ตอนที่ 58 เส้นทางลัด
ซินโย่วจ้องมองตามแผ่นหลังจี้ไฉ่หลันจากไปอยู่เป็นนานก่อนจะหันหลังกลับเข้าร้านหนังสือ
“ท่านเจ้าของร้าน…”
ซินโย่วยิ้มให้หลิวโจว “ทำได้ไม่เลว เดือนนี้ให้รางวัลเจ้ากับสือโถว”
“ขอบคุณท่านเจ้าของร้านขอรับ” สองคนงานขอบคุณพร้อมเพรียง
ซินโย่วกลับถึงเรือนตะวันออก นั่งอยู่บนตั่งไม้ในห้องคนเดียว หยิบ ‘บันทึกโบตั๋น’ เปื้อนโลหิตเล่มนั้นออกมาจ้องมอง
ตอนฤดูใบไม้ผลิ มารดานางได้ช่วยเด็กสาวผู้หนึ่งไว้
เป็นเด็กสาวที่ติดตามครอบครัวเข้าเมืองหลวง ระหว่างทางประสบอุบัติเหตุกระเด็นออกนอกรถม้าขาหัก
มารดานางพบเข้าโดยบังเอิญ จึงเข้าให้ความช่วยเหลือ พอเด็กหญิงนั่งรถจากไปก็พบว่ามีหนังสือเล่มหนึ่งตกอยู่บนพื้น จึงได้เก็บกลับบ้าน
หนังสือเล่มนั้นก็คือ ‘บันทึกโบตั๋น’
มารดานางหยิบ ‘บันทึกโบตั๋น’ ให้นางอ่าน ยิ้มเอ่ยว่าที่แท้ตอนนี้ชาวเมืองหลวงชื่นชอบนิยายพวกนี้ และได้เลยไปเอ่ยถึงเรื่องที่ได้ช่วยเด็กสาวไว้
นางพลิกอ่านไปก็รู้สึกว่าสู้เรื่องที่มารดานางเล่าไม่ได้ จึงไม่ได้ใส่ใจนัก
ตอนนั้นนางกับมารดาล้วนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน ไม่นานก็จะลืมเลือนไป
ผ่านไปไม่นาน วันหนึ่งนางกลับมาจากข้างนอก ก็เห็นศพกองเกลื่อนพื้น
ในนั้นมีมารดานางนอนอยู่ด้วย ยังมีน้าซย่าที่ทำอาหารอร่อยมาก น้าเยี่ยนที่ตัดเสื้อผ้างดงามตามฤดูกาลให้นางสวมใส่ น้าหลันที่สอนศิลปะการต่อสู้ให้นาง…
นางไม่รู้ว่าเหตุใดจึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หุบเขาที่สงบสุขและสันติกลายเป็นดังขุมนรกบนโลกมนุษย์ คนที่นางรักกลายเป็นร่างเย็นเฉียบ
ขณะที่นางใกล้จะคุมสติไว้ไม่อยู่ ก็เห็น ‘บันทึกโบตั๋น’ ในมือมารดานาง
‘บันทึกโบตั๋น’ เล่มนั้นที่ควรอยู่บนชั้นวางหนังสือ แต่มาอยู่ในมือมารดานางตอนนี้ ไม่ว่าสติปัญญาคิดได้หรือปลอบใจตนเองก็ตาม ในสมองนางพลันคาดเดาขึ้นมาได้ว่า มารดานางกำลังเตือนนางถึงเภทภัยที่มาอย่างกะทันหันไม่คาดคิดนี้
บางทีการคาดเดานี้อาจเป็นนางที่คิดไปเอง แต่นางกลับได้แต่คว้าเอาฟางเส้นสุดท้ายนี้ไว้ คว้าความเป็นไปได้ที่จะสืบตามหาตัวคนร้ายสังหารมารดานางเอาไว้ แม้เพียงแค่เศษเสี้ยวก็ตาม
ดังนั้นนางจึงมาเมืองหลวง
น้องสาวจี้ไฉ่หลันก็คือเด็กสาวที่มารดานางช่วยชีวิตเอาไว้ผู้นั้นหรือ
“หาเจ้าของ ‘บันทึกโบตั๋น’ พบแล้วหรือเจ้าคะ”
น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงบนหลังมือซินโย่ว
หยดน้ำตาเย็นมาก แต่นางกลับรู้สึกราวกับว่าในที่สุดก็ได้ก้าวออกมาจากฤดูใบไม้ผลิที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตเย็นเยียบ รับรู้ได้ถึงความร้อนอบอุ่นแห่งฤดูกาลตอนนี้แล้ว
เก็บ ‘บันทึกโบตั๋น’ ลงตามเดิมแล้วซินโย่วก็เรียกฟางหมัวมัวมา
“แม่นม มีเรื่องหนึ่งอยากขอรบกวนท่าน”
“คุณหนูมีอันใดสั่งการเจ้าคะ” ฟางหมัวมัวได้ยินว่ามีเรื่องสั่งการ ปฏิกิริยาแรกก็คือดีใจ
เรือนพักตะวันออกในร้านหนังสือต่างจากในจวนใหญ่ที่มีการงานซับซ้อนให้ต้องจัดการ มีแค่คนทำงานไม่กี่คน ล้วนเป็นพวกใช้แรงงาน ไม่จำเป็นต้องการอบรมสักเท่าไร หลายวันนี้นางว่างจนแทบเหมือนอยู่ในวัยเกษียณ หากช่วยงานคุณหนูได้ ย่อมถือเป็นเรื่องดีอย่างมาก
“ที่ชุมชนตรอกเมาเอ๋อร์ที่ถนนจี๋เสียงฟางมีครอบครัวหนึ่งแซ่จี้ คุณหนูตระกูลนี้อายุไล่เลี่ยกับข้า ชื่อว่าจี้ไฉ่หลัน แม่นม ข้าอยากให้ท่านไปสืบสภาพการณ์ครอบครัวนี้สักหน่อย โดยเฉพาะจี้ไฉ่หลัน มีญาติผู้น้องที่เดินทางเข้าเมืองหลวง หากสืบได้ว่าเป็นตระกูลใดได้ก็จะดีมาก”
ฟางหมัวมัวตั้งใจฟัง พยักหน้าเอ่ยว่า “คุณหนูมอบให้บ่าวจัดการได้เลยเจ้าค่ะ บ่าวจะต้องสืบความมาให้กระจ่าง”
ซินโย่วดึงมือฟางหมัวมัวมากล่าวว่า “แม่นมช้าหน่อยก็ได้ อย่าได้เป็นที่สังเกต ความปลอดภัยตนเองสำคัญอันดับหนึ่ง”
“คุณหนูวางใจได้” ฟางหมัวมัวคิดถามว่าเหตุใดต้องสืบเรื่องคนตระกูลจี้ แต่สุดท้ายเก็บกลืนวาจากลับคืนไป
ต้องยอมรับว่า แม้จิตใจนางต่อคุณหนูไม่แปรเปลี่ยน แต่แยกจากกันมาหลายปีคุณหนูเปลี่ยนไปมากมาย ในสายตานาง นางไม่ใช่คุณหนูไร้เดียงสาคนเดิมอีกแล้ว แต่เป็นคุณหนูที่อ่านไม่กระจ่าง
คุณหนูโตแล้ว หากนางเอาแต่มองว่าคุณหนูเป็นเด็ก สุดท้ายปล่อยให้จิตใจสองนายบ่าวเหินห่างก็คงสายไปเสียแล้ว
ผ่านไปสองสามวัน ฟางหมัวมัวก็นำข่าวที่สืบมาได้มารายงานซินโย่ว
“ตระกูลจี้เป็นบ้านหลังที่สามในชุมชนตรอกเมาเอ๋อร์ เจ้านายในบ้านนี้ดำรงตำแหน่งอยู่ในกองบัญชาการรักษานครฝั่งตะวันออก มีบุตรชายสอง บุตรสาวหนึ่ง จี้ไฉ่หลันเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว นางมีน้องสาวญาติผู้น้องอยู่คนหนึ่ง หลายเดือนก่อนเพิ่งติดตามมารดาเข้าเมืองหลวง แซ่โจว ชื่อว่าหนิงเยวี่ย บิดานางเดิมเป็นนายกองธงใหญ่ในกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินประจำนอกเมืองหลวงนายหนึ่ง ต้นปีได้เลื่อนขั้นเป็นนายกองร้อยย้ายมาประจำเมืองหลวง ต่อมารับภรรยาและบุตรสาวมาเมืองหลวง…”
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน…
ซินโย่วกระตุกในใจ “สืบความได้ไหมว่าบิดาโจวหนิงเยวี่ย ทำงานอยู่หน่วยงานใดในกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน”
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินแบ่งออกเป็นสิบสี่กอง สองสำนักเหนือใต้ ย่อมเกินขอบเขตที่ฟางหมัวมัวที่เป็นเพียงแม่นมจะสืบความได้
“บ่าวสืบคนผู้นี้ไม่ได้ แต่คุณหนูโจวผู้นั้นได้ลองสอบถามจากชาวบ้านใกล้เรือนเคียง ทุกคนล้วนรู้จัก”
“ว่าอย่างไร”
“ว่ากันว่าตอนคุณหนูโจวเข้าเมืองหลวงมาได้รับบาดเจ็บที่ขา พักรักษาตัวอยู่หลายเดือน กว่าจะเดินได้ เพราะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ตระกูลนี้เป็นตระกูลที่ย้ายมาใหม่ ทำให้พอมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็เป็นที่จับตามอง…”
