วิญญาณร้ายในหมอกสีดำที่อยู่รอบตัวเขาเริ่มตัวสั่น พวกมันไม่ได้เพียงแค่กลัว แต่บางตัวยังพยายามหันหลังวิ่งหนีอีกด้วย!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่เปิดโอกาสให้พวกมันได้ทำเช่นนั้น รูม่านตาสีดำของเขาหรี่ลงเล็กน้อย
ปีศาจและสัตว์อสูรหลายสิบตัวปรากฏขึ้นเหนือรถม้า พวกมันม้วนตัวเข้ากับก้อนเมฆ แม้พวกมันจะดูนิ่งสงบ แต่แน่นอนว่าพวกมันย่อมไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถหาเรื่องได้!
เพียงเสี้ยววินาที วิญญาณร้ายก็ถูกปีศาจฝูงนั้นกวาดหายไปราวกับสายลม โดยไม่ยอมเหลือแม้แต่เงาทิ้งไว้เบื้องหลังด้วยซ้ำ!
”นั่น นั่นมันตัวอะไร!” ถึงอ๋าวเจียงจะมองไม่เห็นฝูงสัตว์อสูรที่กำลังแยกเขี้ยวและกางกรงเล็บอยู่พวกนั้น แต่หมอกสีดำหนาทึบนี้ก็ยังมองเห็นได้ชัดเจนเสียจนอ๋าวเจียวรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติที่อยู่ในอากาศได้!
เวลานี้ราชครูที่มองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนกำลังสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ดวงตาสีแดงราวกับปีศาจของเขาเริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แม้กระทั่งขาของเขาก็ยังพลอยสั่นไปด้วย
เขาเคยเห็นภาพปีศาจเริงระบำกับขบวนแห่ราตรีร้อยอสูรเช่นนี้เพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น
นั่นคือเมื่อเกือบพันปีก่อน ตอนที่โลกมนุษย์ยังไม่สมบูรณ์
มันเป็นตอนที่ภพแห่งความชั่วร้ายทั้งสามเรืองอำนาจอย่างที่สุด
แม้กระทั่งภพสวรรค์และแดนพระพุทธศาสนาก็ยังไร้พิษสงเมื่ออยู่ต่อหน้าภพแห่งความชั่วร้ายทั้งสาม
พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวตนอันต่ำต้อยและอัปลักษณ์
เพราะความเป็นผู้นำของชายผู้นั้น ภพแห่งความชั่วร้ายทั้งสามจึงผงาดขึ้นสู่สถานะที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขายังเป็นเพียงปีศาจตัวเล็กๆ ตอนที่ได้เห็นภาพนั้น เขาทำได้เพียงมองภาพนั้นอยู่ไกลๆ ในขณะที่ผู้ชายคนนั้นนำปีศาจและสัตว์อสูรนับพันตนเข้าโรมรันกับบรรดาพระอรหันต์ที่พระพุทธศาสนาส่งลงมา จนกลายเป็นภาพในตำนานของภูเขาปู้โจว
สมัยนั้น ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีดำ แขนเสื้อยาวของเขาปลิวไสว และมีปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนติดตามอยู่ข้างหลังราวกับเป็นนายเหนือหัวของโลกใบนี้!
นอกจากเขาแล้ว ย่อมไม่มีใครสามารถอัญเชิญปีศาจจำนวนมากถึงเพียงนี้มาที่นี่ได้!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เสียงของราชครูก็สั่นเครือ ”ฝ่า ฝ่าบาท”
”ราชครู ท่านเป็นอะไรไปขอรับ ท่านรู้จักองค์ชายสามหรือ” อ๋าวเจียงรู้สึกว่าราชครูทำตัวผิดปกติ เขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้มาก่อน
”ไม่ใช่ องค์ชายสามอะไร นั่นคือฝ่าบาทต่างหาก! แต่จะเป็นเขาไปได้อย่างไร เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!” ราชครูรีบยื่นมือออกไปดึงอ๋าวเจียงเข้ามา เวลานี้เขาแทบจะล้มทั้งยืน เขาจ้องอีกฝ่ายตาแทบถลน แล้วคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งว่า ”ทำไมเจ้าไม่บอกข้าว่าฝ่าบาทอยู่ที่นี่! เจ้าคิดที่จะฆ่าข้าหรือ!”
