ตอนที่ 30 บันทึกการเดินทาง
“ข้าสบายดี” สายตาซินโย่วเปิดเผย สบสายตาลุ่มลึกคู่นั้น เอ่ยว่า “ไม่คิดว่าจะได้พบกับท่านผู้กล้าอีกครั้ง ท่านผู้กล้าบอกชื่อแซ่ได้หรือไม่เจ้าคะ”
เฮ่อชิงเซียวเห็นสายตาจ้องมองของผู้ดูแลร้านหูกับคนงาน คำปฏิเสธก็ถูกกลืนลงไป เอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าแซ่เฮ่อ”
“ใต้เท้าเฮ่อ”
เฮ่อชิงเซียวเลิกคิ้วเล็กน้อย
ซินโย่วอธิบาย “เมื่อครู่ได้ยินคนงานเรียกท่านว่าใต้เท้าเจ้าค่ะ”
มองสาวน้อยท่าทางเปิดเผยเช่นนี้ เฮ่อชิงเซียวพลันรู้สึกว่าปิดบังสถานะต่อไปก็มิใช่สาระอันใด
“ข้าอยู่กองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน ดำรงตำแหน่งเจิ้นฝูสื่อ วันนั้นให้ความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย คุณหนูโค่วไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ”
“ความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยของใต้เท้าเฮ่อ แต่เป็นบุญคุณที่ได้ช่วยชีวิตข้าไว้เจ้าค่ะ”
“คุณหนูโค่วได้เอ่ยเตือนในวันนั้น ถือว่าได้ตอบแทนแล้ว” เฮ่อชิงเซียวคิดถึงกระถางดอกไม้ที่ร่วงลงมาตอนนั้น สายตาที่มองซินโย่วก็วูบไหวเล็กน้อย
เดิมเขาเคยสงสัยว่าสาวน้อยตรงหน้าตั้งใจคิดเข้าใกล้เขาจึงได้สร้างสถานการณ์เช่นนั้นขึ้นมา แต่พอได้ยินเรื่องจวนรองเจ้ากรมก็ลบความสงสัยนี้ทิ้ง
คุณหนูที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้รักษาตนเองให้รอดปลอดภัยก็ต้องทุ่มเทกำลังเต็มที่ การคิดเข้าใกล้คนเช่นเขา หนึ่ง ไม่มีแรงกำลังพอ สอง ไม่จำเป็น
เพียงแต่เขายังไม่เข้าใจว่าสาวน้อยที่มาอาศัยจวนผู้อื่นพำนักจะเชี่ยวชาญวิชานรลักษณ์ได้อย่างไร
เฮ่อชิงเซียวลังเลเล็กน้อย ยังคงเอ่ยว่า “หากคุณหนูโค่วพบปัญหายุ่งยากใด ถ้าอยู่ในความสามารถที่ข้าพอช่วยได้ ก็มาพบข้าได้”
ยามนี้สายตาซินโย่วแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
นางไม่อาจปิดบังแววตาไม่เข้าใจ แต่พอได้สบตากระจ่างใสของอีกฝ่ายก็พลันเข้าใจในทันที
เฮ่อชิงเซียวปฏิบัติต่อนางก็เหมือนกับเด็กหนุ่มที่มาขอเงินล่วงหน้าเพื่อรักษามารดา เป็นเพียงความสงสารคนที่ตกอยู่สภาวะยากลำบากอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มีความคิดอื่นใด
ซินโย่วย่อกายลงอีกครั้ง “ข้าขอขอบคุณใต้เท้าเฮ่อล่วงหน้าเจ้าค่ะ”
เฮ่อชิงเซียวพยักหน้า สายตามองไปยังโต๊ะเก็บเงิน
ซินโย่วมองตามไป แอบงุนงงในใจ
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ใต้เท้าเฮ่อท่านนี้คล้ายว่าเอาแต่จ้องมองบันทึกการเดินทางที่นางจะซื้อ
“ไม่รบกวนใต้เท้าเฮ่อแล้ว” ซินโย่วหยิบบันทึกการเดินทางขึ้นมา “ผู้ดูแลหู คิดเงินได้”
“คุณหนูแน่ใจว่าจะซื้อเล่มนี้หรือ” ผู้ดูแลร้านหูปากถามซินโย่ว แต่สายตาเหลือบมองเฮ่อชิงเซียว
เฮ่อชิงเซียวรีบก้าวไปมุมด้านในสุดของชั้นหนังสือ
“ผู้ดูแลหู?”
