ตอนที่ 10 นิยาย
ต้วนอวิ๋นหลิงสะดุ้ง ผงะถอยด้วยสัญชาตญาณ “พี่ใหญ่ พี่ทำข้าตกใจหมด”
สายตาซินโย่วเคลื่อนจากร่างเกร็งของต้วนอวิ๋นหลิงไปยังสายตาอยากรู้อยากเห็นของต้วนอวิ๋นหว่าน เอ่ยด้วยสีหน้าเป็นปกติว่า “น้องหลิงอยากไปกับพวกเราด้วย ข้าบอกว่าครั้งนี้ไว้ก่อน วันหน้าค่อยออกไปเที่ยวเล่นกันอีก”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง น้องสาม น้องชิงมีธุระ เจ้าอย่าไปวุ่นวาย วันหน้าพวกเราค่อยนัดกันออกไปข้างนอกใหม่” ต้วนอวิ๋นหว่านดึงมือต้วนอวิ๋นหลิง “กลับห้องกันเถอะ”
ต้วนอวิ๋นหลิงชักมือออก เอ่ยเสียงเข้มเล็กน้อย “ทราบแล้ว” กล่าวจบก็ไม่รอทั้งสองคน รีบก้าวขึ้นหน้าไปก่อน
“น้องชิงอย่าเก็บไปใส่ใจ นิสัยน้องสามยังเหมือนเด็กน้อย” ต้วนอวิ๋นหว่านช่วยพูด ก่อนจะรีบไล่ตามไป
ก่อนหน้านี้ซินโย่วได้รู้จากคำบอกขอเสี่ยวเหลียนว่าต้วนอวิ๋นหว่านพักอยู่เรือนเดียวกับต้วนอวิ๋นหลิง ยามนี้เห็นสองพี่น้องเดินไปด้วยกันก็เริ่มคิดบางอย่าง
“คุณหนู…” เห็นซินโย่วยืนนิ่ง เสี่ยวเหลียนก็กระซิบเรียกเบาๆ
ซินโย่วเดินตรงไปด้านหน้าเอ่ยว่า “เสี่ยวเหลียน ความสัมพันธ์คุณหนูใหญ่กับคุณหนูสามเป็นอย่างไรบ้าง”
“ดีมาก” เสี่ยวเหลียนตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด
“ดีมากหรือ” ซินโย่วพึมพำ มองตามไป แผ่นหลังสองพี่น้องหายลับไปที่หัวมุม
หลายวันนี้จิตใจเสี่ยวเหลียนเคร่งเครียดมาตลอด พอมาได้ยินซินโย่วเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยน “คุณหนูรู้สึกว่าระหว่างคุณหนูใหญ่กับคุณหนูสามมีปัญหาขัดแย้งกันหรือ”
ซินโย่วส่ายหน้าเล็กน้อย “ก็ไม่แน่ว่าเป็นความขัดแย้ง ดูไปก่อนก็แล้วกัน”
สองพี่น้องในสายตาคนอื่นมีความสัมพันธ์ดีมาก นางกลับรู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาของต้วนอวิ๋นหลิงเหมือนหลบเลี่ยงต้วนอวิ๋นหว่าน
บางทีสองพี่น้องคู่นี้อาจเป็นช่องทางที่จะทำให้นางค้นพบความจริง
ในใจซินโย่วมีความคิดนี้แวบขึ้นมา ตัดสินใจรอไว้กลับมาจากการไปข้างนอกครั้งนี้แล้วต้องมาสืบความดูสักหน่อย
วันรุ่งขึ้นฟ้าเป็นใจ อากาศดีแสงแดดสดใส
ฟางหมัวมัวเดินนำหน้ารถม้ามาตลอด
“คุณหนูให้บ่าวไปกับคุณหนูเถอะนะ”
“แม่นมเพิ่งกลับมา พักผ่อนในเรือนหว่านฉิงให้ดีๆ ดีกว่า มีเสี่ยวเหลียนกับผู้คุ้มกันก็พอแล้ว”
ฟางหมัวมัวฟังออกว่าซินโย่วกำลังเน้นคำว่า ‘เพิ่งกลับมา’ ก็สะอึก
นางถูกขับออกไปได้ครั้งหนึ่ง ก็อาจถูกขับออกไปได้อีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้อย่างไรก็ควรทำตัวสงบเสงี่ยมไว้สักหน่อยดีกว่า
เป็นเพราะนางคิดมากไป หรือเพราะคุณหนูหมายความเช่นนี้กัน
ฟางหมัวมัวมองดูดวงตาใสกระจ่างราวหยกนิลคู่นั้นแล้วก็ไม่ดึงดันต่อ “เช่นนั้นคุณหนูรีบกลับมานะเจ้าคะ”
หลังจากฟังคำกำชับจากฟางหมัวมัวจบ ซินโย่วก็พาเสี่ยวเหลียนกับผู้คุ้มกันสองคนนั่งรถม้าไปยังหมู่บ้านบนเขา
แผนงานในวันหนึ่งเริ่มจากเช้าตรู่ ชาวบ้านกำลังยุ่งกับการทำงาน พอเห็นรถม้าที่แล่นมาก็หยุดงานในมือมองดูอย่างอยากรู้อยากเห็น
“แขกตระกูลใดกัน”
คนทั่วไปมีโอกาสได้นั่งรถลาลากก็สุดยอดแล้ว ไหนเลยจะมีโอกาสได้นั่งรถเทียมม้า และด้วยเหตุนี้ ไม่นานก็มีคนนึกขึ้นมาได้ว่า “หลายวันก่อนตาเฒ่าหวังได้ช่วยหญิงสาวตระกูลร่ำรวยไว้คนหนึ่งไม่ใช่หรือ คงไม่ใช่ตระกูลนั้นกระมัง”
“ต้องใช่แน่เลย นี่คือรถม้าในวันนั้น”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นพร้อมกับรถม้าที่จอดลงหน้าประตูทางเข้าหมู่บ้าน เสี่ยวเหลียนลงจากรถม้าก่อนประคองซินโย่วลงมา
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านยิ่งดังขึ้นอีก “คุณหนูท่านนั้นจริงด้วย!”
มีคนใจร้อนวิ่งนำไปบอกตาเฒ่าหวังสองสามีภรรยาก่อนแล้ว
ตาเฒ่าหวังสองสามีภรรยากำลังทำงานอยู่ในท้องนา พอได้ยินข่าวก็รีบกลับบ้าน เชิญพวกซินโย่วที่รออยู่ด้านนอกเข้าไปนั่งในบ้าน
ซินโย่วพาเสี่ยวเหลียนเข้าไป สองผู้คุ้มกันรออยู่ในลานด้านนอก
หญิงชราสีหน้าเกรงใจ “คุณหนูควรพักผ่อนให้ดีๆ มานึกถึงพวกเราตาแก่ยายแก่ทำไมกัน ยังนำของมามากมายเช่นนี้อีก”
“ท่านย่าหวังอย่าได้กล่าวเช่นนี้ อย่าว่าแต่เพียงแค่ของกินของใช้พวกนี้ ของมากกว่านี้ก็ไม่อาจตอบแทนบุญคุณที่ท่านทั้งสองได้ช่วยชีวิตข้าไว้ได้”
ซินโย่วเอ่ยจริงใจ ด้วยอายุของสองสามีภรรยาเฒ่าย่อมมองออกว่ามาจากใจจริง สองคนก็ยิ่งรู้สึกอบอุ่นในใจ วาจาเกรงใจตามมารยาทลดลงไม่น้อย
“ท่านปู่หวัง ท่านยังจำได้ไหมว่าตอนนั้นพบข้าที่ใด”
“จำได้ ที่เชิงเขาไม่ไกลจากทางขึ้นเขาเท่าไร ที่นั่นมีต้นทับทิมภูเขาออกดอกสีแดงสีเหลืองงามอร่ามมาก…”
ได้ยินตาเฒ่าหวังบรรยายละเอียด ซินโย่วแน่ใจได้ว่า เชิงเขาที่นางลื่นลงมาแล้วสลบไปก็คือสถานที่ที่ไกลจากที่โค่วชิงชิงตกหน้าผาอยู่มาก
ซินโย่วขอบคุณอีกคราก่อนจะขอตัวกลับ
“คุณหนูกินอาหารเสร็จค่อยไปเถิด” หญิงชราเชื้อเชิญให้อยู่รับประทานอาหารอย่างมีน้ำใจ
ซินโย่วปฏิเสธอ้อมๆ “ผู้ใหญ่ที่บ้านกำชับว่าให้กลับเร็วหน่อยเจ้าค่ะ”
หญิงชราได้ยินดังนี้ก็ไม่รั้งไว้อีก
ซินโย่วเอ่ยอีกว่า “ข้าพักอยู่ที่จวนรองเจ้ากรมต้วนที่เป็นบ้านญาติชั่วคราว ท่านปู่หวัง ท่านย่าหวัง วันหน้าหากมีเวลาก็ไปหาข้าได้ทุกเมื่อ”
“ได้ ได้” หญิงชรารับคำติดๆ กัน
ส่งซินโย่วออกนอกประตูไปแล้ว หญิงชราก็พลันนึกอะไรขึ้นได้ “คุณหนู รอสักครู่”
หญิงชราก้าวเข้าไปในห้องที่ซินโย่วเคยพัก ก่อนจะกลับออกมาอย่างรวดเร็ว ส่งของสิ่งหนึ่งให้นาง “คุณหนูลืมไว้”