ใบหน้าของอ๋าวเจียงซีดเผือดเมื่อถูกราชครูเขย่าตัว สาเหตุนั้นไม่ได้มาจากเหตุผลอื่นใด แต่มาจากการที่เขาเริ่มสังเกตเห็นแล้วว่าใบหน้าของคนตรงหน้ามีร่องรอยบางอย่างปกคลุมอยู่หลายชั้น
แต่ร่องรอยเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่คนเป็นจะมีกันได้!
ราชครูไม่สนใจว่าอ๋าวเจียงจะมองเขาอย่างไรในเวลานี้ เขาผลักอีกฝ่ายออก แล้วหันกลับไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งอยู่กลางรถม้า
เขาจบสิ้นแล้ว!
มนุษย์ธรรมดาอะไรกัน!
คู่ต่อสู้ของเขาคือคนที่เขาจะต้องเทิดทูนไว้เหนือหัวแม้จะผ่านการฝึกฝนมานับล้านๆ ปี ไม่ใช่แค่พันปีด้วยซ้ำ
ในโลกใบนี้ เขายอมเสียมารยาทต่อเทพและพระอรหันต์ยังดีเสียกว่าเสียมารยาทต่อผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้!
”ท่านราชครูขอรับ!” อ๋าวเจียงที่ถูกผลักออกพยายามทำให้ราชครูได้สติกลับมา ถ้าท่านราชครูหมดท่าตั้งแต่ตอนนี้ เขาจะสู้กับองค์ชายสามได้อย่างไร!
แต่เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านราชครู เขาดูเหมือนคนถูกผีสิงไม่มีผิด!
หรือบางที เขาอาจจะไม่ใช่มนุษย์มาแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ!
ความคิดนี้ทำให้อ๋าวเจียงเสียวสันหลังวาบ นิ้วของเขาแข็งทื่อขณะเหม่อมองราชครู
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งอยู่บนรถม้าทำเพียงแค่เหลือบมองมาทางพวกเขาด้วยสายตาเย็นชาเท่านั้น
ราชครูคุกเข่าลงไปนั่งกับพื้นทันที แล้วตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ”ฝ่าบาท ได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยขอรับ ได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย!”
อ๋าวเจียงนึกไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ เขาคิดว่าท่านราชครูน่าจะเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนอื่นที่ตนรู้จัก ยิ่งกว่านั้น ราชครูก็ยังเคยบอกอีกด้วยว่าเขาไม่รู้จักองค์ชายสาม และอีกฝ่ายเป็นเหยื่อที่สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
แต่ตอนนี้… เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ชายสาม ราชครูกลับตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ซ้ำยังเอาแต่โขกศีรษะลงกับพื้นเสียงดังจนคนที่ได้ยินต่างก็พลอยรู้สึกเจ็บไปด้วย!
ในใจของอ๋าวเจียงคิดได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
นั่นคือมันจบแล้ว ทุกอย่างจบสิ้นสำหรับพวกเขาแล้ว
ก่อนหน้านี้เขากล้าทำตัวหน้าด้านไร้ยางอายในเมืองหลวงเพราะเขาคิดว่าท่านราชครูจะสามารถจัดการกับองค์ชายสามได้!
หากแม้แต่ราชครูก็ยังยอมจำนน เช่นนั้นย่อมหมายความว่าคนของเขาคงได้ถูกองค์ชายสามบดขยี้จนถึงแก่ความตายเป็นแน่
เขารู้จักวิธีการขององค์ชายสามดี แค่เขาเพียงคนเดียวย่อมไม่สามารถต้านทานอีกฝ่ายได้!
ยิ่งกว่านั้น ทหารที่ติดตามเขาพวกนี้กล้าบุกไปข้างหน้าก็เพราะพวกเขาคิดว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับกบฏที่บุกเข้ามาในเมือง
ถ้าพวกเขารู้ว่านั่นคือองค์ชายสามละก็
เช่นนั้นเขา… เขาคง…
อ๋าวเจียงไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่จะตามมาด้วยซ้ำ เวลานี้ สิ่งเดียวที่เขารู้สึกเสียใจก็คือการไปยั่วโมโหองค์ชายสามโดยไม่รู้ตัว!