“อ้อ!” ผู้ดูแลร้านหูหันไปมองแผ่นหลังนั้น ก่อนจะรีบหันกลับมาชูสามนิ้ว “บันทึกการเดินทางเล่มนี้ราคาสูงอยู่สักหน่อย ต้องการสามตำลึง”
สามตำลึง ไม่ถูกจริงๆ
เสี่ยวเหลียนอดเอ่ยไม่ได้ “นิยายหนึ่งเล่มก็แค่ไม่กี่ร้อยอีแปะ!”
ปฏิกิริยาสาวใช้ ผู้ดูแลร้านหูไม่ได้รู้สึกแปลกใจ ยิ้มอธิบายว่า “เทียบกันไม่ได้ นิยายพิมพ์ขายจำนวนมาก ต้นทุนต่ำ ราคาขายก็ย่อมถูก บันทึกการเดินทางเล่มนี้มีเพียงเล่มเดียวในร้าน สำหรับคนที่ชอบ แพงเพียงใดก็คุ้มค่า”
ซินโย่วพยักหน้าเล็กน้อย เสี่ยวเหลียนไม่เอ่ยอันใดอีก ควักเศษก้อนเงินวางไว้บนโต๊ะเก็บเงิน
คนงานรีบห่อบันทึกการเดินทางเรียบร้อยมอบให้เสี่ยวเหลียน
“ข้าถือเอง” ซินโย่วรับหนังสือมาไว้เอง เอ่ยอำลากับผู้ดูแลร้านหูแล้วก็เดินออกไป
คนงานเห็นสองนายบ่าวเดินออกจากร้านหนังสือ ก็กระซิบถามผู้ดูแลร้านหู “ผู้ดูแลหู เหตุใดไม่เอ่ยเตือนคุณหนูท่านนั้นสักคำ…”
เขาพูดไปก็แอบบุ้ยใบ้ไปทางด้านใน
ผู้ดูแลร้านหูกับคนงานล้วนรู้ว่าทุกครั้งที่ใต้เท้าเฮ่อมาร้านหนังสือ ก็จะมาอ่านบันทึกการเดินทางเล่มนั้น
“อย่าปากมาก” ผู้ดูแลร้านหูถลึงตาเตือนคนงาน
หากเป็นลูกค้าอื่น เขาย่อมแอบเอ่ยเตือนสักคำ จะได้ไม่ล่วงเกินเจิ้นฝูสื่อกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินท่านนี้อย่างไม่ตั้งใจ แต่เขาเพิ่งเห็นว่าคุณหนูท่านนี้จะซื้อบันทึกการเดินทาง ใต้เท้าเฮ่อก็มิได้เอ่ยอันใด จึงไม่คิดปากมากในเรื่องนี้
หนังสือราคาแพงเช่นนี้ กว่าจะขายออกได้มิใช่เรื่องง่าย!
กลับไม่รู้ว่ายามนี้เฮ่อชิงเซียวที่ยืนอยู่ข้างชั้นหนังสือเปิดหนังสือเล่มหนึ่งอ่านอยู่ กลับไม่ได้มีท่าทางนิ่งสงบดังที่แสดงออก
หนังสือตรงหน้ายิ่งอ่านก็ยิ่งเบื่อ ในใจเขามีเพียงหนังสือเล่มนั้น เขายังอ่านไม่จบ…
นอกร้านหนังสือชิงซง คนไม่น้อยลงแม้แต่น้อย เสี่ยวเหลียนเขย่งเท้าชะเง้อมอง ถามซินโย่วว่า “คุณหนูจะให้บ่าวไปซื้อหนังสือกลับมาสักเล่มไหมเจ้าคะ”
‘บันทึกโบตั๋น’ ที่คุณหนูมีเล่มนั้นก็เป็นฝีมือการเขียนของท่านผิงอัน เพียงแต่ไม่รู้เหตุใด หน้าปกคล้ายมีคราบโลหิต
เสี่ยวเหลียนเดาว่าธุระที่ทำให้ซินโย่วเข้าเมืองหลวงมาไม่ธรรมดา แต่กลับไม่ถามอันใด
คุณหนูช่วยคุณหนูของนางแก้แค้นแล้ว ยังยินดีรับนางไว้ ไม่ว่าวันหน้าจะเกิดเรื่องอันใด นางก็จะร่วมเผชิญไปพร้อมกับคุณหนู
“คนมากเกินไป แล้วไปเถอะ กลับกันก่อนดีกว่า”
ระหว่างทางกลับ ซินโย่วเปิดบันทึกการเดินทางที่เพิ่งซื้อมาอ่าน ค้นพบอย่างน่าประหลาดใจว่าสนุกอยู่ไม่น้อย ค่อยๆ อ่านก็เริ่มติดจนวางไม่ลง กระทั่งเสี่ยวเหลียนเอ่ยเตือนจึงได้สติว่าถึงจวนรองเจ้ากรมแล้ว