เป็นห่อผ้าเก่าสีซีดห่อหนึ่ง ซินโย่วพอคาดเดาได้ว่าคืออะไร พอเปิดออกดู ก็พบหนังสือเล่มหนึ่งดังคาด
เป็นนิยายที่นางนำมาจากบ้านที่ถูกพังทำลาย ตอนที่นางถูกคนตระกูลต้วนบังคับนำตัวกลับไป สองสามีภรรยาผู้อารีได้ช่วยเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี
แม้ว่าทุกอักษรในนิยายนางจดจำได้แล้ว ต่อให้ทำหายไปก็ไม่ส่งผลต่อเรื่องที่จะต้องทำ แต่เมื่อได้กลับคืนมา นางก็ยังคงรู้สึกดีใจ
เสี่ยวเหลียนข้างๆ จ้องมองนิยายในมือซินโย่วอย่างอยากรู้อยากเห็น อ่านหน้าปกเขียนว่า “บันทึกดอกโบตั๋น” ตัวโตก็พลันรู้สึกสนใจขึ้นมา เพียงแต่คราบสกปรกสีน้ำตาลเป็นดวงๆ หลายจุด ทำให้นางพลันคิดเชื่อมโยงได้ถึงบางสิ่ง จึงกลืนคำพูดที่คิดเอ่ยลงไปทันที
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ซินโย่วเก็บนิยายเรียบร้อย
สองสามีภรรยาเฒ่าออกมาส่งนางออกจากหมู่บ้าน
รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน ล้อรถส่งเสียงดัง เห็นได้ชัดว่าในรถม้าเงียบมาก
“คุณหนู ท่านชอบอ่านนิยายมากหรือเจ้าคะ” เสี่ยวเหลียนสังเกตเห็นซินโย่วอารมณ์ไม่ดีนัก คิดจะทำลายความเงียบ
ซินโย่วอดกระดกมุมปากไม่ได้ เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าชอบฟัง”
ท่านแม่เล่าเรื่องเก่งมาก เย็นเยียบแต่งดงาม อัศจรรย์แลน่ากลัว หยอกเย้าขบขัน…คล้ายว่ามีนิยายมากมายซ่อนอยู่ในสมองของนางมากเสียจนเล่าได้ไม่มีวันจบ
ซินโย่วสงบสติอารมณ์ลงแล้วก็ตะโกนบอกสารถี “ไปเขาเชียนอิง”
เขาเชียนอิงก็คือเขาที่โค่วชิงชิงไปเที่ยวเล่น ทุกฤดูใบไม้ผลิดอกซานอิงจะบานสะพรั่ง งดงามอย่างมาก ยามนี้แม้ว่าเลยเวลาบุปผาบานไปแล้ว แต่ก็ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของผู้คนอยู่
สารถีสีหน้าประหลาดใจ “คุณหนูนอกจะไปเขาเชียนอิงหรือ”
ผู้คุ้มกันสองคนที่ตามมาก็พากันสบตากัน
ไม่นานมานี้คุณหนูนอกเพิ่งพลัดตกเขาเชียนอิง วันนี้ก็อยากไปเที่ยวอีก ช่างใจแข็งจริง
“วันนั้นทำหยกประดับตกชิ้นหนึ่ง น่าจะตกอยู่ที่นั่น กว่าจะได้ออกมาวันนี้ แวะไปหาดูกันสักหน่อย” ซินโย่วอธิบายน้ำเสียงอ่อนโยน
“คือว่า…” สารถีมีสีหน้าลำบากใจ
เสี่ยวเหลียนรีบยัดก้อนเงินชิ้นเล็กใส่มือสารถี “หยกชิ้นนั้นแม้ไม่มีราคามากมายสักเท่าไร แต่เป็นของที่นายหญิงทิ้งไว้ให้คุณหนู หากทำหายไปเช่นนี้ คุณหนูจะเสียใจมาก”
สารถีถูก้อนเงินในมือ สบตากับสองผู้คุ้มกัน
เสี่ยวเหลียนยังยัดเงินใส่มือสองผู้คุ้มกันอีกด้วย ยิ้มละไมเอ่ยว่า “รบกวนเวลาทั้งสามท่านแล้ว”
สามคนได้ผลประโยชน์ก็ย่อมไม่รอช้าอีก รถม้าเลี้ยวไปทางเขาเชียนอิง พอถึงเชิงเขาก็จอดรถให้สารถีเฝ้าไว้ พวกซินโย่วสี่คนขึ้นเขา