ตระกูลที่เพิ่งย้ายมาใหม่ ย่อมเป็นที่จับตามองของบรรดาบ้านใกล้เรือนเคียง
“แม่นม ลำบากท่านแล้ว”
“คุณหนูยังต้องการสืบเรื่องอันใดอีกหรือไม่ ต้องไปสืบความมาให้กระจ่างหรือไม่ว่าบิดาคุณหนูดำรงตำแหน่งอยู่หน่วยใด”
“ไม่ต้องแล้ว แม่นมไปพักผ่อนเถอะ”
บิดาโจวหนิงเยวี่ยดำรงตำแหน่งในกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน เช่นนั้นก็ยิ่งต้องระมัดระวังรอบคอบ เรื่องจากนี้ไปนางคงต้องลงมือด้วยตนเองแล้วกระมัง
ซินโย่วขอบคุณฟางหมัวมัวก่อนจะเดินไปด้านหน้า
หลังบอกกล่าวกันปากต่อปากไปในหลายวันนี้ ทุกวันมีคนมาซื้อ ‘วาดหนัง’ ไม่ขาดสาย มีเพียงตอนค่ำจึงจะเห็นผู้คนเบาบางลงบ้าง
ซินโย่วเห็นเฮ่อชิงเซียวยืนอ่านหนังสืออยู่หน้าชั้นหนังสือ
แสงสลัวเล็กน้อย เขายกหนังสือขึ้นตั้งใจอ่านด้วยท่าทางสบายๆ
ซินโย่วมองเขาเงียบ ๆ ในใจคิดว่าตอนใต้เท้าเฮ่อท่านนี้มาอ่านหนังสือที่ร้านหนังสือ มองไม่เห็นความเป็นกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้คนหลงลืมไปว่าเขาคือท่านโหว
แต่เขาเป็นองครักษ์จิ่นหลินมีอำนาจแท้จริง กุมอำนาจเป่ยเจิ้นฝู่ซือ ที่ทำให้บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงได้ยินชื่อก็หวาดกลัว
อยากรู้ว่าบิดาโจวหนิงเยวี่ยทำงานหน่วยงานใด คิดว่าขอเพียงถามใต้เท้าเฮ่อก็จะได้คำตอบทันที
เฮ่อชิงเซียวถือหนังสือในมือ พลันรู้สึกได้ว่าด้านหลังเขามีสายตามองมา
คุณหนูโค่วคล้ายว่ากำลังมองเขาอยู่
เขาเอียงศีรษะมองไปเล็กน้อย แน่ใจว่ารู้สึกไม่ผิด
เฮ่อชิงเซียวคิดแล้วก็วางบันทึกการเดินทางกลับที่เดิม ก้าวเข้าไปหาซินโย่ว
ชั้นหนังสือลึก แสงยามเย็นยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง ชายหนุ่มรูปงามราวหยกเดินมาในวินาทีนั้น ทั้งโถงก็คล้ายดังสว่างขึ้นเล็กน้อย
ซินโย่วเม้มริมฝีปากเล็กน้อยทำให้ความคิดกระจ่าง
อย่าได้เพราะใต้เท้าเฮ่อให้ความช่วยเหลือหลายครั้งคล้ายดังเทพเซียนบนโลกมนุษย์ จนลืมไปว่าเขาเป็นผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน อยากสอบถามเรื่องบิดาโจวหนิงเยวี่ยจากใต้เท้าเฮ่อ เส้นทางลัดนี้ไม่อาจเดินผ่านได้อย่างเด็ดขาด
ซินโย่วเปลี่ยนความคิด แต่เฮ่อชิงเซียวก็เดินมาถึงตรงหน้าแล้ว
“คุณหนูโค่ว มีเรื่องอันใดใช่หรือไม่ หากประสบความยากลำบากอันใด…”
“ไม่มี ไม่มีความยากลำบากอันใดเจ้าค่ะ” ซินโย่วไม่รอให้อีกฝ่ายกล่าวจบก็เอ่ยขึ้นก่อน
เฮ่อชิงเซียวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะอมยิ้มพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ข้ายังคิดว่าคุณหนูโค่วประสบเรื่องยากลำบากอันใด เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
ซินโย่วยกมือกดหางตา เอ่ยไล่ตามแผ่นหลังเฮ่อชิงเซียวไปว่า “ใต้เท้าเฮ่อโปรดหยุดก่อน”