ใต้เท้าเว่ยคุกเข่าอยู่กับพื้นมาตั้งแต่ตอนที่รถม้าถูกทำลาย และตอนนี้เขาก็ยังโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พร้อมกับร้องขอความเมตตาอยู่ข้างๆ ราชครู ความหวาดกลัวแผ่ออกมาทั่วร่างของเขาอย่างเห็นได้ชัด!
ภาพที่เกิดขึ้นทำให้เหล่าทหารมองหน้ากันด้วยความสับสน พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยขยิบตาให้กับทหารรับจ้างที่ยืนอยู่ข้างตัว
ทหารรับจ้างนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงยืนขึ้นตรงหน้ารถม้า ด้วยกำลังภายในที่เขามี น้ำเสียงที่เขาตะโกนออกมาจึงทั้งก้องกังวานและนุ่มนวลราวกับเปล่งออกมาจากจุดตันเถียน ”องค์ชายสามอยู่ที่นี่แล้ว วางอาวุธของพวกเจ้าลงเดี๋ยวนี้!”
”องค์ชายสามหรือ” พลธนูนายหนึ่งที่ยังถือธนูอยู่ในมือหันกลับไปมองด้วยความตกใจ ”นั่นคือองค์ชายสามหรือ!?”
”อะไรนะ” ทหารคนอื่นๆ ชะงักไปทันที พวกเขาพยายามทำความเข้าใจกับข่าวที่เพิ่งได้รับมาอย่างกะทันหันนี้
แต่ก็รวดเร็วยิ่งนัก
พวกเขาเริ่มเคลื่อนไหว และทิ้งคันธนูกับลูกธนูในมือลงทีละคน แล้วลงไปนั่งคุกเข่าพร้อมกับตะโกนว่า ”ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!”
ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัว ใครเล่าจะรู้ว่าคนที่อยู่ในรถม้าจะเป็นองค์ชายสาม และใครจะไปคิดว่าองค์ชายสามจะปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าพวกเขาในรูปแบบนี้
ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็คิดว่าองค์ชายสามคงไม่สามารถเอาชีวิตรอดจากการเดินทางครั้งล่าสุดนั้นมาได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าเขาจะกลับมาพร้อมกับไฟแห่งชีวิตที่แข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเดิม ชายหนุ่มเป็นราวกับเทพเจ้าที่เกิดมาเพื่อพิชิตโลกนี้ไม่มีผิด
แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่เขากลับยิ่งดูเย็นชาและอันตรายกว่าเมื่อก่อนมากนัก!
ประชาชนที่อยู่ในเมืองหลวงล้วนแต่ตกตะลึงไปตามๆ กัน คนที่ท้าทายระบบภาษีเข้าเมืองอย่างเปิดเผยนั้นแท้จริงแล้วก็คือองค์ชายสามจากราชวงศ์ปัจจุบันหรอกหรือ!
เดิมทีนั้นพวกเขายังรู้สึกเป็นห่วงเจ้าของรถม้าคันนี้อยู่เลยด้วยซ้ำ
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าองค์ชายสามผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือของพวกเขาจะกลับมาในลักษณะนี้!
เมื่อประชาชนเหล่านั้นคิดได้ดังนี้ พวกเขาจึงเริ่มตั้งสติและตระหนักได้ หลังจากได้สติกลับคืนมาแล้ว พวกเขาก็คุกเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้น ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความปิติยินดีอย่างยิ่ง!
ประชาชนหลายพันคนในเขตเมืองทางทิศเหนือคุกเข่าต่อกันเป็นระยะทางกว่าสิบลี้ นับว่าเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
และทั้งหมดนี้ก็เพื่อต้อนรับฮ่องเต้ในอนาคตของพวกเขากลับมาสู่เมืองหลวง!
เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นนี้ ราชครูก็คิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้ เขาชักเท้ากลับ และกำลังคิดที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อหนีไป
แต่ทันใดนั้น…