ตอนที่ 41 น้องชิง
ต้วนอวิ๋นหลางมองเห็นซินโย่วก็ทั้งตกใจและตื่นเต้น “น้องชิง ซื้อร้านหนังสือชิงซงจริงหรือ”
ซินโย่วเดินไปถามไปว่า “พี่รองรู้แล้วหรือเจ้าคะ”
ต้วนอวิ๋นหลางพยักหน้า “ได้ยินสหายร่วมชั้นเรียนบอก ข้าไม่เชื่อ ก็หาโอกาสแวบออกมาดู”
เสี่ยวเหลียนข้างๆ เบิกตาโต เอ่ยว่า “คุณชายรอง ท่านโดดเรียนอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
“ผู้ใดโดดเรียน? เป็นเวลาพักผ่อนหลังจากเรียนต่างหาก” ต้วนอวิ๋นหลางกวาดตาไปด้านหลัง “น่ะ พี่ใหญ่ก็ออกมาด้วยไหมเล่า”
ซินโย่วมองไปทางต้วนอวิ๋นเฉินที่เดินตามมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ในใจรู้ดีว่าเกรงว่าท่านนี้คงมาเอาเรื่อง ไม่ได้มาเพราะอยากรู้อยากเห็นเหมือนต้วนอวิ๋นหลาง
ดังคาด พอต้วนอวิ๋นเฉินมาอยู่ตรงหน้า ก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าก็จริงจัง “น้องชิง ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้าสักหน่อย”
“พี่ใหญ่เชิญกล่าว”
“ไปคุยกันทางนั้นเถอะ” ต้วนอวิ๋นเฉินชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก
ซินโย่วมุมปากกระตุกทีหนึ่ง “ไม่มีเรื่องใดไม่อาจเปิดเผย พี่ใหญ่มีเรื่องอันใดที่ต้องคุยลับหลังพี่รองหรือเจ้าคะ”
ต้วนอวิ๋นเฉินได้ยินสีหน้าก็พลันเข้มขึ้นเล็กน้อย มองต้วนอวิ๋นหลางทีหนึ่ง เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ในเมื่อเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็ขอเอ่ยตรงนี้เลย ข้ารู้ว่าหลายวันนี้น้องชิงได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจมามาก แต่จะอย่างไร พวกเราก็ครอบครัวเดียวกัน น้องชิงไม่ควรกระทำเรื่องที่ทำให้ครอบครัวตนเองเสียผลประโยชน์ ปล่อยให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ไป”
ซินโย่วยิ้มเอ่ยว่า “พี่ใหญ่มาเอ่ยวาจาเหล่านี้กับข้าในฐานะอันใดหรือเจ้าคะ”
ต้วนอวิ๋นเฉินถูกถามเช่นนี้ก็นิ่งอึ้งไปทันที
แม้หลายวันนี้ซินโย่วกระทำเรื่องน่าตกใจไม่น้อย แต่ต้วนอวิ๋นเฉินล้วนไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ ในความคิดของเขา นางยังคงเป็นน้องชิงที่นิ่งเงียบและอ่อนแอคนเดิม
แต่ตอนนี้ไม่เห็นภาพน้องชิงที่มักเขินอายยามได้สนทนากับเขาคนเดิมอีกแล้ว กลายเป็นสาวน้อยเผยสีหน้ายิ้มเยาะ
ต้วนอวิ๋นเฉินรู้สึกตกใจและไม่คุ้นเคยกับนางเช่นนี้ พออารมณ์เหล่านี้ผ่านไปก็กลับกลายเป็นความโมโหขึ้นมาแทน
หากยามปกติน้องชิงอยู่ร่วมกับน้องสาวเขาในจวนด้วยท่าทีเช่นนี้ มิน่าน้องหวาจึงไม่พอใจ
ซินโย่วรู้สึกเพียงแค่รำคาญใจ ต่างจากต้วนอวิ๋นเฉินที่กำลังโมโห น้ำเสียงก็ยิ่งเย็นเยียบ “ตามหลักการแล้ว หากข้าทำไม่ถูกก็มีท่านยายอบรม ไม่เช่นนั้นก็เป็นท่านลุงหรือท่านป้า พี่ใหญ่เป็นแค่พี่ชายญาติผู้พี่ ว่ากันตามน้ำใจแล้ว เฉียวไท่ไททำร้ายข้าจึงถูกเขียนหนังสือหย่า พี่ใหญ่มาพูดเรื่องเหล่านี้กับข้า ข้าก็อดสงสัยไม่ได้ว่าท่านกำลังระบายอารมณ์ ตามหลักการและตามน้ำใจ พี่ใหญ่ล้วนไม่มีสถานะจะเอ่ยวาจาเหล่านี้กระมัง”
ต้วนอวิ๋นเฉินได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างให้ความรักและความสำคัญจากผู้ใหญ่ และได้รับการเคารพจากผู้น้อยมาแต่เล็ก ไหนเลยจะเคยได้ยินวาจาเสียดสีเยียบเย็นเช่นนี้ พลันสะอึกนิ่งอึ้งไปทันที
ซินโย่วก้มศีรษะให้ต้วนอวิ๋นหลางเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเข้าไปทางรถม้าที่จอดอยู่ข้างทาง
ต้วนอวิ๋นหลางมองรถม้าเคลื่อนออกไปอย่างตกใจ ก่อนจะค่อยๆ หันหน้ามองไปทางพี่ชายที่สีหน้ายามนี้เย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง พยายามเฟ้นหาเหตุผลมาปลอบใจเต็มที่ “พี่ใหญ่ ความทรงจำน้องชิงยังไม่ฟื้นคืนมาทั้งหมด ยังจำพี่ไม่ได้ พี่อย่าได้เก็บมาใส่ใจ”
ต้วนอวิ๋นเฉินไม่ได้รู้สึกเหมือนคำปลอบใจแม้แต่น้อย เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “กลับกันเถอะ”
มีรถม้าไม่สะดุดตาจอดอยู่ข้างทางคันหนึ่ง เฉียวรั่วจู๋เลิกมุมม่านรถขึ้นมองออกไป จ้องมองภาพแผ่นหลังที่ค่อยๆ ไกลออกไปอย่างไม่ละสายตา
“คุณหนูกลับกันเถอะเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยเตือนเบาๆ
เฉียวรั่วจู๋ไม่สนใจ จนกระทั่งร่างนั้นหายลับไป จึงค่อยปล่อยม่านรถม้าลง น้ำตาไหลริน
“คุณหนู…”
“เจ้าว่าคุณชายใหญ่คุยอันใดกับโค่วชิงชิง” เฉียวรั่วจู๋พึมพำถาม
“บ่าวมองดูแล้ว คุณหนูโค่วแยกจากคุณชายใหญ่ไม่ค่อยดีนัก คุณหนูวางใจได้เจ้าค่ะ”
“วางใจ? โค่วชิงชิงนั่นมาเปิดร้านหนังสือที่ข้างสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน มีแผนการอันใดกัน” เฉียวรั่วจู๋เลิกคิ้วเรียวดังใบหลิ่ว นางกัดฟันกรอด
ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าหลายวันมานี้นางผ่านมาได้อย่างไร นางรักกับพี่อวิ๋นเฉิน ท่านอาก็พึงพอใจนาง ผู้ใดจะรู้ว่าท่านอาพลันมาถูกเขียนหนังสือหย่า ตระกูลเฉียวและต้วนสองตระกูลอย่าได้เอ่ยว่าจะเชื่อมไมตรีกันอีก แม้แต่ไปมาหาสู่ก็ยังกระอักกระอ่วนใจ
นางรู้ว่านางกับพี่อวิ๋นเฉินเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่จะให้นางตัดใจจากพี่อวิ๋นเฉินไปก็ราวกับคมมีดกรีดใจ อยู่ไม่สู้ตาย
ล้วนเพราะโค่วชิงชิงคนเดียว โค่วชิงชิงยังมาซื้อร้านหนังสือละแวกสถานที่ที่พี่อวิ๋นเฉินเรียนหนังสือ
สาวใช้เห็นนางเช่นนี้ก็เตือนว่า “เฉียวไท่ไทถูกเขียนหนังสือหย่าเพราะคุณหนูโค่ว คุณหนูโค่วจะดึงดันอย่างไร คุณชายใหญ่ก็คงไม่อาจชอบนางได้เจ้าค่ะ”
เฉียวรั่วจู๋แค่นหัวเราะ “พี่อวิ๋นเฉินไม่ชอบแล้วอย่างไร คนตัดสินใจแท้จริงก็ยังคงเป็นนายหญิงผู้เฒ่าจวนรองเจ้ากรมท่านนั้น!”
การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ เดิมก็ต้องเชื่อฟังคำบิดามารดา การเจรจาของแม่สื่อ หากสองคนรักกันก็แต่งงานเป็นสามีภรรยากันได้ นางกับพี่อวิ๋นเฉินไยต้องรอถึงวันนี้
น่าเศร้าที่เมื่อก่อนนางเอาใจท่านอาให้เบิกบานได้แล้ว แต่บัดนี้ความหวังพังทลายสิ้น
เฉียวรั่วจู๋คิดแล้วก็เข้าใจ ทั้งอัดอั้น ทั้งสิ้นหวังและโมโห พิงตัวแนบข้างรถม้าร่ำไห้ไร้สำเนียง
ซินโย่วไม่รู้ว่ามีคุณหนูผู้หนึ่งจ้องมองภาพนางสนทนากับต้วนอวิ๋นเฉิน กลับถึงจวนรองเจ้ากรมได้พบนายหญิงผู้เฒ่าจึงเอ่ยว่าพรุ่งนี้จะย้ายไปพักอาศัยที่ร้านหนังสือแล้ว
เดิมนายหญิงผู้เฒ่าไม่มีทางยอมทนดูสาวน้อยเป็นสาวเป็นนางออกไปอยู่ข้างนอก แต่หลายวันนี้มีเรื่องกันมาก็รู้สึกเหนื่อยมากแล้ว รู้สึกว่าหากไม่ส่งสาวน้อยผู้นี้ออกไป ก็คงจะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาอีก
เอาเถอะ รอให้หลานสาวนางทนทุกข์ทรมานกับการอยู่ข้างนอก เข้าใจความสำคัญของชื่อเสียงผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว ก็คงเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังคำนางเอง ถึงตอนนั้นนางกลับมาก็จะรู้ว่าเครือญาติคือคนที่ยอมรับนางได้มากที่สุด
นายหญิงผู้เฒ่าคิดอยากให้หลานสาวได้ลิ้มลองความลำบากเสียบ้าง ตักเตือนสองสามคำแล้วก็พยักหน้ารับปาก “เช่นนั้นก็ไม่ควรเอาแต่อยู่นอกบ้าน วันเทศกาล วันที่หนึ่ง วันที่สิบ วันที่ยี่สิบ สามวันนี้ก็ต้องกลับมา อย่าได้ห่างเหินจากครอบครัว”
ซินโย่วรับคำอย่างเชื่อฟัง “ข้าย่อมต้องกลับมาคำนับท่านยายบ่อยๆ เจ้าค่ะ”
รับปากเสี่ยวเหลียนว่าจะนำสมบัติคุณหนูโค่วเหล่านั้นกลับคืนมา หากยังทำไม่สำเร็จ ก็ไม่อาจตัดขาดจากทางนี้ในทันที
ไม่ต้องจมปลักอยู่กับกองโคลนสกปรกในจวนรองเจ้ากรมนี้ เดือนหนึ่งกลับมาสองสามครั้งมาทำความเข้าใจสถานการณ์ไว้บ้าง ก็เหมาะสมยิ่ง
“คนในเรือนเจ้า ฟางหมัวมัวกับเสี่ยวเหลียนย่อมติดตามเจ้าไป ส่วนคนอื่นๆ ก็ให้เจี้ยงซวงกับหานเสวี่ย ตามไปดูแลเจ้า บ่าวหญิงอีกสองคนก็ทิ้งไว้เฝ้าเรือนเจ้า ดีหรือไม่”
“ล้วนทำตามท่านยายเจ้าค่ะ” เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ ซินโย่วย่อมไม่คิดมีเรื่องขัดกับนายหญิงผู้เฒ่า
กลับถึงเรือนหว่านฉิง เสี่ยวเหลียนกับฟางหมัวมัวก็เริ่มจัดของกันอย่างเบิกบานเตรียมตัวย้ายไปอยู่ร้านหนังสือชิงซง ซินโย่วเดินไปในลาน กวาดตามองต้นไม้ใบหญ้าเงียบๆ
เรือนนี้คุณหนูโค่วอยู่มาสี่ปี ความจริงมาถึงบัดนี้ก็ได้สูญเสียเจ้านายแท้จริงไปแล้ว
ห้องกลางในเรือน สองข้างมีห้องข้าง เสี่ยวเหลียนนำเจี้ยงซวงไปเก็บของ ฟางหมัวมัวสั่งการให้บ่าวหญิงสูงวัยสองนางไปเปิดห้องที่ทำเป็นห้องคลัง นำของราคาสูงที่ไม่ค่อยได้ใช้เข้าไปเก็บ
ซินโย่วเดินไปถึงประตูเรือนอย่างสบายอารมณ์ เห็นสาวใช้หานเสวี่ยนั่งนิ่งเฝ้าประตูอยู่ ยามนี้กำลังน้ำตาไหลริน
“หานเสวี่ย” ซินโย่วเอ่ยเรียก
หานเสวี่ยตกใจหันกลับมาด้วยสีหน้าแตกตื่น ส่งเสียงเรียกคุณหนู
“ร้องไห้ทำไมหรือ”
“เปล่า เปล่าเจ้าค่ะ”
ซินโย่วครุ่นคิดแล้วคาดเดาว่า “ไม่อยากออกไปอยู่ข้างนอกใช่หรือไม่”
หานเสวี่ยรีบปฏิเสธ
“ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ หากเจ้าไม่อยากออกไปจากจวน ข้าจะบอกกับนายหญิงผู้เฒ่าว่าไม่จำเป็นต้องใช้คนมาก แต่หากออกไปตอนนี้ นึกเสียใจจะกลับมาอีกก็ต้องเสียเวลาเจรจามากกว่า ดังนั้นเจ้าคิดให้ดี ไม่ต้องเป็นห่วงว่าข้าจะเอาผิด”
หานเสวี่ยได้ยินซินโย่วเอ่ยเช่นนี้ก็อดประเมินสีหน้านางไม่ได้ เห็นนางไม่ได้มีท่าทางโมโห จึงทำใจกล้าลงคุกเข่า “ครอบครัวบ่าวอยู่ในจวน บ่าวอยาก อยากอยู่ที่นี่ต่อ…”