เสียงนั้นทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาทันทีที่นางได้ยินมัน จากนั้นนางก็เอ่ยกับคนที่อยู่นอกรถม้าอย่างเกียจคร้านว่า ”ต้าสยง เจ้ามาที่นี่ทำไมหรือ”
”ลูกพี่ ไม่ได้มีแค่ข้านะขอรับ พี่น้องของเราทุกคนก็มาด้วย พวกเราตามท่านมาตั้งแต่ตอนที่รถม้าของท่านมาถึงเมืองหลวงแล้วขอรับ!” ต้าสยงหัวเราะพลางเอ่ยตอบ
ร่างในชุดสีดำสนิทหลายสิบร่างกระโดดลงสู่พื้น พวกเขาแต่ละคนล้วนแต่มีฝีมือล้ำเลิศและยังมีรูปลักษณ์ต่างกันออกไป บางคนสูง บางคนเตี้ย บ้างก็ผอมบาง บ้างก็บึกบึน แม้กระทั่งอาวุธที่พวกเขาใช้ก็ยังไม่เหมือนกัน
ความคล้ายคลึงเดียวที่พวกเขามีร่วมกันคือเรื่องที่ว่าอาวุธของพวกเขาเป็นของหายาก!
เมื่อได้ยินว่ากองกำลังของตัวเองมาถึงแล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงหันหน้าไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้วเอ่ยว่า ”คราวนี้ก็ถึงตาข้าบ้าง” ในน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นอย่างปิดไม่มิด
องค์ชายบีบมือนาง ”เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าไม่กลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับท้องของตัวเองหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นด้วย หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งนางจึงถามคนที่อยู่ข้างนอกว่า ”ต้าสยง เจ้าพกปืนซุ่มยิงมาด้วยหรือเปล่า”
”ข้าแบกมันติดตัวเสมอขอรับ” ต้าสยงตอบ พร้อมกับชี้ไปยังปืนสีดำที่อยู่บนไหล่
ดวงตาหงส์คู่งามของเฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ลง จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า ”เช่นนั้นก็ระเบิดประตูเมืองตรงๆ ไปเลย ไว้ชีวิตคนพวกนั้น พวกมันจะมีประโยชน์กับเราในภายหลัง”
”ขอรับ!” ต้าสยงรับคำสั่ง แล้วยกปืนซุ่มยิงขึ้น เขาหรี่ตาข้างซ้ายลงพร้อมกะระยะยิงสามจุดผ่านลำกล้อง แล้วจึงแตะนิ้วชี้ลงที่ไกปืน
เสียงปืนดังปังได้ยินโดยทั่วกัน!
ประกายไฟพุ่งออกมา หัวหน้ากองรักษาการณ์เมืองหลวงตกตะลึงกับแรงระเบิดนั้นจนทำอะไรไม่ถูก
ประตูเมืองที่อยู่ด้านหลังของเขาถล่มลงมาพร้อมกับธงที่ปลิวสะบัดไปตามการเคลื่อนไหวของสายลม ผลจากแรงระเบิดนั้นทำให้ทหารนับสิบคนที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองร่วงลงมาเช่นกัน เศษหินกลิ้งลงมาบนพื้นอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นเสียงดังสนั่นอย่างไม่น่าเชื่อ
บรรดาผู้เห็นเหตุการณ์ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มควันหนาทึบนั้นกำลังใช้แขนเสื้อยาวของตัวเองไล่ควันที่อยู่ตรงหน้าออก แต่ในดวงตาของพวกเขาก็ยังหลงเหลือความตื่นตระหนกอยู่!
หัวหน้ากองรักษาการณ์เมืองหลวงที่อยู่ใกล้กับต้าสยงที่สุดตกใจจนตัวแข็ง เขาอ้าปากค้างพร้อมกับส่ายหน้าเล็กน้อย และหูก็ยังได้ยินเสียงก้องอยู่ เขามองปืนยาวสีดำสนิทนั้นด้วยความตกตะลึง สองขาของเขาอ่อนยวบจนแทบไม่หลงเหลือความรู้สึกใด
ทำไมไม่เคยมีใครบอกเรื่องนี้กับเขา…
บนแผ่นดินนี้มีอาวุธพรรค์นี้อยู่ด้วยหรือ
สิ่งนั้นมันคืออะไรกัน!
ระเบิดหรือ
แต่มันต่างจากระเบิดลิบลับเลยมิใช่หรือ!
ระเบิดต้องเอาไปฝังก่อน แล้วจึงค่อยจุดชนวนทีหลัง!
ขณะที่หัวหน้ากองรักษาการณ์เมืองหลวงกำลังตำหนิตัวเองในเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่นั้น
ร่างในชุดสีดำสนิทหลายสิบร่างก็จัดการเปิดทางให้กับรถม้าคันนั้น ที่มือข้างซ้ายและข้างขวาของพวกเขาล้วนแต่มีปืนอยู่ในมือ เวลาที่มีพลทหารพยายามจะเข้ามาใกล้ พวกเขาจะยิงไปที่เท้าของคนพวกนั้นทันที ส่งผลให้มีสะเก็ดไฟปลิวว่อนไปทั่ว หัวหน้ากองรักษาการณ์เมืองหลวงเงยหน้าขึ้น แต่เขาก็ถูกคว้าหมับเข้าที่ลำคอ
ในเวลานั้น เขาคิดได้เพียงอย่างเดียว ”พวกเจ้า พวกเจ้าเป็นใคร”
เลือดทะลักออกมาจากลำคอของเขาในระหว่างนั้น
ชายคนนั้นไม่ได้ตอบเขา ทว่ากลับทำเพียงแค่พาคนของตัวเองมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงตามคำสั่งของเฮ่อเหลียนเวยเวย!
แน่นอนว่าต้องมีคนนำเรื่องนี้ไปรายงาน
ทหารบนหลังม้าควบม้าข้ามเมืองทางฝั่งตะวันออกและตรงไปยังจวนของราชครูในทันที!
เวลานี้ ที่จวนของราชครูกำลังจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับเงินทั้งหมดที่พวกเขาเก็บมาได้อยู่พอดี
”ท่านราชครูช่างปราดเปรื่องยิ่งนักที่สามารถคิดวิธีหาเงินเช่นนี้ออกมาได้ การให้ทุกคนจ่ายเงินเพื่อเข้าเมืองโดยไม่สนว่าพวกเขาจะเป็นใคร มีสถานะอันใดช่างเป็นธุรกิจที่ให้กำไรงามเสียจริง!” แม่ทัพนามว่าอ๋าวเจียงที่ควรจะอยู่ที่มณฑลยูนนานเคี้ยวเนื้อในปาก พร้อมกับถือพวงเงินหนักอึ้งไว้ในมือ
ขุนนางคนหนึ่งในนั้นมีท่าทางราวกับบัณฑิต เขาวางพวงเงินที่อยู่ในมือลง แล้วถามอย่างกังวลว่า ”ถ้าอดีตฮ่องเต้รู้ว่าพวกเราวางแผนอะไรกันอยู่ ท่านคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
”เหล่าเว่ย ทำไมเจ้าถึงได้ขี้ขลาดถึงเพียงนี้เล่า! ตอนที่เจ้าเข้าไปในวังหลวง เจ้าก็ได้เห็นสภาพของอดีตฮ่องเต้กับตาตัวเองแล้วนี่ เขาคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนักหรอก!” อ๋าวเจียงรู้ว่าที่นี่ไม่มีคนนอกอยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดความคิดของตัวเองออกมาอย่างไม่ลังเล เขาเยาะยิ้ม แล้วเอ่ยต่อ ”องค์ชายเจ็ดแข็งแกร่งมากก็จริง แต่เขาก็ยังเป็นแค่เด็ก เขาจะเข้าใจเรื่องการเมืองในราชสำนักได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้น วังหลวงก็ยังตกอยู่ในการควบคุมของท่านราชครู ดังนั้นย่อมไม่มีใครสามารถนำเรื่องนี้ไปรายงานให้ราชวงศ์รู้ได้ ตระกูลเฮยอาจจะสงสัยถึงจุดประสงค์ของพวกเราได้ แต่ตอนนี้พวกเขาเป็นนักธุรกิจ ทหารของพวกเขาอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปนับพันลี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วท่านจะกังวลไปทำไม?! เวลานี้พวกเราควรกอบโกยให้มากที่สุดต่างหาก!”
ใต้เท้าเว่ยยังรู้สึกไม่สบายใจนัก โดยเฉพาะเมื่อหนังตาของเขากระตุกไม่หยุดมาตั้งแต่เมื่อครู่ ”แม่ทัพอ๋าว ท่านคิดว่าองค์ชายสามยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ถ้าเขากลับมาเห็นเมืองหลวงในสภาพนี้ ท่านกับข้าได้ลงนรกแน่!”
”เฮ้อ ทำไมบัณฑิตเช่นพวกท่านถึงได้ขี้ขลาดตาขาวกันถึงเพียงนี้เชียว” อ๋าวเจียงเหยียดยิ้ม ”เขาน่ะหรือจะกลับมา ท่านคิดว่าที่ที่เขาไปคือที่ไหนหรือ มันเป็นสุสานหลวงพันปี! ไม่ว่าเขาจะเก่งกาจเพียงใด เขาก็จะต้องตายอยู่ที่นั่นแน่ หรือต่อให้เขากลับมาได้ พวกเราก็ยังมีท่านราชครูอยู่ ข้ามั่นใจว่าด้วยความสามารถที่ท่านราชครูมี ย่อมสามารถไล่เขาออกไปจากเมืองนี้ได้อย่างแน่นอน!”
ราชครูผู้นี้อยู่เคียงข้างอ๋าวเจียงมาโดยตลอด แต่เขาไม่เคยพบไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมาก่อน เขาเคยได้ยินเพียงว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแข็งแกร่งด้านวรยุทธ์และโหดเหี้ยมอย่างมากเท่านั้น
แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
แม้เขาจะเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของแผ่นดินนี้ และได้รับการปกป้องจากฐานะอันสูงส่งนั้นก็ตาม…
แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา!
ราชครูยังมั่นใจในความสามารถของตัวเอง เขากลัวแค่องค์ชายเจ็ดตัวน้อยที่อยู่ในวังหลวง
ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กคนนั้น ป่านนี้เขาคงสามารถครอบงำอดีตฮ่องเต้และทำทุกสิ่งได้ตามใจปรารถนาไปแล้ว
เขารู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นองค์ชายเจ็ดตัวน้อยว่าเขาไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ
โชคดีที่ตอนนั้นอ๋าวเจียงยืนอยู่หน้าเขา ไม่อย่างนั้นการปลอมตัวของเขาคงได้ถูกเปิดโปงแน่
แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังมองธาตุแท้ของเด็กชายคนนั้นไม่ออก
ยิ่งดูลึกลับเท่าใด ก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ไม่สำคัญ อย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กเหมือนอย่างที่อ๋าวเจียงว่า
ตราบใดที่พวกเขาไม่เข้าใกล้วังหลวง องค์ชายเจ็ดตัวน้อยย่อมไม่มีทางรู้ว่าพวกเขาก่อความวุ่นวายให้กับเมืองหลวงเช่นใด
ส่วนไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่คนพวกนี้มักเอ่ยถึงนั้น เขาไม่เคยเก็บเอามาคิดใส่ใจอย่างจริงจังเท่าใดนัก
ราชครูยิ้ม แล้วยื่นมือออกไปพร้อมกับเอ่ยว่า ”มาเถอะ ดื่มกันอีกสักจอกก็แล้วกัน ใต้เท้าเว่ยไม่ต้องเป็นกังวลไป ถ้ามีใครมา ข้าจะจัดการกับพวกเขาเอง”
”หากท่านราชครูว่าเช่นนั้น ข้าก็วางใจ” ใต้เท้าเว่ยยิ้ม และกำลังจะยกจอกเหล้าขึ้น
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงรายงานดังมาจากด้านนอก ”ท่านราชครู ท่านแม่ทัพอ๋าว ข่าวร้ายขอรับข่าวร้าย! มีคนนำทหารม้าบุกเข้ามาในเมืองขอรับ!”
เพล้ง!
จอกเหล้าในมือของใต้เท้าเว่ยหล่นลงกับพื้น
อ๋าวเจียงลุกขึ้นยืนเช่นกัน จากนั้นจึงพูดด้วยสีหน้าดำทะมึนว่า ”เวลานี้ไม่น่าจะมีทหารม้าเข้ามาในเมืองได้ ข่าวนี้ผิดหรือเปล่า”
”ไม่ ไม่ผิดแน่ขอรับ!” ทหารนายนั้นดูหายใจแทบไม่ทัน ”ข้าเห็นพวกเขากับตาตัวเองขอรับ ตอนนี้พวกเขาน่าจะมาถึงเมืองทางตะวันออกแล้ว!”
อ๋าวเจียงขมวดคิ้ว ”พวกเขามีทหารทั้งหมดกี่นาย”
”หนึ่งพันขอรับ” ทหารนายนั้นตอบ
อ๋าวเจียงหัวเราะ ”ทหารม้าอะไรกันจะมีคนแค่พันเดียว! ท่านราชครู ไปดูกันเถิดขอรับว่าใครกันที่โง่ถึงขนาดนี้ สวรรค์มีทางกลับไม่ไป นรกไร้ทางกลับบุกเข้ามา!”