ลงจากรถม้า ซินโย่วกอดหนังสือเดินทอดน่อง เสี่ยวเหลียนเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “คุณหนูรองอยู่ทางนั้นเจ้าค่ะ”
ต้วนอวิ๋นหวาก็เห็นซินโย่ว ไม่ทันได้คิดอันใดก็รีบเดินเข้าไปหา ซินโย่วมองสาวน้อยที่มาพร้อมอารมณ์คุกรุ่น ก็หยุดยืนนิ่ง
สีหน้าไร้ความรู้สึกของนางราวกับมีประกายไฟตกลงในหม้อน้ำมัน พริบตาก็แผดเผาไหม้ ต้วนอวิ๋นหวาพยายามระงับอารมณ์เดือด “โค่วชิงชิง ข้าถามเจ้า เมื่อวานเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
แค่เพียงวันเดียว ชีวิตก็พลิกผันราวฟ้ากับเหว แม้มีพี่ใหญ่ปลอบใจ แต่ต้วนอวิ๋นหวาก็ยังไม่อาจยอมรับความจริงได้
ขณะที่ซินโย่วมองต้วนอวิ๋นหวาไปก็เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบไปว่า “ท่านยายบอกแล้วว่า ไม่ให้เอ่ยถึงเรื่องเมื่อวานอีก หากพี่หวาคิดอยากรู้เรื่องละเอียดก็ไปถามท่านยายสิ หรือไม่ก็ไปถามท่านลุง”
ต้วนอวิ๋นหวาเลิกคิ้ว “เจ้ารู้อยู่ว่าท่านย่ากับท่านพ่อจะไม่พูด!”
“อ้อ เช่นนั้นข้าก็ไม่อยากพูด” ซินโย่วสีหน้าเย็นเยียบ
“เจ้า…” ต้วนอวิ๋นหวาโมโหกัดฟันแน่น ฝืนบังคับอารมณ์วู่วามที่จะเข้าไปตบใบหน้าที่ลอยหน้าลอยตาอยู่นั่นสักฉาด “โค่วชิงชิง เจ้าอย่าได้ทำเป็นได้ใจไป!”
ซินโย่วเงียบไปครู่หนึ่งก็ย้อนถามขึ้นว่า “โค่วชิงชิงได้ใจอันใด”
คำพูดนี้คิดให้ละเอียดก็จะประหลาดอยู่บ้าง แต่คนที่ฟังออกก็มีเพียงเสี่ยวเหลียน
เสี่ยวเหลียนกัดริมฝีปาก สายตามองไปทางต้วนอวิ๋นหวาด้วยความโมโหจนอยากจะร้องไห้
กระดูกคุณหนูนางยังอยู่ในถ้ำไม่ได้พบแสงตะวัน ไม่รู้เมื่อใดจะได้นำลงฝังให้เป็นสุข คุณหนูนางจะได้ใจอันใดได้กัน
“โค่วชิงชิง ที่แท้เมื่อก่อนท่าทางว่านอนสอนง่ายของเจ้าล้วนเสแสร้งแกล้งทำ”
ซินโย่วยิ้มเล็กน้อย “ไม่เหมือนพี่หวา วางอำนาจเป็นปกติ”
“เจ้าถึงกับกล้าพูดกับข้าเช่นนี้หรือ!” ต้วนอวิ๋นหวาโมโห ยกมือขึ้นแต่ถูกสาวใช้ดึงไว้
“คุณหนูกลับห้องเถอะ หากนายหญิงผู้เฒ่ารู้เข้า…”
ไฟโทสะต้วนอวิ๋นหวาดับพรึ่บ อัดอั้นตันใจจนสีหน้าเขียวคล้ำ
“เจ้าคอยดู!” สบถวาจานี้ทิ้งไว้แล้ว ต้วนอวิ๋นหวาสะบัดแขนเสื้อจากไป
สาวใช้รีบไล่ตามไป ถูกต้วนอวิ๋นหวาที่กำลังโมโหผลักทิ้ง
“คุณหนู คุณหนูรองจะต้องมาหาเรื่องท่านอีกแน่” เสี่ยวเหลียนขมวดคิ้ว
ซินโย่วยิ้ม “กลัวก็แต่นางไม่มาหาเรื่องข้ามากกว่า”
เสี่ยวเหลียนสีหน้าสงสัย
ซินโย่วไม่ได้อธิบาย “ไปกันเถอะ ไปนั่งที่เรือนคุณหนูสามกัน”
สองสามวันมานี้ต้วนอวิ๋นหลิงราวกับฝันไป ได้ยินว่าคุณหนูนอกมา ก็รีบให้คนไปเชิญเข้ามา
คุยกันครู่หนึ่ง ซินโย่วก็เอ่ยตรงๆ “ข้าอยากขอให้น้องหลิงช่วยสักหน่อย”