ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 334 ไม่ต้องแอบ ฉันมองนายออก(2)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 334 ไม่ต้องแอบ ฉันมองนายออก(2)

ตอนที่ 334 ไม่ต้องแอบ ฉันมองนายออก(2)

เหยาจิ้งจือเฝ้ามองลูกสะใภ้คนเล็กเดินจากไป แววตาเต็มไปด้วยความกังวล

“พ่อคะ พ่อยอมปล่อยให้มู่หลานไปเหรอ ไม่กลัวว่าหล่อนจะตกอยู่ในอันตรายหรือคะ”

นายท่านเหยาหันมองลูกสาวด้วยท่าทางสบายใจ ก่อนจะบอกกล่าว “จิ้งจือ ลูกไม่ต้องห่วง แปดคนนั้นแต่ละคนสามารถรับมือหนึ่งต่อสิบได้ทั้งนั้น ลูกไม่ต้องเป็นกังวลไป แล้วพวกลูกก็เพิ่งบอกเองไม่ใช่เหรอว่ายังมีคนไปทาบทามพวกทหารที่เกษียณแล้วด้วย มีคนมากมายคอยปกป้องมู่หลานขนาดนี้คงไม่เป็นไรหรอก”

ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เหยาจิ้งจือก็ยังกังวลนิดหน่อย

หลังจากฉินมู่หลานกลับมาถึงบ้านตระกูลเจี่ยงก็พบว่าชุยเสี่ยวผิงกลับมาแล้ว นอกจากนี้ยังพาคนตัวสูงใหญ่มาด้วยอีกเจ็ดคน เป็นชายห้าหญิงสอง ทุกคนต่างดูเชื่อใจในฝีมือได้ “พี่เสี่ยวผิง ขอบคุณมากนะคะ”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ”

ชุยเสี่ยวผิงรีบส่ายหัวทันที ขณะเดียวกันก็มองไปยังคนอีกแปดคนที่ฉินมู่หลานพามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น มองเพียงแวบเดียวก็บอกได้ทันทีว่าทุกคนล้วนฝึกฝนมาดีและร่างกายก็ไม่ได้ดูอ่อนแอ เมื่อเห็นพวกเขามีฝีมือดีแบบนี้หล่อนก็รู้สึกโล่งใจมาก

ในตอนนี้ ลุงเจี่ยงก็เดินมา แล้วมองฉินมู่หลานก่อนจะพูดขึ้น “คุณหนูน้อยครับ รถและคนขับพร้อมแล้วครับ”

“ค่ะ พวกเราใกล้จะออกเดินทางแล้ว”

อีกด้านหนึ่ง เซี่ยเจ๋อหลี่กับคนอื่นกำลังสืบหาร่องรอยเส้นทางที่หวงจิ่นซงกับเย่อินใช้หลบหนีไป สุดท้ายก็เจอเบาะแสภายในเวลาอันสั้น

“หวงจิ่นซง เย่อิน พวกแกต้องรีบปล่อยตัวพ่อบุญธรรมได้แล้ว”

เซี่ยเจ๋อหลี่มองคนสองคนที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าดูเย็นชา พวกเขาเคยสืบเรื่องของสองคนนี้มาก่อนแล้วแต่กลับไม่พบสิ่งใดผิดปกติ จึงไม่คาดคิดว่าทั้งสองจะเป็นคนทรยศ โดยเฉพาะหวงจิ่นซง เขาเป็นผู้อำนวยการของสถาบันอื่น นอกจากนี้ยังทำงานให้สถาบันวิจัยมาตั้งหลายปีแล้ว กลายเป็นว่าเขาเป็นไส้ศึกของฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่คาดฝัน

หวงจิ่นซงดึงเจี่ยงสือเหิงเข้ามากำบังข้างหน้าตัวเอง ก่อนจะมองเซี่ยเจ๋อหลี่แล้วยิ้มเยาะ ก่อนจะพูดขึ้น “ฉัยบอกแล้วไงพ่อหนุ่มเซี่ย ตอนนี้เจี่ยงสือเหิงกลายเป็นยันต์คุ้มครองของเราแล้ว ฉันไม่มีทางปล่อยเขาเด็ดขาด ถ้าพวกแกก้าวเข้ามาอีกเพียงก้าวเดียว ฉันจะแทงมันให้ตายเลย” หลังจากพูดจบ เขาก็ดึงมีดออกมาถือเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง

ตั้งแต่เจี่ยงสือเหิงโดนจับมา เขาก็เชื่อฟังเป็นอย่างมาก แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในเงื้อมมือของหวงจิ่นซง แต่เขาก็ไม่ขัดขืนต่อสู้เลย เป็นเพราะท่าทางเชื่อฟังของเขานี่เองจึงทำให้ระหว่างทางไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมากนัก ประกอบกับเวลาส่วนใหญ่ล้วนหมดไปกับการเดินทาง คนเหล่านี้จึงไม่มีเวลามาทารุณเขามากนัก

เซี่ยเจ๋อหลี่เห็นเจี่ยงสือเหิงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสภาพสมบูรณ์ จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“พ่อบุญธธรรม ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”

เจี่ยงสือเหิงได้ยินคำพูดของเซี่ยเจ๋อหลี่แล้วก็พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อสื่อว่าไม่เป็นไร

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วครับ”

ก่อนหน้านี้เซี่ยเจ๋อหลี่เครียดตลอดเวลา กลัวว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับเจี่ยงสือเหิง เมื่อเห็นว่าคนไม่เป็นไรจึงรู้สึกโล่งใจ

หวงจิ่นซงเห็นว่าเซี่ยเจ๋อหลี่กับเจี่ยงสือเหิงกำลังพูดคุยกัน ก็ยิ่งใช้แรงมากขึ้น “อย่าพูดไร้สาระ พวกแกรีบไสหัวไปได้แล้ว ไม่อย่างนั้นฉันจะผลักเจี่ยงสือเหิงลงไป”

บริเวณที่อยู่ถัดจากพวกเขาคือแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว หากตกลงไปตรง ๆ คงได้ตายแน่นอน

เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินแบบนี้ จึงรีบยกมือแล้วพูดขึ้น “นายอย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นสิ พวกเราจะกลับเดี๋ยวนี้แหละ” เซี่ยเจ๋อหลี่มองเจี่ยงสือเหิง ขณะเดียวกันก็จ้องมองกลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังหวงจิ่นซง คนพวกนั้นคือผู้ช่วยหวงจิ่นซงหลบหนี เพียงแต่คนเหล่านั้นสวมใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าเอาไว้ เขาจึงไม่สามารถเห็นหน้าของคนพวกนั้นได้ชัดเจนนัก

แต่ถึงอย่างนั้น เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ยังมองเห็นร่างคุ้นเคยของใครบางคนด้วย

“เหยาอี้หนิง ไม่ต้องซ่อนหรอก ฉันจำนายได้”

แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา “เมื่อไม่กี่วันก่อนนายไปเยี่ยมเริ่นม่านลี่ที่โรงพยาบาล นายไปเมืองหลวงมาจริง ๆ ด้วยสินะ”

หลังจากพูดจบ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เอ่ยถามอย่างเย็นชา “นายลืมหน้าที่ของตัวเองแล้วเหรอ ต่อให้ระหว่างพวกเราจะเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อกัน แต่สิ่งที่นายกำลังทำอยู่ตอนนี้ มันเหมาะสมต่อตัวนายอย่างนั้นเหรอ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยเจ๋อหลี่ เหยาอี้หนิงก็ไม่หลบซ่อนอีกต่อไป เขาถอดหน้ากากบนใบหน้าออก พลางเอ่ยขึ้น “เซี่ยเจ๋อหลี่ นายสายตาเฉียบแหลมดีนี่ แต่ตอนนี้นายเปลี่ยนอาชีพไปแล้ว ห่วงใยกันขนาดนี้ นายก็เข้มงวดเกินไปนะ”

โหยวหย่งอยู่ข้าง ๆ เซี่ยเจ๋อหลี่ เมื่อเห็นเหยาอี้หนิงในตอนนี้ สีหน้าก็ยังคงแปลกใจนิดหน่อย

