าแสดงการปลอบใจ ผู้นี้น่าจะเป็นจูซื่อป้ารองของโค่วชิงชิง
ห่างออกไปอีกหน่อยก็มีสาวน้อยสี่คน ไม่ทันที่ซินโย่วจะมองประเมิน นายหญิงผู้เฒ่าก็เอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวเหลียน ประคองคุณหนูกลับห้องไปก่อน ท่านหมอจะได้ไปตรวจตอนนี้เลย”
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวเหลียนย่อตัวลงรับคำ ก่อนจะเข้ามาประคองซินโย่ว
สายตาซินโย่วมองไปที่ใบหน้าของเสี่ยวเหลียน พลันต้องยกมือปิดตา
ก่อนหน้านี้ไม่มีอันใดผิดปกติ แต่เมื่อครู่นางได้เห็นมือคู่หนึ่งคว้าหมอนใบนุ่มกดลงไปบนศีรษะของหญิงผู้หนึ่งเต็มแรง พอหญิงผู้นั้นหยุดดิ้นรน หมอนก็ถูกยกออก เผยให้เห็นใบหน้าหนึ่ง
นั่นก็คือ…ใบหน้าของเสี่ยวเหลียน
[1] 炕 (คั่ง) เตียงเตา หมายถึงเตียงอุ่นที่ก่อด้วยอิฐ ด้านล่างเป็นเตาสำหรับจุดให้ความร้อน ส่วนด้านบนจะปูทับด้วยฟูก พบมากในบ้านเรือนของชาวจีนทางเหนือซึ่งมีอากาศหนาวเย็น
[2] ก้อนเงินลักษณะกระดกปลายสองข้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวน หมิงและชิง เป็นโลหะแร่เงินและทอง
[3] บ่าวรับใช้ในสมัยโบราณจะเรียนน้องสาวหรือพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของเจ้านายน้อยในตระกูลว่า คุณหนูเปี่ยว คำว่าเปี่ยว แปลว่า นอก หมายถึงคุณหนูที่เป็นญาติลูกพี่ลูกน้องของเจ้านาย เป็นการแบ่งลักษณะเดียวกันระหว่างหลานในกับหลานนอกที่คุ้นเคยกันในสังคมชาวไทยเชื้อสายจีน
[4] รองเจ้ากรมพระราชยานหลวง ตำแหน่งขุนนางขั้นสาม
[5] หญิงที่แต่งงานแล้ว จะเรียกขานด้วยแซ่เดิม เติมท้ายด้วยคำว่า ซื่อ แปลว่าตระกูล