“เหยาอี้หนิง ที่แท้ก็เป็นนายนี่เอง ทำไมนายถึงได้ไปข้องเกี่ยวกับหนอนบ่อนไส้สองคนนี้ได้ หรือว่า…นายก็มีส่วนรู้เห็นด้วยอย่างนั้นหรือ?” หลังจากพูดจบ แววตาของโหยวหย่งก็เต็มไปด้วยรังสีสังหาร ต่อให้หวงจิ่นซงกับเย่อินจะเป็นคนน่ารังเกียจ แต่คนอย่างเหยาอี้หนิงกลับน่ารังเกียจเสียยิ่งกว่า

เหยาอี้หนิงเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่กลับเพิกเฉยต่อความยุติธรรมของประเทศชาติ ทรยศต่อประเทศชาติ เขาจึงสมควรตาย

เหยาอี้หนิงมองสายตาสังหารของโหยวหย่งออกอยู่แล้ว เขาจึงระเบิดหัวเราะขึ้นมา ก่อนจะเอ่ย “โหยวหย่ง จริง ๆ แล้วตัวนายเองไม่เหมาะจะตำหนิฉันด้วยซ้ำ นายเองก็ลืมไปแล้วสินะว่าออกจากกองทัพด้วยเหตุผลอะไร”

“ฉันไม่ลืมอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ฉันทำมันแตกต่างจากนาย”

ตอนแรกเหยาอี้หนิงต้องการจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่ก็โดนหวงจิ่นซงขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน “หุบปาก พวกแกจะมัวแต่รำลึกความหลังกันหรือไง ตอนนี้ไม่มีเวลาให้พวกแกนึกถึงหรอกนะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เหยาอี้หนิงก็รู้สึกตัวขึ้นมา แล้วไม่พูดอะไรอีก

แต่แล้วเจี่ยงสือเหิงก็เอ่ยพูดขึ้น “จิ่นซง ทำไมแกถึงทำแบบนี้” พูดจบเขาก็หันไปทางเย่อินก่อนจะเอ่ยถาม “เย่อิน ทำไมเธอถึงไปอยู๋ข้างหวงจิ่นซง เธอลืมความตั้งใจเดิมตอนที่เข้ามาทำงานในสถาบันวิจัยแล้วเหรอ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของเจี่ยงสือเหิง เย่อินก็ตระหนักขึ้นได้นิดหน่อย

“เจี่ยงสือเหิง คุณหุบปากไปเลย ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ฉันคงไม่มาไกลถึงจุดนี้หรอก”

หลังจากเย่อินเริ่มเปิดปากพูดว่าตัวเองมีทางเลือกเพียงเท่านี้ และบอกเล่าถึงความเสียใจ ความกลัวและการเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดในช่วงหลายวันที่ผ่านมา “ตอนแรกฉันทำงานอยู๋ในสถาบันของคุณดี ๆ แต่คุณกลับยืนกรานจะไล่ฉันไปที่อื่น คุณมองไม่เห็นความจริงใจที่ฉันมีให้คุณเลยเหรอ ถ้าคุณยอมรับคำสารภาพของฉันตั้งแต่ก่อนหน้านี้ก็คงเรียบร้อยแล้ว เรื่องก็คงไม่มาถึงขั้นนี้หรอก”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เจี่ยงสือเหิงก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที

แต่เย่อินก็เอ่ยพูดต่อ “หลังจากฉันเข้ากลุ่มของหวงจิ่นซง หลายอย่างก็ล้วนไม่มีอะไรราบรื่นเลย หลังจากนั้นหวงจิ่นซงก็สอนสิ่งต่าง ๆ ให้ฉันมากมาย แต่พอฉันอยู่กับหวงจิ่นซงนานขึ้นเรื่อย ๆ ก็โดนดึงไปเข้าร่วมองค์กรอะไรสักกอย่างก็ไม่รู้โดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของคุณ”

เมื่อเห็นเย่อินกล่าวโทษเจี่ยงสือเหิงเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมด เซี่ยเจ๋อหลี่จึงแค่นหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ถ้าเธอตั้งใจจริง ตอนที่เธอเห็นท่าทางแปลก ๆ ของหวงจิ่นซง ก็ควรรายงานทันทีสิ แต่แล้วเธอก็ไม่ได้ทำอะไรเลย”

“ก็…ก่อนหน้านี้ฉันไม่มีโอกาส”

“เธอโกหก…”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

อี้หนิงไปเข้ากับฝ่ายนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย

แล้วองค์กรลับที่ว่ามันคือองค์กรอะไรหนอ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท